#เรื่องบนเตียง
ทำไมต้องชื่อเรื่องบนเตียงล่ะ???
ก็กว่าจะขึ้นเตียงได้นี่ ใช้เวลาทำใจนานมากเลยนะ เราเองก็มาเพิ่งเริ่มสตาร์ทเอาตอนอายุเริ่มมากแล้ว แต่ก็ไม่มีคำว่าสาย
สำหรับการเริ่มต้น
แล้วเริ่มต้นจากอะไร ตรงไหน???
เริ่มต้นจากวันที่เพื่อนป่วยหนักต้องเข้ารับการผ่าตัดและต้องการเลือด ในใจก็คิด "เอาวะ เป็นไงเป็นกัน"
รุ่งเช้า...รีบเดินทางมาโรงพยาบาลที่เพื่อนรักษาตัว พร้อมกับแจ้งความจำนงค์จะบริจาคเลือด จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็สอบถามความพร้อม ทานอาหารมาหรือยัง เมื่อคืนนอนหลับกี่ชั่วโมง..
ด้วยนิสัยที่นอนดึกเป็นประจำ และต้องตื่นแต่เช้า ทำให้ชั่วโมงการนอนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายไม่พร้อมต่อการบริจาค
และนี่เป็นครั้งแรกที่ถูกปฎิเสธ...
ไม่กี่วันต่อมา น้องที่สนิทคนหนึ่งคลอดลูกแต่เกิดปัญหาความไม่สมบูรณ์ของเจ้าตัวเล็ก ทำให้ต้องอยู่รักษาตัวที่ รพ.
เราก็ไปเยี่ยม และภาพที่เห็นต่อหน้าคือเจ้าตัวเล็กอยู่ในตู้อบ และมีสายระโยงระยางเต็มไปหมดทั้งท่อช่วยหายใจ น้ำเกลือ รอยเจาะของเข็มจากการให้ยามีหลายที่ จนไปถึงหัวของน้อง
เป็นภาพที่สุดแสนจะสงสาร
"เกิดมาไม่ทันไรก็ต้องมาเจออะไรแบบนี้ เราเป็นผู้ใหญ่แท้ๆ ยังไม่รู้เลยว่าจะทนต่อการรักษาขนาดนี้ได้ไหม"
และนี่เป็นแรงผลักดันสุดท้าย ที่ทำให้ชนะใจตัวเอง ที่จะกล้าก้าวข้ามผ่านความกลัวที่จะบริจาคเลือด และบริจาคได้สำเร็จเป็นครั้งแรก...
หลังจากเยี่ยมเจ้าตัวเล็กเสร็จ ก็เดินมาที่จุดรับบริจาคเลือดของทางโรงพยาบาล
กรอกประวัติส่วนตัวแล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนเช็คค่าความเข้มข้นของเลือด
วินาทีนั้น มือสั่น ใจสั่นด้วยความกลัว
จนเจ้าหน้าที่บอกว่า"ไม่พร้อมหรือกลัวก็ไม่เป็นไรนะครับ"
เรารีบตอบยืนยันทันที "พร้อมค่ะ แต่ก็กลัวจริงๆ เจาะเลยค่ะ"
ทันทีที่เห็นเจ้าหน้าที่ใช้เครื่องเจาะปลายนิ้วเพื่อจะตรวจเช็คหมู่เลือด และความเข้มข้นของเลือด ใจก็คิด"ตายแน่ๆเลยเรา"
จึ้กกกกก...เสียงของสปริงเข็มเจาะปลายนิ้วดังขึ้น เลือดก็หยดออกมา...
ห๊ะ !!! นี่เสร็จแล้วเหรอคะ เราถามเจ้าหน้าที่ด้วยความประหลาดใจ เพราะว่ามันแทบจะไม่รู้สึกว่าเจ็บเลย
"เสร็จแล้วครับ" เจ้าหน้าที่ตอบพร้อมแจ้งว่าความเข้มข้นเลือดพอที่จะบริจาคได้
และให้ถือชุดบริจาคเลือดไปยื่นที่เจ้าหน้าที่อีกจุดหนึ่ง นั่นคือจุดที่บริจาคเลือดจริงๆ
และแล้วก็มาถึงขั้นตอนจริงไม่อิงนิยาย
ใจก็เต้นตุ้มๆต่อมๆคิดไปสารพัด จะเจ็บมากไหม จะบริจาคผ่านไหม สารพัดคำถาม สารพัดความกลัวเริ่มเข้ามาในสมองอีกครั้ง
"เข็มใหญ่มากเราต้องแย่แน่ๆ เราจะเป็นลมไหม เราจะช็อคไหม"
เจ้าหน้าที่ที่จะทำการเจาะเลือดคงสังเกตเห็นอาการตื่นกลัวของเรา ก็เอ่ยย้ำอีกครั้ง"ไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรนะครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ พร้อม เจาะได้เลยค่ะ"ปากก็พูดไป หน้าก็เบือนมองไปทางอื่น...
"OK. ครับ ได้แล้ว ค่อยๆบีบลูกบีบไปเรื่อยๆนะครับ"เจ้าหน้าที่บอก พลางก็จัดการกับการเก็บตัวอย่างเลือด
อุ๊ย..นี่มันก็ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด อย่างที่นึกกลัวเลยมันจี๊ดนิดเดียวเอง
ผ่านไปประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่ก็มาดึงเข็มออก นอนพักต่อ 5 นาที ก็ลุกไปทานขนมที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้
โอ๊ยยยย...อะไรจะปลื้มใจขนาดนี้ รู้สึกดีมากจริงๆ
แต่ๆ พอกลับมาบ้านเท่านั้นแหละ
มานั่งแกะพลาสเตอร์ที่แปะรอยเจาะเลือดไว้
"อ่ะจ๊ากกกกกกกก นี่มันที่แว๊กขนชัดๆ เจ็บๆๆๆ นี่มันเจ็บกว่าตอนเจาะเลือดอีก 5555"
นี่ที่พี่กลัวมาตลอดชีวิต มันไม่ใช่เข็ม แต่มันคือพลาสเตอร์ปิดแผลนี่เอง....
ยังค่ะ ความเร้าใจยังไม่หมด
ยังมีตอนเตรียมตัวบริจาคเกล็ดเลือดอีก
บันเทิงสุดค่ะพี่น้อง...
ถ้ายังมีคนอยากอ่าน ค่อยเขียนตอนต่อไปนะคะ
#บริจาคเลือดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
#หนึ่งคนให้สามคนรับ
#ผู้ให้ยิ่งใหญ่เสมอ
🐇🐇เรื่องบนเตียง(บริจาคเลือด)🐰🐰
ทำไมต้องชื่อเรื่องบนเตียงล่ะ???
ก็กว่าจะขึ้นเตียงได้นี่ ใช้เวลาทำใจนานมากเลยนะ เราเองก็มาเพิ่งเริ่มสตาร์ทเอาตอนอายุเริ่มมากแล้ว แต่ก็ไม่มีคำว่าสาย
สำหรับการเริ่มต้น
แล้วเริ่มต้นจากอะไร ตรงไหน???
เริ่มต้นจากวันที่เพื่อนป่วยหนักต้องเข้ารับการผ่าตัดและต้องการเลือด ในใจก็คิด "เอาวะ เป็นไงเป็นกัน"
รุ่งเช้า...รีบเดินทางมาโรงพยาบาลที่เพื่อนรักษาตัว พร้อมกับแจ้งความจำนงค์จะบริจาคเลือด จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็สอบถามความพร้อม ทานอาหารมาหรือยัง เมื่อคืนนอนหลับกี่ชั่วโมง..
ด้วยนิสัยที่นอนดึกเป็นประจำ และต้องตื่นแต่เช้า ทำให้ชั่วโมงการนอนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายไม่พร้อมต่อการบริจาค
และนี่เป็นครั้งแรกที่ถูกปฎิเสธ...
ไม่กี่วันต่อมา น้องที่สนิทคนหนึ่งคลอดลูกแต่เกิดปัญหาความไม่สมบูรณ์ของเจ้าตัวเล็ก ทำให้ต้องอยู่รักษาตัวที่ รพ.
เราก็ไปเยี่ยม และภาพที่เห็นต่อหน้าคือเจ้าตัวเล็กอยู่ในตู้อบ และมีสายระโยงระยางเต็มไปหมดทั้งท่อช่วยหายใจ น้ำเกลือ รอยเจาะของเข็มจากการให้ยามีหลายที่ จนไปถึงหัวของน้อง
เป็นภาพที่สุดแสนจะสงสาร
"เกิดมาไม่ทันไรก็ต้องมาเจออะไรแบบนี้ เราเป็นผู้ใหญ่แท้ๆ ยังไม่รู้เลยว่าจะทนต่อการรักษาขนาดนี้ได้ไหม"
และนี่เป็นแรงผลักดันสุดท้าย ที่ทำให้ชนะใจตัวเอง ที่จะกล้าก้าวข้ามผ่านความกลัวที่จะบริจาคเลือด และบริจาคได้สำเร็จเป็นครั้งแรก...
หลังจากเยี่ยมเจ้าตัวเล็กเสร็จ ก็เดินมาที่จุดรับบริจาคเลือดของทางโรงพยาบาล
กรอกประวัติส่วนตัวแล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนเช็คค่าความเข้มข้นของเลือด
วินาทีนั้น มือสั่น ใจสั่นด้วยความกลัว
จนเจ้าหน้าที่บอกว่า"ไม่พร้อมหรือกลัวก็ไม่เป็นไรนะครับ"
เรารีบตอบยืนยันทันที "พร้อมค่ะ แต่ก็กลัวจริงๆ เจาะเลยค่ะ"
ทันทีที่เห็นเจ้าหน้าที่ใช้เครื่องเจาะปลายนิ้วเพื่อจะตรวจเช็คหมู่เลือด และความเข้มข้นของเลือด ใจก็คิด"ตายแน่ๆเลยเรา"
จึ้กกกกก...เสียงของสปริงเข็มเจาะปลายนิ้วดังขึ้น เลือดก็หยดออกมา...
ห๊ะ !!! นี่เสร็จแล้วเหรอคะ เราถามเจ้าหน้าที่ด้วยความประหลาดใจ เพราะว่ามันแทบจะไม่รู้สึกว่าเจ็บเลย
"เสร็จแล้วครับ" เจ้าหน้าที่ตอบพร้อมแจ้งว่าความเข้มข้นเลือดพอที่จะบริจาคได้
และให้ถือชุดบริจาคเลือดไปยื่นที่เจ้าหน้าที่อีกจุดหนึ่ง นั่นคือจุดที่บริจาคเลือดจริงๆ
และแล้วก็มาถึงขั้นตอนจริงไม่อิงนิยาย
ใจก็เต้นตุ้มๆต่อมๆคิดไปสารพัด จะเจ็บมากไหม จะบริจาคผ่านไหม สารพัดคำถาม สารพัดความกลัวเริ่มเข้ามาในสมองอีกครั้ง
"เข็มใหญ่มากเราต้องแย่แน่ๆ เราจะเป็นลมไหม เราจะช็อคไหม"
เจ้าหน้าที่ที่จะทำการเจาะเลือดคงสังเกตเห็นอาการตื่นกลัวของเรา ก็เอ่ยย้ำอีกครั้ง"ไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรนะครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ พร้อม เจาะได้เลยค่ะ"ปากก็พูดไป หน้าก็เบือนมองไปทางอื่น...
"OK. ครับ ได้แล้ว ค่อยๆบีบลูกบีบไปเรื่อยๆนะครับ"เจ้าหน้าที่บอก พลางก็จัดการกับการเก็บตัวอย่างเลือด
อุ๊ย..นี่มันก็ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด อย่างที่นึกกลัวเลยมันจี๊ดนิดเดียวเอง
ผ่านไปประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่ก็มาดึงเข็มออก นอนพักต่อ 5 นาที ก็ลุกไปทานขนมที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้
โอ๊ยยยย...อะไรจะปลื้มใจขนาดนี้ รู้สึกดีมากจริงๆ
แต่ๆ พอกลับมาบ้านเท่านั้นแหละ
มานั่งแกะพลาสเตอร์ที่แปะรอยเจาะเลือดไว้
"อ่ะจ๊ากกกกกกกก นี่มันที่แว๊กขนชัดๆ เจ็บๆๆๆ นี่มันเจ็บกว่าตอนเจาะเลือดอีก 5555"
นี่ที่พี่กลัวมาตลอดชีวิต มันไม่ใช่เข็ม แต่มันคือพลาสเตอร์ปิดแผลนี่เอง....
ยังค่ะ ความเร้าใจยังไม่หมด
ยังมีตอนเตรียมตัวบริจาคเกล็ดเลือดอีก
บันเทิงสุดค่ะพี่น้อง...
ถ้ายังมีคนอยากอ่าน ค่อยเขียนตอนต่อไปนะคะ
#บริจาคเลือดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
#หนึ่งคนให้สามคนรับ
#ผู้ให้ยิ่งใหญ่เสมอ