สวัสดีชาวพันทิปทุกท่านค่ะ ^^

หลังจากที่ลงกระทู้แรกแบบกากๆ รูปชัดบ้าง มัวบ้างไปแล้ว เราก็จะขอรีวิวด้วยรูปกากๆต่อไปอีกซักพัก 555555555
อันที่จริง ทริปนี้เป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งใจจะไป และไม่ได้ตั้งใจจะเอามารีวิว แต่เห็นหลายๆคน อยากเที่ยวใกล้ๆ แต่มีงบจำกัด (ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ เข้าใจดี TT) เราเลยนึกถึงทริปนี้ค่ะ ขอแชร์ข้อมูลให้เพื่อนๆที่สนใจ และอยากไปเที่ยว เก็บกระทู้นี้ไว้แหล่งข้อมูลอีกทางนะคะ

นั่นก็คือ กาญจนบุรี นั่นเองงงง

มันเริ่มจากการที่เราเบื่อๆกรุงเทพฯ และเราไม่ชอบเดินห้าง ไม่ชอบออกไปเดินตากแดดท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว เลยมีไอเดียว่า ลองเปลี่ยนบรรยากาศที่พักดีกว่า แต่งบเรามีจำกัด จะไปไหนได้บ้าง ไม่ไกล ไม่แพง และที่สำคัญ... ไม่มีรถ อีกแล้ววววว (ทริปเราส่วนใหญ่ จะไม่มีรถส่วนตัวค่ะ)

แฟนเลยเสนอ ตัวเลือกแรก "เกาะล้าน" เราตัดออกทันที เพราะยังใช้เงินมากไปอยู่ดี กับข้าวบนเกาะแพงงงง และเรายังไม่อยากเที่ยวทะเล (จริงๆเราจองตั๋วเครื่องบินและที่พักเที่ยวภูเก็ตตอนเดือนเมษายนไปแล้ว ตัวเลือกนี้เลยตัดทิ้ง)

แล้วจะไปไหนดี เราหันไปถามคนข้างๆอีกที นางเสนอ "กาญจนบุรี" เพราะแฟนเราเคยไปเที่ยวสังขละบุรี แล้วติดใจ อยากไปกาญจนบุรีอีก
เราเลยโอเค น่าสนใจดีแฮะ ลองเสิชหาที่พักแถบในเมืองดู ปรากฎว่าได้มาในราคา 200 บาทต่อคืน ว๊าวมากกกกก เลยจองทันที (ไม่ค่อยงกเลยเนาะ) 55555555555
ปล. เราไปเที่ยวประมาณช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ค่ะ

เริ่มต้นวันแรก วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 การเดินทางไปกาญจนบุรี เราไปขึ้นรถตู้ที่หมอชิต2 ค่ะ คิดว่าตอนนี้วินรถตู้ที่เคยอยู่ฝั่งเดียวกับสถานีขนส่ง ย้ายมาฝั่งตรงกันข้ามหมดแล้ว ราคาต่อคนต่อเที่ยวอยู่ที่ 120 บาท ของเรานั่งไปลงที่พักเลย เพราะเป็นเส้นทางที่รถตู้สามารถวนไปส่งได้ คนขับรถใจดีมาก ถามเราว่าพักที่ไหนกัน ถ้าอยู่ในเมืองจะไปส่งที่พักเลย และไปส่งถึงที่จริงๆ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงจากกทม.

ที่พักของเรา คือ "Bamboo House" อยู่ในตัวเมืองกาญจนบุรี ติดกับแม่น้ำ และใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำ พิพิธภัณฑ์รถไฟ สามารถเดินไปได้แบบสบายๆค่ะ สำหรับการจองที่พัก ตอนนั้น แฟนเราจองให้ผ่าน booking.com โดยเลือกช่วงที่ราคาต่ำไว้ก่อน กดจิ้มวันที่จะเข้าพัก โปะเช๊ะมาก ที่เจอที่พักถูกใจและราคาถูก (มากกกก) เลยได้มาในราคาโปรโมชั่นของที่พัก 200 บาทต่อคืนค่ะ หารกันก็คนละ 100 บาทเท่านั้น ลักษณะของที่พัก จะมีหลายโซนให้เลือก แล้วแต่จะชอบ มีทั้งแบบอาคารสองชั้น ตกแต่งสไตล์บูทีก กระท่อมในสวน และกระท่อมลอยแพอยู่ริมน้ำ ของเราเป็นแบบสุดท้าย เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศในการนอน (ได้เปลี่ยนสมใจแน่ 55555555555555)

https://www.booking.com/hotel/th/bamboo-house-kanchanaburi.th.html - ลิงค์จองที่พักนะคะ หรือจะจองผ่าน Agoda, Tripadvisor ก็อาจจะมีราคาที่ดีกว่าค่ะ

เดินเข้ามาจะเจอกับมุมต้อนรับ (เราไม่ได้ถ่ายรูปตรงนี้มา ขออนุญาต เจ้าของภาพด้วยนะคะ)


หลังจากเราเช็คอินแล้ว โซนบ้านพักที่เราเลือกอยู่ติดแม่น้ำ เป็นแพลอย และกระท่อมอยู่บนแพอีกที ระหว่างทางที่เดินไป จะผ่านซุ้มอาหาร ลานสนามหญ้า ที่พักแบบกระท่อมกลางสวน และห้องน้ำรวมค่ะ (ภาพในส่วนนี้ ขออนุญาตเจ้าของภาพ เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ที่สนใจด้วยนะคะ)




นี่คือกระท่อมที่เราจะพักกันคืนนี้ค่ะ เป็นแพลอยน้ำ บรรยากาศสบายๆเลย ที่พักจริงสวยมากๆนะคะ สงบ คนไม่พลุกพล่านเลย ถ้าได้หย่อนเท้าแช่น้ำ คือสบายใจสุดๆ ถือว่าได้มาพักผ่อนจริงๆ


หลังจากที่เราเอากระเป๋าไปเก็บแล้ว เราออกมาสั่งอาหารตรงซุ้มร้านอาหารของที่พักกันค่ะ มีอาหารตามสั่ง ทั้งไทย ทั้งฝรั่ง และมีก๋วยเตี๋ยวด้วย แนะนำให้สั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำตกนะคะ อร่อยมากกก ชามละ 30 บาทเอง (เราไม่ได้จองที่พักแบบรวมอาหารเช้านะคะ เพราะเช้าอีกวันเราคิดว่าไว้ว่าจะออกแต่เช้า เพื่อไปน้ำตกเอราวัณค่ะ)

หลังจากทานกลางวันกันอิ่มแล้ว เลยชวนแฟนเดินเล่นไปเรื่อยๆ จากที่พักไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว ระหว่างทางจะผ่านพิพิธภัณฑ์สงครามอักษะและเชลยศึก มีหอศิลป์รวมอยู่บริเวณนั้นด้วยค่ะ แต่เราชะโงกเข้าไปดูละ ไม่มีอะไรเท่าไหร่ เลยเดินต่อไปที่สะพานข้ามแม่น้ำ จำได้ว่าวันนั้นอากาศร้อนมากกกกก น่าจะ 37 องศาได้ (ทริปวันที่ 16-17 กุมภาพันธ์ 2561)





ไปอยู่ตรงนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ผิวเริ่มจะไหม้ๆ ถ่ายรูปมุมไหนก็ติดคนทุกรูปค่ะ เลยเดินย้ายมาทางฝั่งสถานีรถไฟ แต่ก็ร้อนอยู่ดี อยู่ที่ไหนก็ร้อนไปหมด พอเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหว (ดูจากหน้าเราได้เลย 5555555555) เลยกลับไปพักที่พักก่อน


บริเวณนี้จะไม่ค่อยมีรูปวิวเท่าไหร่ เพราะมีคนร่วมเฟรมเยอะเกินไป เราเลยไม่ค่อยได้ถ่ายบรรยากาศโดยรอบ อากาศมันร้อนสุดๆจริงๆค่ะ จำได้ว่ากลับมาจากทริปนี้สีผิวคล้ำขึ้นสองระดับเลย T^T

เรากลับไปงีบที่พัก ประมาณสองชั่วโมงได้ค่ะ ตื่นขึ้นมาก็เย็นพอดี เลยออกมาถ่ายรูปเล่นหน้ากระท่อม ที่นี่ยังเงียบสงบมากๆ คนยังไม่พลุกพล่านค่ะ ได้ฟีลพักผ่อนแบบเต็มๆ




สีของภาพจะเปลี่ยนไปตามแสงอาทิตย์นะคะ ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว เราคิดว่าอากาศจะเย็นสบายขึ้นบ้าง แต่ไม่เลยยยย รูปแทบทุกรูป แฟนชอบถ่ายตอนเผลอ หน้าจะไม่ค่อยอิน เพราะร้อนสุดๆ 555555555 เราเป็นคนขี้ร้อนมากๆๆๆๆๆ ภาพเลยได้อย่างที่เห็น




ซักประมาณเกือบๆหกโมงเย็น เรากับแฟนตัดสินใจออกไปหาอะไรทานกันค่ะ ใกล้ๆที่พัก เดินออกมาจากปากซอยที่พักเลี้ยวไปทางขวามือ เดินไปตามทางเรื่อยๆ จะเจอร้านอาหารเยอะมาก ทั้งอาหารไทย อาหารอีสาน ร้านอาหารแบบฝรั่ง จำพวกสเต็กก็มี หรือเป็นร้านนั่งดื่มแบบชิลๆบรรยากาศดีๆก็มีให้เลือกพอสมควรค่ะ ของเราไปจบที่ร้านสเต็ก เพราะไม่รู้จะทานอะไร ไปไหนได้ไม่ไกลด้วย เพราะไม่ได้เช่ารถ สั่งอาหารไปสี่อย่าง มีสเต็กเนื้อ ผักโขมอบชีส สปาเกตตีคาโบนาร่า และไส้กรอกรวมทอด เช็คบิลมาประมาณ 700-800 บาทค่ะ ถือว่าราคาไม่แรงมาก ในย่านท่องเที่ยวนะ ปล.ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย เพราะหิวกันมากกว่า 555555555 เอาไว้ไปรอบหน้า จะแก้ตัวใหม่ค่าา ^^

กลับมาถึงที่พัก ประมาณทุ่มกว่าๆ ก็เริ่มเงียบแล้วค่ะ อ่อ ลืมบอกว่ามีไฟฟ้าให้ใช้ตลอดคืนนะคะ แต่ที่กระท่อมจะมีปลั๊กเสียบแค่รูเดียว ต้องไปเช่าปลั๊กพ่วงจากที่พักมา ค่ามัดจำปลั๊ก 100 บาท ได้คืนตอนเช็คเอาท์ค่ะ


เช้าอีกวันถัดมา เราตื่นเจ็ดโมงเช้า เพื่อไปให้ทันรถที่จะไปน้ำตกเอราวัณก่อนสิบโมง กะไว้ว่าเช็คเอาท์ตอนแปดโมงและออกไปหาอาหารเช้าทานก่อนจะเดินทางไปน้ำตกค่ะ (ราคาที่พัก ไม่รวมอาหารเช้าค่ะ)

เราเดินไปทางเดียวกันกับที่ไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว เพราะจำได้ว่ามีร้านอาหารเยอะมากกกก แฟนเลือกร้านส้มตำไก่ย่าง แต่เค้ายังไม่ขาย เพราะยังเช้าเกินไป เลยสั่งชุดอาหารเช้าคนละชุด รสชาติดีเหมือนกันค่ะ จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว แต่อยู่ตรงหัวมุมถนนใกล้ลานกว้างหน้าสะพาน เป็นร้านใหญ่ๆ มีโต๊ะไม้ให้นั่ง และมีซุ้มขายกาแฟอยู่หน้าร้าน เช้าๆที่กาญจนบุรีอากาศดีพอสมควร ไม่ร้อนเลย

หลังจากทานข้าวอิ่มแล้ว เราก็ง่วงค่ะ 555555555 เมื่อวานอากาศร้อนจัดจนเราเพลีย จำได้ว่าอัดยาพาราไปก่อนนอนด้วย ร้อนจนปวดหัว TT
อ่อ ลืมบอกว่ากระท่อมริมน้ำ มีแค่พัดลมให้นะคะ มีผ้าห่ม หมอน ฟูก ครบ ดึกๆมายุงจะเยอะหน่อย เตรียมพวกสเปรย์กันยุงไปด้วยก็ดีค่ะ แต่ที่พักมีแบบห้องแอร์ด้วยนะคะ แล้วแต่ชอบเลย

มาต่อที่การเดินทางไปนะคะ เราก็ไปถามเอาดาบหน้าเหมือนกัน ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยสำหรับทริปนี้ บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว จะมีจุดขึ้นรถสองแถว และวินมอไซค์ไปที่บขส.เพื่อต่อรถเมล์ไปน้ำตกเอราวัณ ราคารถสองแถวอยู่ที่ 80 บาทต่อคน ส่วนวินน่าจะ 50-70 บาท ไม่แน่ใจราคา แต่ไม่เกิน 100 บาท (ต่อคน) แน่นอน

แต่แฟนเราจำกัดงบค่ะ หรือขี้งก อันนี้ไม่แน่ใจ 555555555555 นางเปิดจีพีเอส แล้วถามเราว่าเดินกันมั้ย เรายังไงก็ได้ตามใจแฟน เพราะแบกเป้ใบเดียว เดินได้สบายๆ สรุปนางพาเดินจากสะพานข้ามแม่น้ำแควออกไปรอรถเมล์ที่ถนนใหญ่เลย (ถนนลาดหญ้า-บ่อพลอย หรือทางเลี่ยงเมืองบ้านโป่ง) ซึ่งเป็นทางที่รถเมล์จะต้องผ่านไปน้ำตกเอราวัณอยู่แล้ว ระยะทางเดินจากสะพานข้ามแม่น้ำแควออกไปถนนใหญ่ประมาณกิโลเมตรกว่าๆ ถ้าอากาศไม่ร้อนก็เดินได้ชิลๆนะคะ แต่ถ้ามีงบเหลือก็นั่งรถเถอะค่าาา

ลักษณะรถ จะเป็นรถเมล์คันเล็กเก่าๆ สีน้ำเงิน เขียนติดหน้ารถว่าไปน้ำตกเอราวัณค่ะ ค่ารถคนละ 50 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมงถึงน้ำตก รถจะค่อยๆวิ่งไปจอดรับส่งผู้โดยสารตลอดทาง เรากับแฟนไม่ได้นั่งด้วยค่ะ ยืนโหนตรงท้ายรถ สนุกมากกกก และเมื่อยมากเช่นกัน 555555555 ปล.เสียค่าเข้าอุทยานอีกคนละ 100 บาท สำหรับคนไทย ส่วนนักเรียนนักศึกษาได้ลดครึ่งราคานะคะ เที่ยวรถที่เราไป ฝรั่งเยอะมากๆ เกินครึ่งนึงเลย เพราะเราไปวันธรรมดาค่ะ


พอไปถึงคือโอ้โหมากกก เพราะมีคนไปถึงก่อนเราเยอะแล้วพอสมควรค่ะ เราไปถึงประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆ เลยคุยกับแฟนว่าเดินขึ้นไปเลยละกัน เพราะยังไม่หิว ตารางเวลาไปกลับน้ำตกเอราวัณ-บขส. ตามนี้เลยค่ะ



น้ำตกจะมีทั้งหมด 7 ชั้น ตอนแรกกะจะอยู่ถึงแค่ชั้นล่างๆ เพราะไม่ได้ฟิตร่างกายเพื่อจะมาเดินป่า ไปๆมาๆ เดินกันไปถึงชั้น 7 (ด้วยความยากลำบาก เพราะทางไม่ดีเลย ต้องระมัดระวัง ไม่แนะนำให้นำเด็กๆหรือผู้สูงอายุขึ้นไปชั้นสูงมากๆนะคะ)


สองภาพนี้คือชั้น 4 ค่ะ แต่ละชั้นจะมีชื่อเรียกด้วยนะ และชั้นนี้คนจะเยอะพอสมควร เพราะน้ำใส และมีจุดให้ลงเล่นน้ำได้เยอะค่ะ



ชั้นที่ 6 ค่ะ


นี่คือภาพของชั้น 7 ค่าาา คนเยอะมาก ทางเดินลำบากมากๆ แต่คนก็ยังขึ้นมากันได้ นี่ยังไม่อยากนึกสภาพตอนลงไป TT