หมอ ย่อมมีเจตนาดี เพื่อรักษาคนไข้ แต่ย่อมผิดพลาดได้ และการผิดพลาดบางอย่าง มีผลกระทบต่อชีวิตคนป่วยไปทั้งชีวิตได้
แต่เมื่อผู้ป่วยมีความเชื่อศรัทธาเรื่องกรรมและผลแห่งกรรม จึงยอมรับไว้ได้ ประกองชีวิตพอผ่านไปได้
และเมื่อ เกิดข้อผิดพลาดอีก เป็นครั้งที่ 2 ผมจึงต้องระบายหน่อย และเพื่อเป็นบทเรียน เพื่อเกิดประโยชน์ปรับปรุงแก้ไข ในกรณีอื่นๆ ของผู้อื่น.
ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2546 ผมอายุ 44 ปี ภรรยา อายุ 42 ปี ตรวจพบ มะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรก หมอเห็นสมควรตัดมดลูกและรังไข่ทิ้ง เพราะมีลูก 2 คนแล้ว จึงตกลง แต่.. เนอะ อุบัติเหตุที่ไม่รู้ย่อมเกิดขึ้นได้ มีดหมอไปโดนท่อไตเกือบขาด แต่ไม่รู้ ทำการแย็บปิดบาดแผล ตามขั้นตอนในการรักษา ภรรยาก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับเพียง 3 วันเท่านั้น หลังจากนั้นทรุดลงไปตามลำดับ เพราะปัสสาวะ ไหลอยู่ในช่วงท้องและเริ่มติดเชื่อในช่วงท้อง
เมื่อหมอทำการ เอ็กชเรย์ ตรวจสอบ จึงพอท่อไตฉีกขาด จึงทำการผ่าตัดเปิดแผลใหม่ ภรรยาผมแทบตาย และต้องให้ยาฆ่าเชื่อในช่วงท้อง และยาฆ่าเชื่อในกระแสเลือด และก็ผ่านมาได้ แต่ไม่ใช่ว่าจบเพียงแค่นั้นแล้วปกติ มันมีผลกระทบอีกมากต่อสุขภาพมีผลต่อการทำงานของเขา และถ้าผมไม่เป็นผู้ที่มีขันติ อดทน ต่อศีลธรรม ก็คงบ้านแตกสาแหรกขาดในช่วง 2-3 ปีแรกแล้ว เพราะ...
1.ภรรยาเกิดอาการติดเชื่อ ที่ต่อไตอักเสบ แบบเป็นๆ หายๆ แบบเข้าสู่กระแสเลือดอ่อนๆ วนเวียนอยู่เช่นนั้น ทำให้สุขภถาพโดยรวมเชาทรุดลงอย่างช้าๆ หัวใจ ความดันก็ตามมา จนเขาต้องออกจากงานก่อนเกษียณถึง 4-5 ปี เพราะร่างกายไปต่อไม่ไหว เพราะต้องเข้าห้องฉุกเฉิน 3 รอบ ติดๆ กัน จึงต้องเออรีจากงานออกมา.
2.มีเพศสัมพันธ์ แทบไม่ได้ เพราะเมื่อมีเขาก็จะเกิดอักเสบและติดเชื่อเข้าสู่กระแสเลือดทุกครั้ง ท่านผู้ชายคงเขาใจดี ชายหนุ่มวัยกลางคน 40 - 50 กว่า แทบจะบ้า ฟุ้งช้านตาย เพราะความกดดันจากออร์โมนข้างในร่างกายตนเอง ที่มันกดดัน ผมต้องอดทนต่อสิ่งที่เป็นทุกข์นี้ เป็นเวลาเกือบ 10 ปี แม้ผมจะมีเงินมีหน้าที่การงานที่ดี สามารถเทียวหาผู้หญิงหรือหาใหม่ได้คงไม่ลำบาก แต่ผมไม่กระทำ แล้วปฏิบัติกรรมฐานอย่างไม่ทอดธุระ อยู่เนืองๆ ติดต่อกันจนผมเอาชนะทางใจที่ไม่ต้องทุกข์ ฟุ้งซ้าน บ่นเพ้อ เพื่อหาที่ระบายแบบไม่ผิดศีลธรรม แต่ภรรยาไม่ยินยอมจึงทำไม่ได้ และบรรเทามันลงได้แบบไม่กดดันมากแล้ว เมื่ออายุ 52 ปี ไปแล้ว จนมันแทบไม่มีผลกับผมอีกแล้วในปัจจุบัน ไม่ใช่ไม่มีแล้วยังมีแต่น้อย และสามารถดับมันได้ ไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ก็ได้นั้นเอง
ครั้งที่ 2 พึ่งเกิดขึ้น เมื่อวันเสาร์ ที่ 6 ตุลาคม กับภรรยาอีกแล้ว เข้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาลใหญ่อีกเช่นเดิม ใช่สิทธิข้าราชการบำนาณ เพราะปวดกล้ามเนื้อปวดเส้นปวดข้อคอ ความดันขึ้นเกือบ 200 พยาบาลวัดความดัน เออรเล่อ ถึง 2 ครั้ง จึงวัดได้ หมอฉุกเฉินก็บอกว่า ทำไมต้องมาฉุกเฉิน ปวดกล้ามเนื้อปวดข้อคอ ก็ต้องรู้ก่อนไปหานัดหมอตามปกติก็ได้ไม่ต้องถึงฉุกเฉิน ฉีดยาแล้วให้ยาทานปกติ หมอไม่เอะใจ ถึงเรื่องความดัน การอ่อนแรงของผู้ป่วย ความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นในช่วงเวลานั้นที่ต้องตัดสินใจ ไปห้องฉุกเฉิน
เมื่อกลับบ้านได้ยามาทานก็ทุเราลงบ้าง แต่แล้วยาก็เอาไม่อยู่ เมื่อความเจ็บปวดกล้ามเนื้อ และเส้น ข้อกระดูก มันเริ่มเคลื่อนตำแหน่ง แบบไม่ค่อยไหวแล้ว จนเขาต้องรีบไปหาหมอกระดูก ฟรีเมียมโดยไม่ได้นัดหมาย แต่เมื่อไม่ได้นัดหมาย และมีคนไข้เต็ม จึงต้องตีแท็กชีกลับบ้านเปล่าๆ มานอนทรมานอีกหนึ่งคืนแล้ว นัดหมอ คอ ปาก จมูก และหมอ กระดูก ได้อีก 2 วัน
แต่คืนและรุ่งเช้าวันต่อมาอาการเขาไม่ดีมีแต่แย่ก็เรียกแท็กชีไปโรงพยาบาลแบบฟรีเมียมอีก หวังว่าหมอเฉพาะทางระบบประสาทและหลอดเลือดที่รู้จักคงรับ หมอก็รับเปลี่ยนยาและให้ยาลดปวดมาให้ทาน ก็สบายใจขึ้นได้ยาลดปวดอย่างแรง ก็ดูดีขึ้นแต่อาการยังทรงๆ อยู่ แต่หนาว
วันรุ่งขึ้น ศุกร์ 12 ตุลาคม ก็ไปหาหมอตามที่โทรนัด เพราะอาการก็ไม่ดีขึ้น หาหมอ คอ ปาก จมูก เมื่อภรรยาบอกว่ามีอาการหนาวข้างในปอด หมอบอกว่าน่าจะไม่เกียวกับ คอ กระดูก เส้น จึงให้เจาะเลือด แต่ให้มาฟังผลอีก 2 อาทิตย์ ถัดไป ตกเย็นภรรยาก็หาหมอกระดูก หมอก็บอกว่ากระดูกคอไม่มีปัญหาอะไร หมอคงคิดว่า ภรรยาผมคงเรื่องมาก หรือวิตกไปเอง เย็นค่ำผมเลิกงานขับรถไปรับภรรยาที่โรงพยาบาล ถึงบ้านอาการก็ไม่ดีขึ้น คืนนั้นเขามีอาการแย่ ถึงขั้นเพ้อ
วันต่อมาวันเสาร์ 13 ตุลาคม เป็นวันหยุดของผม จึงตัดสินใจไปหาโรงพยาบาลรัฐไม่ใหญ่(นพรัตน มีนบุรี) โทรไปสอบถามปรากฏว่ายังรับเปิดทำการโรคทั่วไป ผมจึงพาไปหาหมอ เมื่อหมอสอบถามอาการ และได้บอกอาการ และบอกเรื่องเพ้อเมื่อคืน หมอก็คิดว่า ติดเชื่อแน่แต่ไม่รู้ว่าติดเชืออะไรบ้าง แต่หมอดักไว้สองทางคือ 1.ท่อไตอักเสบติดเชื่อในกระแสเลือด 2.อาจจะ ติดเชื่อไข้เลือดออก จึงให้เจาะเลือด 3 หลอด คือ 1.ตรวจไข้เลือดออก 2.ตรวจการสลายของกล้ามเนื้อ 3.ตรวจเกล็ดเลือด และ 4.ตรวจปัสสวะ
ผลออกมา ปัสสาวะติดเชื่อ ตรวจเลือดติดเชื่อ เด็นจิ(ไข้เลือดออก) กล้ามเนื้อสลายปริมาณยังเล็กน้อย เกล็ดเลือดต่ำ 2 แสน นิดๆ (ปกติ 2 แสน - 4.5 แสน) คือยังไม่ถึงกับเลือดออกภายใน
หมอให้งดยาต่างๆ ไว้ก่อนที่อาจมีผลต่อโรคไข้เลือดออก ทั้งแอ็สไปลินเบบี้ ยาแก้อักเสบต่างๆ ให้ยาฆ่าเชื่อในกระแสเลือดที่ไม่กัดกระเพาะ ยาพารา ยาลดอาการคลืนใส้ อืนๆ และให้มาเจาะเลือดตรวจเกล็ดเลือดในวันต่อมา ภรรยาถามหมอว่าให้นอนโรงพยาบาลหรือเปล่า(ผมต้องเข็นรถให้เขานั่งตลอดเพราะอ่อนแรงเดินไม่คอยไหว) หมอบอกว่าอย่าเลย โรงพยาบาลอาจติดเชื่ออื่นๆ ได้มากกว่า
เมื่อเขาได้รับยาฆ่าเชื่อในกระแสเลือดอาการเชาดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ใจจึงเริ่มชื่น มีกำลังใจขึ้น แบบมีความหวัง เพราะในอาทิตย์ที่ผ่านมามีแต่ทรงกับทรุดลง หมอเฉพาะทางผ่านๆ มา ก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมผู้ป่วยต้องรีบหาหมอถี่ทุกวันเลย แบบหมอไม่เฉลียวใจเลย ว่าถ้าดีขึ้นไม่แย่ลงผู้ป่วยคงไม่ดินรนอย่างนี้.
วันต่อมา ก็ไปเจาะเลือดที่โรงพยาบาล ผลออกมาเกล็ดเลือด หมออีกคน(ไม่ใช่คนเดิม)บอกว่า ลดลงจากเดิมเล็กน้อย เหลือประมาณ 2 แสน ถือว่าลดลงไม่มาก ให้อีก 2 วันหมอนัดเจาะเลือดใหม่ แต่เฝ้าระวังมีอะไรผิดปกติ ก็ให้รีบมาหาโรงพยาบาลทันทีได้
ใน 2 วันต่อมา อาการภรรยาก็ทรงๆ แบบดีขึ้น เจาะเลือดใหม่ แขนทั้ง 2 ข้างเขียวซ้ำด้วยแผลเจาะเลือดที่ผ่านๆ มา ผลออกมาเกล็ดเลือด สูงขึ้น 2 แสนว่า มากกว่าครั้งแรกนิดหน่อย หมอจึงสรุปว่า ไข้เลือดออกจบแล้ว ผ่านแล้วไม่ถึงขั้นเลือดออกภายใน.
สุดท้าย ณ. ตอนนี้ ที่ผมเห็นแน่ๆ คือ ภูมิต้านทานร่างกายของภรรยาผม ลดลงต่ำกว่าเดิมอีกหน่อยหนึ่ง น่าจะได้โรคของแถมที่ติดเชื่อนานเกินไปทำให้เกิดสภาวะ เก๊า หรือ รูมาตอย แถม ทั้งที่ อีก 3 ปี จึงจะถึง 60 ปี แย่กว่าเดิมอีกระดับหนึ่ง แต่คงดำเนินไปได้ วิถีดำเนินชีวิตของแต่และคนก็ต่างๆ กันไป ตามกรรมและวิบากแห่งกรรม ของแต่ละท่าน.
ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ความผิดพลาดบางอย่างจากการรักษา มีผลกระทบที่ร้ายแรงได้
แต่เมื่อผู้ป่วยมีความเชื่อศรัทธาเรื่องกรรมและผลแห่งกรรม จึงยอมรับไว้ได้ ประกองชีวิตพอผ่านไปได้
และเมื่อ เกิดข้อผิดพลาดอีก เป็นครั้งที่ 2 ผมจึงต้องระบายหน่อย และเพื่อเป็นบทเรียน เพื่อเกิดประโยชน์ปรับปรุงแก้ไข ในกรณีอื่นๆ ของผู้อื่น.
ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2546 ผมอายุ 44 ปี ภรรยา อายุ 42 ปี ตรวจพบ มะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรก หมอเห็นสมควรตัดมดลูกและรังไข่ทิ้ง เพราะมีลูก 2 คนแล้ว จึงตกลง แต่.. เนอะ อุบัติเหตุที่ไม่รู้ย่อมเกิดขึ้นได้ มีดหมอไปโดนท่อไตเกือบขาด แต่ไม่รู้ ทำการแย็บปิดบาดแผล ตามขั้นตอนในการรักษา ภรรยาก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับเพียง 3 วันเท่านั้น หลังจากนั้นทรุดลงไปตามลำดับ เพราะปัสสาวะ ไหลอยู่ในช่วงท้องและเริ่มติดเชื่อในช่วงท้อง
เมื่อหมอทำการ เอ็กชเรย์ ตรวจสอบ จึงพอท่อไตฉีกขาด จึงทำการผ่าตัดเปิดแผลใหม่ ภรรยาผมแทบตาย และต้องให้ยาฆ่าเชื่อในช่วงท้อง และยาฆ่าเชื่อในกระแสเลือด และก็ผ่านมาได้ แต่ไม่ใช่ว่าจบเพียงแค่นั้นแล้วปกติ มันมีผลกระทบอีกมากต่อสุขภาพมีผลต่อการทำงานของเขา และถ้าผมไม่เป็นผู้ที่มีขันติ อดทน ต่อศีลธรรม ก็คงบ้านแตกสาแหรกขาดในช่วง 2-3 ปีแรกแล้ว เพราะ...
1.ภรรยาเกิดอาการติดเชื่อ ที่ต่อไตอักเสบ แบบเป็นๆ หายๆ แบบเข้าสู่กระแสเลือดอ่อนๆ วนเวียนอยู่เช่นนั้น ทำให้สุขภถาพโดยรวมเชาทรุดลงอย่างช้าๆ หัวใจ ความดันก็ตามมา จนเขาต้องออกจากงานก่อนเกษียณถึง 4-5 ปี เพราะร่างกายไปต่อไม่ไหว เพราะต้องเข้าห้องฉุกเฉิน 3 รอบ ติดๆ กัน จึงต้องเออรีจากงานออกมา.
2.มีเพศสัมพันธ์ แทบไม่ได้ เพราะเมื่อมีเขาก็จะเกิดอักเสบและติดเชื่อเข้าสู่กระแสเลือดทุกครั้ง ท่านผู้ชายคงเขาใจดี ชายหนุ่มวัยกลางคน 40 - 50 กว่า แทบจะบ้า ฟุ้งช้านตาย เพราะความกดดันจากออร์โมนข้างในร่างกายตนเอง ที่มันกดดัน ผมต้องอดทนต่อสิ่งที่เป็นทุกข์นี้ เป็นเวลาเกือบ 10 ปี แม้ผมจะมีเงินมีหน้าที่การงานที่ดี สามารถเทียวหาผู้หญิงหรือหาใหม่ได้คงไม่ลำบาก แต่ผมไม่กระทำ แล้วปฏิบัติกรรมฐานอย่างไม่ทอดธุระ อยู่เนืองๆ ติดต่อกันจนผมเอาชนะทางใจที่ไม่ต้องทุกข์ ฟุ้งซ้าน บ่นเพ้อ เพื่อหาที่ระบายแบบไม่ผิดศีลธรรม แต่ภรรยาไม่ยินยอมจึงทำไม่ได้ และบรรเทามันลงได้แบบไม่กดดันมากแล้ว เมื่ออายุ 52 ปี ไปแล้ว จนมันแทบไม่มีผลกับผมอีกแล้วในปัจจุบัน ไม่ใช่ไม่มีแล้วยังมีแต่น้อย และสามารถดับมันได้ ไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ก็ได้นั้นเอง
ครั้งที่ 2 พึ่งเกิดขึ้น เมื่อวันเสาร์ ที่ 6 ตุลาคม กับภรรยาอีกแล้ว เข้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาลใหญ่อีกเช่นเดิม ใช่สิทธิข้าราชการบำนาณ เพราะปวดกล้ามเนื้อปวดเส้นปวดข้อคอ ความดันขึ้นเกือบ 200 พยาบาลวัดความดัน เออรเล่อ ถึง 2 ครั้ง จึงวัดได้ หมอฉุกเฉินก็บอกว่า ทำไมต้องมาฉุกเฉิน ปวดกล้ามเนื้อปวดข้อคอ ก็ต้องรู้ก่อนไปหานัดหมอตามปกติก็ได้ไม่ต้องถึงฉุกเฉิน ฉีดยาแล้วให้ยาทานปกติ หมอไม่เอะใจ ถึงเรื่องความดัน การอ่อนแรงของผู้ป่วย ความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นในช่วงเวลานั้นที่ต้องตัดสินใจ ไปห้องฉุกเฉิน
เมื่อกลับบ้านได้ยามาทานก็ทุเราลงบ้าง แต่แล้วยาก็เอาไม่อยู่ เมื่อความเจ็บปวดกล้ามเนื้อ และเส้น ข้อกระดูก มันเริ่มเคลื่อนตำแหน่ง แบบไม่ค่อยไหวแล้ว จนเขาต้องรีบไปหาหมอกระดูก ฟรีเมียมโดยไม่ได้นัดหมาย แต่เมื่อไม่ได้นัดหมาย และมีคนไข้เต็ม จึงต้องตีแท็กชีกลับบ้านเปล่าๆ มานอนทรมานอีกหนึ่งคืนแล้ว นัดหมอ คอ ปาก จมูก และหมอ กระดูก ได้อีก 2 วัน
แต่คืนและรุ่งเช้าวันต่อมาอาการเขาไม่ดีมีแต่แย่ก็เรียกแท็กชีไปโรงพยาบาลแบบฟรีเมียมอีก หวังว่าหมอเฉพาะทางระบบประสาทและหลอดเลือดที่รู้จักคงรับ หมอก็รับเปลี่ยนยาและให้ยาลดปวดมาให้ทาน ก็สบายใจขึ้นได้ยาลดปวดอย่างแรง ก็ดูดีขึ้นแต่อาการยังทรงๆ อยู่ แต่หนาว
วันรุ่งขึ้น ศุกร์ 12 ตุลาคม ก็ไปหาหมอตามที่โทรนัด เพราะอาการก็ไม่ดีขึ้น หาหมอ คอ ปาก จมูก เมื่อภรรยาบอกว่ามีอาการหนาวข้างในปอด หมอบอกว่าน่าจะไม่เกียวกับ คอ กระดูก เส้น จึงให้เจาะเลือด แต่ให้มาฟังผลอีก 2 อาทิตย์ ถัดไป ตกเย็นภรรยาก็หาหมอกระดูก หมอก็บอกว่ากระดูกคอไม่มีปัญหาอะไร หมอคงคิดว่า ภรรยาผมคงเรื่องมาก หรือวิตกไปเอง เย็นค่ำผมเลิกงานขับรถไปรับภรรยาที่โรงพยาบาล ถึงบ้านอาการก็ไม่ดีขึ้น คืนนั้นเขามีอาการแย่ ถึงขั้นเพ้อ
วันต่อมาวันเสาร์ 13 ตุลาคม เป็นวันหยุดของผม จึงตัดสินใจไปหาโรงพยาบาลรัฐไม่ใหญ่(นพรัตน มีนบุรี) โทรไปสอบถามปรากฏว่ายังรับเปิดทำการโรคทั่วไป ผมจึงพาไปหาหมอ เมื่อหมอสอบถามอาการ และได้บอกอาการ และบอกเรื่องเพ้อเมื่อคืน หมอก็คิดว่า ติดเชื่อแน่แต่ไม่รู้ว่าติดเชืออะไรบ้าง แต่หมอดักไว้สองทางคือ 1.ท่อไตอักเสบติดเชื่อในกระแสเลือด 2.อาจจะ ติดเชื่อไข้เลือดออก จึงให้เจาะเลือด 3 หลอด คือ 1.ตรวจไข้เลือดออก 2.ตรวจการสลายของกล้ามเนื้อ 3.ตรวจเกล็ดเลือด และ 4.ตรวจปัสสวะ
ผลออกมา ปัสสาวะติดเชื่อ ตรวจเลือดติดเชื่อ เด็นจิ(ไข้เลือดออก) กล้ามเนื้อสลายปริมาณยังเล็กน้อย เกล็ดเลือดต่ำ 2 แสน นิดๆ (ปกติ 2 แสน - 4.5 แสน) คือยังไม่ถึงกับเลือดออกภายใน
หมอให้งดยาต่างๆ ไว้ก่อนที่อาจมีผลต่อโรคไข้เลือดออก ทั้งแอ็สไปลินเบบี้ ยาแก้อักเสบต่างๆ ให้ยาฆ่าเชื่อในกระแสเลือดที่ไม่กัดกระเพาะ ยาพารา ยาลดอาการคลืนใส้ อืนๆ และให้มาเจาะเลือดตรวจเกล็ดเลือดในวันต่อมา ภรรยาถามหมอว่าให้นอนโรงพยาบาลหรือเปล่า(ผมต้องเข็นรถให้เขานั่งตลอดเพราะอ่อนแรงเดินไม่คอยไหว) หมอบอกว่าอย่าเลย โรงพยาบาลอาจติดเชื่ออื่นๆ ได้มากกว่า
เมื่อเขาได้รับยาฆ่าเชื่อในกระแสเลือดอาการเชาดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ใจจึงเริ่มชื่น มีกำลังใจขึ้น แบบมีความหวัง เพราะในอาทิตย์ที่ผ่านมามีแต่ทรงกับทรุดลง หมอเฉพาะทางผ่านๆ มา ก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมผู้ป่วยต้องรีบหาหมอถี่ทุกวันเลย แบบหมอไม่เฉลียวใจเลย ว่าถ้าดีขึ้นไม่แย่ลงผู้ป่วยคงไม่ดินรนอย่างนี้.
วันต่อมา ก็ไปเจาะเลือดที่โรงพยาบาล ผลออกมาเกล็ดเลือด หมออีกคน(ไม่ใช่คนเดิม)บอกว่า ลดลงจากเดิมเล็กน้อย เหลือประมาณ 2 แสน ถือว่าลดลงไม่มาก ให้อีก 2 วันหมอนัดเจาะเลือดใหม่ แต่เฝ้าระวังมีอะไรผิดปกติ ก็ให้รีบมาหาโรงพยาบาลทันทีได้
ใน 2 วันต่อมา อาการภรรยาก็ทรงๆ แบบดีขึ้น เจาะเลือดใหม่ แขนทั้ง 2 ข้างเขียวซ้ำด้วยแผลเจาะเลือดที่ผ่านๆ มา ผลออกมาเกล็ดเลือด สูงขึ้น 2 แสนว่า มากกว่าครั้งแรกนิดหน่อย หมอจึงสรุปว่า ไข้เลือดออกจบแล้ว ผ่านแล้วไม่ถึงขั้นเลือดออกภายใน.
สุดท้าย ณ. ตอนนี้ ที่ผมเห็นแน่ๆ คือ ภูมิต้านทานร่างกายของภรรยาผม ลดลงต่ำกว่าเดิมอีกหน่อยหนึ่ง น่าจะได้โรคของแถมที่ติดเชื่อนานเกินไปทำให้เกิดสภาวะ เก๊า หรือ รูมาตอย แถม ทั้งที่ อีก 3 ปี จึงจะถึง 60 ปี แย่กว่าเดิมอีกระดับหนึ่ง แต่คงดำเนินไปได้ วิถีดำเนินชีวิตของแต่และคนก็ต่างๆ กันไป ตามกรรมและวิบากแห่งกรรม ของแต่ละท่าน.