ปกิณกะเวลา ๘.๔๗ นาฬิกา
ตอบอธิบาย เรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
“การผ่านไป ในประเด็น ในช่องทางต่อไป ที่เราจะพูดถึงนี้ ที่เราจะรู้ตามนั้น เราจะพูดว่า มีประวัติการลบจริง ๆ หรือการลบออกไปไม่มี, คือ หมายความว่า ทุกอย่าง มันต้องปรากฏตัว ตามเหตุการณ์ สารูปจริงล้วนเป็นการแก้ไขปรับปรุง แล้วการอย่างนี้ ว่าพัฒนาสังคม ย่อมต้องปรากฏว่า มีประวัติการแก้ไข คือพัฒนา, แล้วเรื่องทีนี้ การแก้ไขไปต่าง ๆ นั้น ในทางศาสนาอาจจะเรียกกันว่า การสังคายนา ซึ่งอย่างนี้ จะต้องมีประวัติ อันหมายถึงว่า สิ่งที่ เป็นความยอมรับได้ ตรงนั้น เพราะว่าอาจจะเป็นประเด็นวิจัยได้ ในจำพวกการวิจัยเอกสาร อย่างนั้น พวกเรานี้ควรนับเอาเป็นการวิจัยได้”
“ถึงดูแต่สารูปว่า การลบ! การทิ้ง คือการกวาดเก็บ กำจัด ทำลาย ให้หายสิ้น อย่างนี้อาจจะน่าสนใจมากกว่า เพราะเรารู้ และชัดเจนว่า เพราะบางที ใครเขาจะต้องทำลายทิ้งซึ่งร่องรอยทั้งหมด, เหมือนกัน ถ้าเราไม่อยากให้ใครตามมา พวกเราก็จะต้องคาดค่า ทำให้มลายไป หาลบ! ไว้ว่าอย่างนี้ เราต้องโละทิ้ง ให้หมดร่องรอย ตามอันที่ลบและที่ขจัดออกไปนั้น จริง ๆ ไม่พบ แต่จริง ๆ เป็นอันที่พวกเราว่า จะต้องมีอยู่เป็นแน่”
“ก็ในศาสนาอื่น ยิ่งแล้ว ก็อาจยิ่งมากกว่า ลบทิ้งเท่าไหร่นั้น คงมากกว่า ก็เพราะศาสนาพุทธเราอะลุ้มอล่วย เมตตากรุณาอยู่ เป็นมากที่สุด ปรากฏมาก แต่เราก็เห็นว่าจะต้องมีการลบ, ความคิดเห็นอันดีงาม และไม่ดีงาม ทั้ง ๒ อย่าง ทั้งนั้น เราเห็นว่า ตัวเราเองมักไล่หาเหตุผล เช่นนั้นอยู่ว่า เรื่องดั่งกล่าวนี้ ใครเขาจะพึงลบออกแล้ว ดังนี้ เพราะเขาอาจจะเพิ่ม จะลดลง เพื่อสร้างความรำคาญ ให้คนพ้นอะไรไม่ทราบได้ แล้วเสริมวิธีให้เกิดการไหลไปแต่ก็แค่ทางที่ไม่ควรต้องระวัง คืออุปมา หมายความว่า “ตำรา หรือองค์ความรู้นั้น เข้าพูดถึงแต่สิ่งที่ไม่ใช่อุทาหรณ์ และสิ่งที่ไม่ต้องทำอะไร อยู่นั่นเอง!” ซึ่งอย่างนี้ ก็ ออกจะค่อนข้างน่ารังเกียจ แก่พวกเราบ้าง หรือแก่บรรดานักวิจัย และนักพัฒนา ที่ว่าทุกคนต่างมีลักษณะนิสัยจะมุหาแต่ประโยชน์อย่างลึกล้ำที่สุด”
“ฉะนั้น ก็น่าเห็นใจ เพราะบางเรื่องเราก็ว่า เรารู้แน่ ๆ ใครว่าเรื่องอย่างนี้ ของประไตรปิฎก ควร แค่เห็นว่า เขาเหล่านั้น โบราณาจารย์ของเรา เขาคงอาจจะให้ลบออกไปแล้วจากพระไตรปิฎก มาเนิ่นนานแล้ว, คือเรื่องอะไร เราว่า ก็อาจได้แก่เรื่อง กรุงกบิล ถิ่นกระบี่ ปริวารชนผู้กางกั้นคุ้มกระบาลพระนคร ของเหล่าราษฎรทั่ว ๆ ไป ทุกถิ่นทุกหย่อมหญ้า อย่างนี้ อย่างนี้ (สมมุติ) เราว่าอาจมีการตัดออกไปจากการเป็นเกร็ด และเป็นหลักเรื่องประกอบสำคัญ ๆ ทั้งหมดเองนั้น ลบทิ้ง! และอาจทำการขจัดร่องรอยไม่ให้สืบพบ มาในคัมภีร์ หรือพระไตรปิฎก (สมมุติ) และอาจเป็นจำนวนมากก็ได้, เหมือนอย่างที่เราลบทิ้งไฟล์ข้อมูลฉะนั้น ซึ่งประวัติการลบนั้นเอง ที่สุด มักไม่มี แต่เราอาจจะพบแค่ว่า ปกติเราต้องพบเสมอ ว่ามีร่องรอยของการแก้ไข ปรับปรุง พัฒนา ปรากฏอยู่แล้ว เพราะว่า ความสืบต่อมา มีมา มีแท้ ๆ จริง ๆ ก็คือตัวเราเอง มีอยู่ ให้รู้ว่ามีสิ่งตกทอดมาถึง”
“ในทางนิรุตติ นั้น ก็บอกอยู่เองแล้ว ว่า การปรากฏแห่งนิรุตติภาวะ ที่ซึ่งตั้งความมั่นหมายใจไปทั่วทุกแห่ง ของพาหะ คือเลศลัพธ์อักขระ อักษร ก็คือ ที่พวกเรากระทำอุตส่าห์มาแล้ว ด้วยอุบายอย่างหนึ่งเอามาปรากฏ เข้าไว้ ดั่งนี้ก็คือ มี การลบ ๑, การเปลี่ยน ๑, การดัดแปลง ๑, การกำหนดขึ้นมาใหม่ ๑, การแสดงส่วนวิจิตรของผลลัพธ์ให้เป็นประโยคด้วยความเป็นธาตุ ๑, ดังนี้ ว่าอุปมากันแต่โดยย่อ”
“แล้วเราดูทั่วไป ทุกแห่ง ก็ย่อมจะเห็นว่า คนจะไม่รู้ ไม่เห็น อันนั้นก็คือ อันที่ลบไปนั้น ที่เป็นการรำพันหวั่นไหว ใจห่วงหาถึง ก็จะต้องเป็นอันที่ถูกลบไปนั้นเอง อันนี้ควร เป็นส่วนความจริงแท้ ๆ แล้วนักวิจัยเองก็ผิดหวังแท้ ๆ เพราะตัวเองจะให้หาได้ เอามาไว้ได้ เพื่อการวิจัยเอกสารอะไร บทความอันอย่างนั้น ก็ย่อมจะไม่มี และเพราะว่าบางอย่างนั้น ก็เมื่อได้ลบไป กระทำไปก็เพื่อให้รู้ว่า ไม่มีการลบ! สำคัญอุปมาแล้วอย่างยิ่งก็คือ เอกสารสำคัญคำสอนอย่างนั้น หายไป! เหมือนถูกดับไฟ! อุปมาว่า เป็นการลบทิ้งไปแล้ว ก็จะต้องหาไม่เห็น, ซึ่งอันเหตุผล อย่างเราว่ามานี้เอง เป็นเหตุผลอย่างหนัก อันใครควรจะถือเอาความเข้าใจไปด้วย ก็ต้องอาศัยน้ำใจส่วนตน เท่านั้น นำจิตใจของตน ฝ่าความมืดนับถือไป นับถือและเข้าใจไล่เรียงจริตจิตชอบ บทจากใจ จากความเข้าใจอันอย่างนั้น ไว้แต่กับตัวเอง”
“อันอย่างนี้ เป็นการอธิบายความไม่ชัดเจน ซึ่งจะต้องให้พวกเราหันเห นำตนเองเข้ามา คือต้องคิด ต้องใคร่ครวญ จากปรัมปรา อันใดดี มีสิ่งที่จะเปลี่ยนไปไม่ได้, ทุกที่เห็นว่า ปรัมปราศัพท์ พจน์ อันที่ ๑ ที่เปลี่ยนไปไม่ได้เลย ก็คือ ศัพท์ว่า ‘ภควา’ และศัพท์ ชื่อว่า ‘กบิลพัสดุ์’ เมืองนคร นามกรของผู้จะระบือระเบียบโลก ไปจวบจนกว่าจะถึงวันกัลปาวสาน ก็จะต้องคือกัน กะเรื่อง ‘ลิงใหญ่ในพระราม’ อันชาติไทยเรานำถือ ฝ่าความมืดมา และรับรักษากันมาอยู่นี่เอง”
“มีประวัติการลบจริง ๆ หรือการลบออกไปไม่มี”
ตอบอธิบาย เรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
“การผ่านไป ในประเด็น ในช่องทางต่อไป ที่เราจะพูดถึงนี้ ที่เราจะรู้ตามนั้น เราจะพูดว่า มีประวัติการลบจริง ๆ หรือการลบออกไปไม่มี, คือ หมายความว่า ทุกอย่าง มันต้องปรากฏตัว ตามเหตุการณ์ สารูปจริงล้วนเป็นการแก้ไขปรับปรุง แล้วการอย่างนี้ ว่าพัฒนาสังคม ย่อมต้องปรากฏว่า มีประวัติการแก้ไข คือพัฒนา, แล้วเรื่องทีนี้ การแก้ไขไปต่าง ๆ นั้น ในทางศาสนาอาจจะเรียกกันว่า การสังคายนา ซึ่งอย่างนี้ จะต้องมีประวัติ อันหมายถึงว่า สิ่งที่ เป็นความยอมรับได้ ตรงนั้น เพราะว่าอาจจะเป็นประเด็นวิจัยได้ ในจำพวกการวิจัยเอกสาร อย่างนั้น พวกเรานี้ควรนับเอาเป็นการวิจัยได้”
“ถึงดูแต่สารูปว่า การลบ! การทิ้ง คือการกวาดเก็บ กำจัด ทำลาย ให้หายสิ้น อย่างนี้อาจจะน่าสนใจมากกว่า เพราะเรารู้ และชัดเจนว่า เพราะบางที ใครเขาจะต้องทำลายทิ้งซึ่งร่องรอยทั้งหมด, เหมือนกัน ถ้าเราไม่อยากให้ใครตามมา พวกเราก็จะต้องคาดค่า ทำให้มลายไป หาลบ! ไว้ว่าอย่างนี้ เราต้องโละทิ้ง ให้หมดร่องรอย ตามอันที่ลบและที่ขจัดออกไปนั้น จริง ๆ ไม่พบ แต่จริง ๆ เป็นอันที่พวกเราว่า จะต้องมีอยู่เป็นแน่”
“ก็ในศาสนาอื่น ยิ่งแล้ว ก็อาจยิ่งมากกว่า ลบทิ้งเท่าไหร่นั้น คงมากกว่า ก็เพราะศาสนาพุทธเราอะลุ้มอล่วย เมตตากรุณาอยู่ เป็นมากที่สุด ปรากฏมาก แต่เราก็เห็นว่าจะต้องมีการลบ, ความคิดเห็นอันดีงาม และไม่ดีงาม ทั้ง ๒ อย่าง ทั้งนั้น เราเห็นว่า ตัวเราเองมักไล่หาเหตุผล เช่นนั้นอยู่ว่า เรื่องดั่งกล่าวนี้ ใครเขาจะพึงลบออกแล้ว ดังนี้ เพราะเขาอาจจะเพิ่ม จะลดลง เพื่อสร้างความรำคาญ ให้คนพ้นอะไรไม่ทราบได้ แล้วเสริมวิธีให้เกิดการไหลไปแต่ก็แค่ทางที่ไม่ควรต้องระวัง คืออุปมา หมายความว่า “ตำรา หรือองค์ความรู้นั้น เข้าพูดถึงแต่สิ่งที่ไม่ใช่อุทาหรณ์ และสิ่งที่ไม่ต้องทำอะไร อยู่นั่นเอง!” ซึ่งอย่างนี้ ก็ ออกจะค่อนข้างน่ารังเกียจ แก่พวกเราบ้าง หรือแก่บรรดานักวิจัย และนักพัฒนา ที่ว่าทุกคนต่างมีลักษณะนิสัยจะมุหาแต่ประโยชน์อย่างลึกล้ำที่สุด”
“ฉะนั้น ก็น่าเห็นใจ เพราะบางเรื่องเราก็ว่า เรารู้แน่ ๆ ใครว่าเรื่องอย่างนี้ ของประไตรปิฎก ควร แค่เห็นว่า เขาเหล่านั้น โบราณาจารย์ของเรา เขาคงอาจจะให้ลบออกไปแล้วจากพระไตรปิฎก มาเนิ่นนานแล้ว, คือเรื่องอะไร เราว่า ก็อาจได้แก่เรื่อง กรุงกบิล ถิ่นกระบี่ ปริวารชนผู้กางกั้นคุ้มกระบาลพระนคร ของเหล่าราษฎรทั่ว ๆ ไป ทุกถิ่นทุกหย่อมหญ้า อย่างนี้ อย่างนี้ (สมมุติ) เราว่าอาจมีการตัดออกไปจากการเป็นเกร็ด และเป็นหลักเรื่องประกอบสำคัญ ๆ ทั้งหมดเองนั้น ลบทิ้ง! และอาจทำการขจัดร่องรอยไม่ให้สืบพบ มาในคัมภีร์ หรือพระไตรปิฎก (สมมุติ) และอาจเป็นจำนวนมากก็ได้, เหมือนอย่างที่เราลบทิ้งไฟล์ข้อมูลฉะนั้น ซึ่งประวัติการลบนั้นเอง ที่สุด มักไม่มี แต่เราอาจจะพบแค่ว่า ปกติเราต้องพบเสมอ ว่ามีร่องรอยของการแก้ไข ปรับปรุง พัฒนา ปรากฏอยู่แล้ว เพราะว่า ความสืบต่อมา มีมา มีแท้ ๆ จริง ๆ ก็คือตัวเราเอง มีอยู่ ให้รู้ว่ามีสิ่งตกทอดมาถึง”
“ในทางนิรุตติ นั้น ก็บอกอยู่เองแล้ว ว่า การปรากฏแห่งนิรุตติภาวะ ที่ซึ่งตั้งความมั่นหมายใจไปทั่วทุกแห่ง ของพาหะ คือเลศลัพธ์อักขระ อักษร ก็คือ ที่พวกเรากระทำอุตส่าห์มาแล้ว ด้วยอุบายอย่างหนึ่งเอามาปรากฏ เข้าไว้ ดั่งนี้ก็คือ มี การลบ ๑, การเปลี่ยน ๑, การดัดแปลง ๑, การกำหนดขึ้นมาใหม่ ๑, การแสดงส่วนวิจิตรของผลลัพธ์ให้เป็นประโยคด้วยความเป็นธาตุ ๑, ดังนี้ ว่าอุปมากันแต่โดยย่อ”
“แล้วเราดูทั่วไป ทุกแห่ง ก็ย่อมจะเห็นว่า คนจะไม่รู้ ไม่เห็น อันนั้นก็คือ อันที่ลบไปนั้น ที่เป็นการรำพันหวั่นไหว ใจห่วงหาถึง ก็จะต้องเป็นอันที่ถูกลบไปนั้นเอง อันนี้ควร เป็นส่วนความจริงแท้ ๆ แล้วนักวิจัยเองก็ผิดหวังแท้ ๆ เพราะตัวเองจะให้หาได้ เอามาไว้ได้ เพื่อการวิจัยเอกสารอะไร บทความอันอย่างนั้น ก็ย่อมจะไม่มี และเพราะว่าบางอย่างนั้น ก็เมื่อได้ลบไป กระทำไปก็เพื่อให้รู้ว่า ไม่มีการลบ! สำคัญอุปมาแล้วอย่างยิ่งก็คือ เอกสารสำคัญคำสอนอย่างนั้น หายไป! เหมือนถูกดับไฟ! อุปมาว่า เป็นการลบทิ้งไปแล้ว ก็จะต้องหาไม่เห็น, ซึ่งอันเหตุผล อย่างเราว่ามานี้เอง เป็นเหตุผลอย่างหนัก อันใครควรจะถือเอาความเข้าใจไปด้วย ก็ต้องอาศัยน้ำใจส่วนตน เท่านั้น นำจิตใจของตน ฝ่าความมืดนับถือไป นับถือและเข้าใจไล่เรียงจริตจิตชอบ บทจากใจ จากความเข้าใจอันอย่างนั้น ไว้แต่กับตัวเอง”
“อันอย่างนี้ เป็นการอธิบายความไม่ชัดเจน ซึ่งจะต้องให้พวกเราหันเห นำตนเองเข้ามา คือต้องคิด ต้องใคร่ครวญ จากปรัมปรา อันใดดี มีสิ่งที่จะเปลี่ยนไปไม่ได้, ทุกที่เห็นว่า ปรัมปราศัพท์ พจน์ อันที่ ๑ ที่เปลี่ยนไปไม่ได้เลย ก็คือ ศัพท์ว่า ‘ภควา’ และศัพท์ ชื่อว่า ‘กบิลพัสดุ์’ เมืองนคร นามกรของผู้จะระบือระเบียบโลก ไปจวบจนกว่าจะถึงวันกัลปาวสาน ก็จะต้องคือกัน กะเรื่อง ‘ลิงใหญ่ในพระราม’ อันชาติไทยเรานำถือ ฝ่าความมืดมา และรับรักษากันมาอยู่นี่เอง”