EP.1 การเลือกใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ
*** รูปจาก internet
หลายท่านคงเคยเห็นโฆษณาต่าง ๆ เกี่ยวกับบ้านสมัยใหม่ บ้านอัจฉริยะ หรืออุปกรณ์ไฮเทคที่มาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเรามากมายนะครับ บางคนอาจจะแค่ดู ๆ ผ่าน ๆ เพราะคิดว่ามันไกลตัว หรือไม่จำเป็น แค่เดินไปเปิด-ปิด สวิทซ์ไฟ มันจะยากอะไรนักหนา จำเป็นด้วยเหรอ smart home เนี่ย ต้องเสียเงินเพิ่มเยอะแยะมากมาย หรือบางคนยังอาจจะไม่เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่
เนื่องจากผมสนใจพวกเรื่องไรสาระแบบนี้ 555 และอยากที่จะลองทำเองดูที่บ้าน หลังจากได้ลองผิดลองถูกมาระยะหนึ่ง ตอนนี้ใช้มา 2 ปีเต็มแล้ว ระบบทุกอย่างทำงานได้อย่างดี ไม่มีปัญหาหนักหนาอะไร (คือมีปัญหาทั่ว ๆ ไปบ้างนิดหน่อย) เลยอยากจะมาแชร์ เผื่อมีใครสนใจ อยากลองเอาไปทำเล่นที่บ้านบ้าง เผื่อเป็นแนวทางนะครับ และทั้งหมดที่ทำ ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเองครับ
*** อุปกรณ์ทั้งหมดที่ผมกล่าวถึงในกระทู้นี้ ซื้อเองล้วน ๆ ไม่มี sponser ใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ ***
ก่อนอื่นเลย เริ่มต้น เราต้องมาตั้ง scope ขอความอัจฉริยะ ก่อน ทุกอย่างที่เราอยากให้มันสะดวกสบายขึ้น แน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มไปครับ เพราะงั้นเรามาทำความเข้าใจก่อน ว่าส่วนประกอบของระบบเนี่ย มีอะไรบ้าง ผมจะแยกหัวใจหลัก ๆ ออกเป็น 3 ส่วนนะครับ
1. Hub อุปกรณ์ตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง เป็นสมองกลที่รับสัญญาณ – สั่งงาน อุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบของเรา ส่วนใหญ่รับได้ทั้ง Z-Wave และ Zigbee มีหลายยี่ห้อให้เลือกครับ
2. อุปกรณ์ที่ต้องการนำมาใช้งานร่วมกับ Hub ซึ่งก็จะมีมากมาย หลากหลายมาก ตั้งแต่หลอดไฟ สวิทซ์ไฟ ลำโพง sensor โน้นนั่นนี่ รวมไปถึงพวก voice assistance อย่าง Amazon Alexa และ Google home ด้วย
3. App ที่จะเอาไว้ควบคุมสั่งการ ตั้งค่า อุปกรณ์ทั้งหมด รวมไปถึงหน้า UI เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกอย่าง Actiontile
จาก 3 อย่างที่บอกมา ข้อ 1 กับ ข้อ 3 เนี่ย มันเป็นประมาณ Fixed cost นะครับ ซื้อทีเดียวจบ ใช้ยาว ๆ ยกเว้นอยากจะเปลี่ยน Hub ใหม่ แต่ก็ราคาไม่ได้แพงมาก
ข้อที่จะเสียเงินหนัก ๆ คือข้อ 2 ครับ มันแล้วแต่ว่าเราอยากได้อะไรมาใช้บ้าง อันนี้อุปกรณ์บางตัวก็แพง บางตัวก็ถูก แต่พอรวม ๆ แล้วก็หลายตังค์อยู่เหมือนกัน อีกอย่างอันนี้คือมันเพิ่มไปได้เรื่อย ๆ เพราะงั้นใครอยากคุมงบ ต้องคิดข้อนี้ดี ๆ ว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น
*** รูปจาก internet
ผมจะลองยกตัวอย่างความต้องการของผมคร่าว ๆ นะครับ
1. ผมอยากจะได้ระบบรักษาความปลอดภัย ที่สามารถสั่งงานได้จากมือถือ โดยใช้ internet
ข้อนี้ผมไปเดินงานบ้านหลายครั้งครับ ด้อม ๆ มอง ๆ ระบบกันขโมยที่แต่ละบริษัทเอาเข้ามาขายเปรียบเทียบแล้วมันยังไม่ถูกใจ มีหลายอันที่ดูโอเค แต่ก็แลกมาด้วยราคาแพง แถมสั่งงานผ่านมือถือโดยใช้ SMS หรือถ้าเป็น app บางเจ้าก็เป็น app ของจีน ซึ่งมันดูไม่ cool 555 แล้ว app ของระบบกันขโมย จะไปเชื่อมต่อกับระบบ home automation อื่น ๆ ก็ลำบาก เพราะมันไม่ได้ทำให้รองรับกัน หลายคนที่เคยไปลองดูแล้วน่าจะพอนึกภาพออกนะครับ บ้านผมเป็น townhome เล็ก ๆ 3 ชั้น อยู่แถว ๆ BTS วุฒากาศ ด้วยความที่เป็น townhome และไม่ใช่หลังริม เพราะงั้นประตูหน้าต่างมันไม่ได้เยอะ คิดคร่าว ๆ คือต้องใช้ sensor ประตูหน้าต่าง 8 ตัว และใช้ Motion sensor 2 ตัว วางไว้ชั้น 1 และ ชั้น 3 ราคาโปรโมชั่นในงานส่วนใหญ่ แถม sensor ประตู 2-3 อัน กับ Motion อีกตัว ถ้าจะเอาเพิ่ม จ่ายเพิ่มบานตะเกียง เคยให้เจ้านึงเข้ามาลองตีราคา รวม ๆ แล้วประมาณ 5หมื่น (ยี่ห้อ น้ำผึ้งดี) เห็นราคาก็เลยถอยก่อน หน้ามืด
2. ผมอยากได้ระบบเปิดปิดไฟอัตโนมัติ ที่สามารถสั่งงานได้จากมือถือ โดยใช้ internet
ลองคิดว่าพอเราขับรถมาถึงบ้าน ไฟต้องเปิด แอร์เปิด กันขโมยปลดเรียบร้อย คือสิ่งที่ควรจะทำได้ การเปิดปิดเองด้วยรีโมท มันตอบโจทย์ครึ่งนึง คือมันยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะยังไงเราก็ต้องหยิบรีโมท หรือหยิบมือถือมากดอยู่ดี มันแค่อำนวยความสะดวกในการเปิด แต่มันยังไม่ smart อ่ะครับ (แต่เดิมผมลองเอา switch ไฟที่ใช้ remote RF สั่งงานของ Gratia มาติดแล้ว แต่ RF มันก็มีข้อจำกัด กดติดบ้างไม่ติดบ้าง และที่สำคัญ ต้องหยิบรีโมทมากด)
3. ระบบ Home entertainment ต่าง ๆ ควรจะต้อง integrate ด้วยกันได้
ผมอยากจะให้มันรวม ๆ กันอยู่ในที่เดียว ไม่ใช่จะเปิดไฟ ต้องเข้า app นึง จะเปิด-ปิด กันขโมย เข้าอีก app นึง มันก็จะยุ่งยาก แทนที่จะช่วยอำนวยความสะดวก จะกลายเป็นภาระแทน คือเราควรจะสบายขึ้น ไม่ใช่ปวดหัวกว่าเดิม งงกับการใช้อุปกรณ์อิเล็คโทรนิคต่าง ๆ ข้อนี้ผมมี benchmark ง่าย ๆ คือแฟนผมเอง คือเค้าจะชอบบ่น ว่ามันยุ่งยากจัง จะเปิดทีวีที จะดูหนังที มันรีโมทอะไรเยอะแยะ เพราะงั้น ระบบที่ต้องการมันต้องง่าย ๆ ทุกคนสามารถใช้งานได้ด้วย ไม่ใช่ใช้เองอยู่คนเดียว รู้เรื่องอยู่คนเดียว
จากสิ่งที่อยากได้คร่าว ๆ ที่กล่าวมา เราต้องเริ่มด้วยการหา Hub สำหรับ Smart home automation ก่อนครับ มีหลายตัวที่เข้าข่ายทำได้ตามต้องการ
ตัวแรกเลยคือ Fibaro อันนี้เห็นแล้วชอบเลย interface ดูดี มีอุปกรณ์ sensor ต่าง ๆ ไว้รองรับมากมาย ตั้ง automation ต่าง ๆ ได้ละเอียดพอสมควร ออกงานต่าง ๆ บ่อยด้วย ได้ลองได้เล่นของจริง มี app support ดี อุปกรณ์เชื่อถือได้ มีบริษัทในไทยที่นำเข้ามาขาย ติดตั้งด้วย แต่......
*** รูปจาก internet
อย่างแรกเลยคือราคาครับ แพงมาก Hub มีแบ่งเป็น 2 versions แบบจัดเต็ม ราคาประมาณ 3หมื่นกว่า กับ Hub รุ่นเล็กลงมา ราคา 15,000 บาท ซึ่งก็จะเจอข้อจำกัดโน้นนี่
ต่อมา sensor ตัวละ 3พันกว่า รวมสวิทซ์แล้ว ต้องจ่ายประมาณ 1แสนบาท เพื่อสนองกิเลสความอยากจะ smart home ถอยยาวเลยครับ แพงเกิน อีกอย่างพวก controller ที่จะไปใส่ในสวิทซ์ไฟ มันต้องใช้แบบ 3 เส้น คือบ้านต้องมีสาย neutral ด้วย ไม่งั้นลำบาก ซึ่งบ้านผม เช็คแล้ว ไม่มี จะให้รื้อเดินไฟใหม่ทั้งบ้าน มันก็คงจะไม่ DIY เท่าไหร่ ต้องจ้างช่างมาทำอีก และอีกอย่างคือ Fibaro ใช้สัญญาณ Z Wave เป็นหลัก ใครที่งงเรื่อง Z Wave ผมเอาสั้น ๆ ละกันว่ามันเป็นสัญญาณที่ใช้ส่งระหว่าง sensor กับตัว Hub ครับ ตอนนี้ที่นิยมก็จะมี Z wave กับ Zigbee ซึ่ง Zigbee จะใหม่กว่า repeater ได้ด้วยตัวเอง ส่วน Z wave จะลำบากนิดนึงตรงที่ มีหลายคลื่นความถี่ เช่น USA ใช้9ร้อยกว่า EU ใช้ 8ร้อยกว่า เพราะงั้นถ้าซื้ออุปกรณ์ Z Wave มา ต้องดูความถี่ด้วย ถ้าไม่ตรงกัน ใช้กันไม่ได้ ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา สรุป อันนี้เลยผ่านไปก่อน
ต่อมาจะเป็นกลุ่มที่ DIY จริง ๆ จัง ๆ ดังอยู่ในต่างประเทศ มีใช้กันแพร่หลาย ราคาน่ารักน่าลอง กลุ่มนี้แหละคือสิ่งที่ผมมองหา
Samsung Smartthings, Wink Hub2, VeraLite เยอะเลยครับ แต่ละตัวจะมีข้อดีข้อเสียต่างกัน
ผมลองเลือก ๆ แล้ว คิดว่า Samsung Smartthings น่าจะเหมาะกับความต้องการสุด ราคาไม่แพงมาก ติดตั้งง่าย app เข้าใจง่าย แล้วก็เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ สะดวก เพราะมีอุปกรณ์ที่รองรับออกมาหลายอย่างแล้ว รองรับทั้ง Zigbee Z wave เอาเป็นว่า ต้องลองดูถึงจะรู้ ก็เลยสั่งมาลองเลย
โดยข้อมูลพวกนี้ ในเวปไซต์ต่างประเทศหลาย ๆ แห่งก็ได้ทำรีวิวเปรียบเทียบไว้เยอะแยะมากมาย
*** รูปจาก internet www.mysmartahome.com
Noted!!! อุปกรณ์ที่ผมใช้คือ Smartthings Hub V.2 นะครับ ตอนนี้มี Hub version ใหม่ออกมาอีกหลายรุ่น เผื่อมีใครอยากลอง เพราะผมก็อยากลองเหมือนกัน 555
[CR] Smart home automation แบบ DIY ทำได้จริง ด้วยตัวเอง
*** รูปจาก internet
หลายท่านคงเคยเห็นโฆษณาต่าง ๆ เกี่ยวกับบ้านสมัยใหม่ บ้านอัจฉริยะ หรืออุปกรณ์ไฮเทคที่มาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเรามากมายนะครับ บางคนอาจจะแค่ดู ๆ ผ่าน ๆ เพราะคิดว่ามันไกลตัว หรือไม่จำเป็น แค่เดินไปเปิด-ปิด สวิทซ์ไฟ มันจะยากอะไรนักหนา จำเป็นด้วยเหรอ smart home เนี่ย ต้องเสียเงินเพิ่มเยอะแยะมากมาย หรือบางคนยังอาจจะไม่เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่
เนื่องจากผมสนใจพวกเรื่องไรสาระแบบนี้ 555 และอยากที่จะลองทำเองดูที่บ้าน หลังจากได้ลองผิดลองถูกมาระยะหนึ่ง ตอนนี้ใช้มา 2 ปีเต็มแล้ว ระบบทุกอย่างทำงานได้อย่างดี ไม่มีปัญหาหนักหนาอะไร (คือมีปัญหาทั่ว ๆ ไปบ้างนิดหน่อย) เลยอยากจะมาแชร์ เผื่อมีใครสนใจ อยากลองเอาไปทำเล่นที่บ้านบ้าง เผื่อเป็นแนวทางนะครับ และทั้งหมดที่ทำ ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเองครับ
*** อุปกรณ์ทั้งหมดที่ผมกล่าวถึงในกระทู้นี้ ซื้อเองล้วน ๆ ไม่มี sponser ใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ ***
ก่อนอื่นเลย เริ่มต้น เราต้องมาตั้ง scope ขอความอัจฉริยะ ก่อน ทุกอย่างที่เราอยากให้มันสะดวกสบายขึ้น แน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มไปครับ เพราะงั้นเรามาทำความเข้าใจก่อน ว่าส่วนประกอบของระบบเนี่ย มีอะไรบ้าง ผมจะแยกหัวใจหลัก ๆ ออกเป็น 3 ส่วนนะครับ
1. Hub อุปกรณ์ตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง เป็นสมองกลที่รับสัญญาณ – สั่งงาน อุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบของเรา ส่วนใหญ่รับได้ทั้ง Z-Wave และ Zigbee มีหลายยี่ห้อให้เลือกครับ
2. อุปกรณ์ที่ต้องการนำมาใช้งานร่วมกับ Hub ซึ่งก็จะมีมากมาย หลากหลายมาก ตั้งแต่หลอดไฟ สวิทซ์ไฟ ลำโพง sensor โน้นนั่นนี่ รวมไปถึงพวก voice assistance อย่าง Amazon Alexa และ Google home ด้วย
3. App ที่จะเอาไว้ควบคุมสั่งการ ตั้งค่า อุปกรณ์ทั้งหมด รวมไปถึงหน้า UI เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกอย่าง Actiontile
จาก 3 อย่างที่บอกมา ข้อ 1 กับ ข้อ 3 เนี่ย มันเป็นประมาณ Fixed cost นะครับ ซื้อทีเดียวจบ ใช้ยาว ๆ ยกเว้นอยากจะเปลี่ยน Hub ใหม่ แต่ก็ราคาไม่ได้แพงมาก
ข้อที่จะเสียเงินหนัก ๆ คือข้อ 2 ครับ มันแล้วแต่ว่าเราอยากได้อะไรมาใช้บ้าง อันนี้อุปกรณ์บางตัวก็แพง บางตัวก็ถูก แต่พอรวม ๆ แล้วก็หลายตังค์อยู่เหมือนกัน อีกอย่างอันนี้คือมันเพิ่มไปได้เรื่อย ๆ เพราะงั้นใครอยากคุมงบ ต้องคิดข้อนี้ดี ๆ ว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น
*** รูปจาก internet
ผมจะลองยกตัวอย่างความต้องการของผมคร่าว ๆ นะครับ
1. ผมอยากจะได้ระบบรักษาความปลอดภัย ที่สามารถสั่งงานได้จากมือถือ โดยใช้ internet
ข้อนี้ผมไปเดินงานบ้านหลายครั้งครับ ด้อม ๆ มอง ๆ ระบบกันขโมยที่แต่ละบริษัทเอาเข้ามาขายเปรียบเทียบแล้วมันยังไม่ถูกใจ มีหลายอันที่ดูโอเค แต่ก็แลกมาด้วยราคาแพง แถมสั่งงานผ่านมือถือโดยใช้ SMS หรือถ้าเป็น app บางเจ้าก็เป็น app ของจีน ซึ่งมันดูไม่ cool 555 แล้ว app ของระบบกันขโมย จะไปเชื่อมต่อกับระบบ home automation อื่น ๆ ก็ลำบาก เพราะมันไม่ได้ทำให้รองรับกัน หลายคนที่เคยไปลองดูแล้วน่าจะพอนึกภาพออกนะครับ บ้านผมเป็น townhome เล็ก ๆ 3 ชั้น อยู่แถว ๆ BTS วุฒากาศ ด้วยความที่เป็น townhome และไม่ใช่หลังริม เพราะงั้นประตูหน้าต่างมันไม่ได้เยอะ คิดคร่าว ๆ คือต้องใช้ sensor ประตูหน้าต่าง 8 ตัว และใช้ Motion sensor 2 ตัว วางไว้ชั้น 1 และ ชั้น 3 ราคาโปรโมชั่นในงานส่วนใหญ่ แถม sensor ประตู 2-3 อัน กับ Motion อีกตัว ถ้าจะเอาเพิ่ม จ่ายเพิ่มบานตะเกียง เคยให้เจ้านึงเข้ามาลองตีราคา รวม ๆ แล้วประมาณ 5หมื่น (ยี่ห้อ น้ำผึ้งดี) เห็นราคาก็เลยถอยก่อน หน้ามืด
2. ผมอยากได้ระบบเปิดปิดไฟอัตโนมัติ ที่สามารถสั่งงานได้จากมือถือ โดยใช้ internet
ลองคิดว่าพอเราขับรถมาถึงบ้าน ไฟต้องเปิด แอร์เปิด กันขโมยปลดเรียบร้อย คือสิ่งที่ควรจะทำได้ การเปิดปิดเองด้วยรีโมท มันตอบโจทย์ครึ่งนึง คือมันยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะยังไงเราก็ต้องหยิบรีโมท หรือหยิบมือถือมากดอยู่ดี มันแค่อำนวยความสะดวกในการเปิด แต่มันยังไม่ smart อ่ะครับ (แต่เดิมผมลองเอา switch ไฟที่ใช้ remote RF สั่งงานของ Gratia มาติดแล้ว แต่ RF มันก็มีข้อจำกัด กดติดบ้างไม่ติดบ้าง และที่สำคัญ ต้องหยิบรีโมทมากด)
3. ระบบ Home entertainment ต่าง ๆ ควรจะต้อง integrate ด้วยกันได้
ผมอยากจะให้มันรวม ๆ กันอยู่ในที่เดียว ไม่ใช่จะเปิดไฟ ต้องเข้า app นึง จะเปิด-ปิด กันขโมย เข้าอีก app นึง มันก็จะยุ่งยาก แทนที่จะช่วยอำนวยความสะดวก จะกลายเป็นภาระแทน คือเราควรจะสบายขึ้น ไม่ใช่ปวดหัวกว่าเดิม งงกับการใช้อุปกรณ์อิเล็คโทรนิคต่าง ๆ ข้อนี้ผมมี benchmark ง่าย ๆ คือแฟนผมเอง คือเค้าจะชอบบ่น ว่ามันยุ่งยากจัง จะเปิดทีวีที จะดูหนังที มันรีโมทอะไรเยอะแยะ เพราะงั้น ระบบที่ต้องการมันต้องง่าย ๆ ทุกคนสามารถใช้งานได้ด้วย ไม่ใช่ใช้เองอยู่คนเดียว รู้เรื่องอยู่คนเดียว
จากสิ่งที่อยากได้คร่าว ๆ ที่กล่าวมา เราต้องเริ่มด้วยการหา Hub สำหรับ Smart home automation ก่อนครับ มีหลายตัวที่เข้าข่ายทำได้ตามต้องการ
ตัวแรกเลยคือ Fibaro อันนี้เห็นแล้วชอบเลย interface ดูดี มีอุปกรณ์ sensor ต่าง ๆ ไว้รองรับมากมาย ตั้ง automation ต่าง ๆ ได้ละเอียดพอสมควร ออกงานต่าง ๆ บ่อยด้วย ได้ลองได้เล่นของจริง มี app support ดี อุปกรณ์เชื่อถือได้ มีบริษัทในไทยที่นำเข้ามาขาย ติดตั้งด้วย แต่......
*** รูปจาก internet
อย่างแรกเลยคือราคาครับ แพงมาก Hub มีแบ่งเป็น 2 versions แบบจัดเต็ม ราคาประมาณ 3หมื่นกว่า กับ Hub รุ่นเล็กลงมา ราคา 15,000 บาท ซึ่งก็จะเจอข้อจำกัดโน้นนี่
ต่อมา sensor ตัวละ 3พันกว่า รวมสวิทซ์แล้ว ต้องจ่ายประมาณ 1แสนบาท เพื่อสนองกิเลสความอยากจะ smart home ถอยยาวเลยครับ แพงเกิน อีกอย่างพวก controller ที่จะไปใส่ในสวิทซ์ไฟ มันต้องใช้แบบ 3 เส้น คือบ้านต้องมีสาย neutral ด้วย ไม่งั้นลำบาก ซึ่งบ้านผม เช็คแล้ว ไม่มี จะให้รื้อเดินไฟใหม่ทั้งบ้าน มันก็คงจะไม่ DIY เท่าไหร่ ต้องจ้างช่างมาทำอีก และอีกอย่างคือ Fibaro ใช้สัญญาณ Z Wave เป็นหลัก ใครที่งงเรื่อง Z Wave ผมเอาสั้น ๆ ละกันว่ามันเป็นสัญญาณที่ใช้ส่งระหว่าง sensor กับตัว Hub ครับ ตอนนี้ที่นิยมก็จะมี Z wave กับ Zigbee ซึ่ง Zigbee จะใหม่กว่า repeater ได้ด้วยตัวเอง ส่วน Z wave จะลำบากนิดนึงตรงที่ มีหลายคลื่นความถี่ เช่น USA ใช้9ร้อยกว่า EU ใช้ 8ร้อยกว่า เพราะงั้นถ้าซื้ออุปกรณ์ Z Wave มา ต้องดูความถี่ด้วย ถ้าไม่ตรงกัน ใช้กันไม่ได้ ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา สรุป อันนี้เลยผ่านไปก่อน
ต่อมาจะเป็นกลุ่มที่ DIY จริง ๆ จัง ๆ ดังอยู่ในต่างประเทศ มีใช้กันแพร่หลาย ราคาน่ารักน่าลอง กลุ่มนี้แหละคือสิ่งที่ผมมองหา
Samsung Smartthings, Wink Hub2, VeraLite เยอะเลยครับ แต่ละตัวจะมีข้อดีข้อเสียต่างกัน
ผมลองเลือก ๆ แล้ว คิดว่า Samsung Smartthings น่าจะเหมาะกับความต้องการสุด ราคาไม่แพงมาก ติดตั้งง่าย app เข้าใจง่าย แล้วก็เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ สะดวก เพราะมีอุปกรณ์ที่รองรับออกมาหลายอย่างแล้ว รองรับทั้ง Zigbee Z wave เอาเป็นว่า ต้องลองดูถึงจะรู้ ก็เลยสั่งมาลองเลย
โดยข้อมูลพวกนี้ ในเวปไซต์ต่างประเทศหลาย ๆ แห่งก็ได้ทำรีวิวเปรียบเทียบไว้เยอะแยะมากมาย
*** รูปจาก internet www.mysmartahome.com
Noted!!! อุปกรณ์ที่ผมใช้คือ Smartthings Hub V.2 นะครับ ตอนนี้มี Hub version ใหม่ออกมาอีกหลายรุ่น เผื่อมีใครอยากลอง เพราะผมก็อยากลองเหมือนกัน 555
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้