[นางทิพย์] วิทยาศาสตร์กับสิ่งลี้ลับ ความรู้เกี่ยวกับ......การถ่ายภาพเคอร์เลียน

** ขออนุญาตแท็กห้องอื่นที่เกี่ยวข้องนะคะแอดมินอย่ารีมูฟแท็กนะคะ**



เรื่อง นางทิพย์ บทประพันธ์ของ แก้วเก้า ถูกนำมาสร้างเป็นละครกำลังออนแอร์อยู่ตอนนี้



ในเรื่อง ภาธร พระเอกของเรื่องโทรไปหาอาจารย์ที่ต่างประเทศว่าจะถ่ายภาพสิ่งของ (แหวนที่ได้มา)
โดยการถ่ายภาพแบบเคอร์เลียน

มีเกร็ดความรู้มาฝากกันค่ะ ซึ่งภาพแบบเคอร์เลี่ยนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาด้าน
parapsychology หรือ ปรจิตวิทยา  ซึ่งพวกเราคนไทยรู้จักกันดีในชื่อว่า "พลังจิต" ซึ่งวิชาที่พระเอกของเรา
เป็นอาจารย์จบการศึกษาจากสาขาวิชานี้มาจากต่างประเทศและกำลังศึกษาวิจัยเรื่องสิ่งลี้ลับอยู่

การถ่ายภาพเคอร์เลียน (Kirlian photography) คือ ชุดของเทคนิคการถ่ายภาพที่ใช้ในการจับภาพของปรากฏการณ์โคโรนา หรือ การปล่อยประจุแบบโคโรน่าทางไฟฟ้า มันเป็นชื่อนามสกุลคำหลังของนาย เซมยอน เคอร์เลียน (Semyon Kirlian) ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ค้นพบวิธีการนี้โดยบังเอิญในปี ค.ศ. 1939 โดยเขาพบว่าถ้าวัตถุที่วางอยู่บนแผ่นเพลตสำหรับถ่ายภาพถูกเชื่อมต่อกับแหล่งกำเนิดแรงดันไฟฟ้าแรงสูง, ภาพของวัตถุจะถูกถ่ายภาพออกมาได้บนแผ่นเพลตสำหรับถ่ายภาพ [1] เป็นเทคนิควิธีการที่รู้จักกันหลากหลายลักษณะต่าง ๆ กันมากมายที่มีชื่อเรียกกัน เช่น "ภาพถ่ายทางไฟฟ้า" (electrography), [2] "เทคนิคการถ่ายภาพด้วยไฟฟ้า" (electrophotography), [3] "เทคนิคการถ่ายภาพการปล่อยประจุแบบโคโรน่า" (corona discharge photography) (CDP), [4] "การถ่ายภาพทางไฟฟ้าชีวะ" (bioelectrography), [2] "การสร้างภาพการปล่อยประจุก๊าซ" (gas discharge visualization) (GDV), [5] "การสร้างภาพทางไฟฟ้าเชิงแสง" (electrophotonic imaging) (EPI), [6] และ, ในวรรณกรรมรัสเซีย, "ภาพถ่ายเคอร์เลียน" เป็นต้น

การถ่ายภาพเคอร์เลียน ได้รับการคัดเลือกให้เป็นประเด็นหัวข้อเรื่องของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์กระแสหลัก, การวิจัยทางด้านปรจิตวิทยา (parapsychology) (ตามความรู้สึกของคนไทยเรา มันมักจะหมายถึงเรื่อง "พลังจิต") และทางด้านศิลปะ


เซมยอน เคอร์เลียน (Semyon Kirlian)



การถ่ายภาพเคอร์เลียนเป็นเทคนิคการสร้างภาพถ่ายของวัตถุโดยใช้ไฟฟ้าแรงสูงส่งผ่านแผ่นฟิล์มที่อยู่เหนือแผ่นเหล็กสำหรับการคายประจุและอยู่ติดกับวัตถุที่ถูกถ่ายภาพ กระแสไฟฟ้าแรงสูงจะถูกจ่ายเป็นระยะเวลาสั้นๆไปยังแผ่นเหล็ก ทำให้เกิดภาพที่เกิดจากการปรากฏการณ์โคโรนาระหว่างวัตถุกับแผ่นเหล็กถูกถ่ายทอดลงฟิล์มที่อยู่ระหว่างกลางกลายเป็นภาพถ่ายเคอร์เลียน

โดยปกติ ฟิล์มถ่ายภาพสีจะถูกปรับไว้ให้ได้ภาพที่สมจริงในสภาวะแสงปกติ ปรากฏการณ์โคโรนาจะมีปฏิสัมพันธ์ชั่วขณะกับแต่ละชั้นแผ่นแม่สีของฟิล์มที่แตกต่างกันไป อันจะทำให้สีที่ได้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการคายประจุ[7] ทั้งฟิล์มและเทคนิคการถ่ายภาพแบบดิจิตอลล้วนบันทึกภาพจากโฟตอนที่ถูกปล่อยออกมาจากปรากฏการณ์โคโรนา(โปรดดู กลศาสตร์ของปรากฏการณ์โคโร).

ภาพถ่ายจากสิ่งไม่มีชีวิตเช่นเหรียญ กุญแจ หรือใบไม้ สามารถสร้างภาพอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยต่อทางไฟฟ้ากับสายดินลงพื้นดิน ในท่อน้ำเย็นหรือขั้วตรงข้ามของแหล่งไฟฟ้าแรงสูงที่จ่ายให้วัตถุ อันจะทำให้ปรากฏการณ์โคโรนารุนแรงยิ่งขึ้น[8]

การถ่ายภาพเคอร์เลียนไม่จำเป็นต้องใช้กล้องหรือเลนส์เพราะแผ่นรับภาพสัมผัสกับวัตถุโดยตรง จึงสามารถใช้แผ่นตัวนำโปร่งแสงวางคั่นกลางระหว่างวัตถุกับแผ่นเหล็กเพื่อให้สามารถบันทึกภาพด้วยกล้องถ่ายรูปหรือกล้องวิดิโอได้[9]

นักศิลปะการถ่ายภาพเช่น Robert Buelteman,[10] Ted Hiebert,[11] และ Dick Lane[12] เคยถ่ายภาพเคอร์เลียนเพื่อสร้างภาพถ่ายทางศิลปะของวัตถุหลากหลายชนิด นักถ่ายภาพเคอร์เลียน Mark D. Roberts ผู้ทำงานกับภาพถ่ายเคอร์เลียนมานานกว่า 40 ปี ได้เผยแพร่ชุดผลงานของภาพถ่ายพืชโดยใช้ชื่อว่า "Vita occulta plantarum" หรือ "ความลับแห่งชีวิตของพืช" ซึ่งจัดแสดงเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2012 ที่พิพิธภัณฑ์แบ็คเค็นในมินเนทาโพลิส





การถ่ายภาพเคอร์เลียน ได้ถูกจัดให้เป็นหัวใจหลักในเรื่องของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์, การวิจัยทางด้านจิตศาสตร์ซึ่งมีสาขาเฉพาะทางที่เรียกว่าวิชา "ปรจิตวิทยา" ซึ่งพวกเราคนไทยรู้จักกันดีในชื่อว่า "พลังจิต" (parapsychology research) และการกล่าวอ้างเกี่ยวกับเรื่องราวของ วิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscientific) [13][14] ส่วนใหญ่ของการวิจัยทางด้านนี้ ได้ถูกริเริ่มดำเนินการขึ้นเมื่อราวประมาณกลางศตวรรษที่ 20 ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยอดีตของโลกทางฝ่ายกลุ่มตะวันออก (Eastern Bloc) ก่อนการสิ้นสุดลงของสงครามเย็น (cold war) และยังไม่ได้ถูกยกระดับขึ้นเพื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เข้มงวดของโลกฝ่ายตะวันตก


ภาพของเหรียญสองเหรียญ



ากผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1976 ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพเคอร์เลียนของเนื้อเยื่อที่ยังมีชีวิต (จากปลายนิ้วของมนุษย์) พบว่าส่วนใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงในความยาวของลำแสงของการปล่อยแบบโคโรนา, ความหนาแน่น, ความโค้งงอ และ สี สามารถถูกพิจารณาได้โดยสภาพความชื้นบนพื้นผิวและภายในของเนื้อเยื่อที่ยังมีชีวิตอยู่เหล่านั้น [15] นักวิทยาศาสตร์ที่อยู่นอกเหนือจากในสหรัฐอเมริกา ต่างก็ได้ดำเนินการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน

คอนสแตนติน โครอทคอฟ (Konstantin Korotkov) ได้พัฒนาเทคนิคคล้ายกับการถ่ายภาพเคอร์เลียน เรียกว่า "การสร้างภาพการปล่อยประจุของก๊าซ" (gas discharge visualization) (GDV) [16][17][18] ระบบกล้องโครอทคอฟ GDV (Korotkov's GDV camera system) ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่จะบันทึกข้อมูลโดยตรง, เพื่อทำการประมวลผลและแปลความหมายของภาพ GDV ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ของโครอทคอฟ ได้โฆษณาส่งเสริมอุปกรณ์และการวิจัยของเขาในบริบททางการแพทย์ [19][20] อิซาเบลลา ไชสิเอลสกา (Izabela Ciesielska) แห่งสถาบันสถาปัตยกรรมสิ่งทอในประเทศโปแลนด์ ได้ใช้กล้องโครอทคอฟ GDV เพื่อประเมินผลกระทบของการสัมผัสของมนุษย์กับสิ่งทอต่าง ๆ เกี่ยวกับปัจจัยทางชีวภาพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต, ตลอดจนถึงภาพถ่ายการปล่อยประจุแบบโคโรน่า


ภาพใบไม้



ข้อมูลจาก
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่