หนังสวมรอยที่ชอบที่สุดตลอดกาล!!
-เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ยังคงบอกได้เลยว่าสำหรับสกิลการเอาตัวรอดของคุณริปลี่ย์นี่ต่อให้ดูอีกกี่ครั้งก็ยังคงอึ้งและทึ่งกับมันได้เสมอ เป็นหนังสวมรอยชั้นเยี่ยมที่ยังไม่เคยมีเรื่องไหนมาเบียดแซงไปได้
-หนังเล่าถึงทอม ริปลี่ย์ ชายหนุ่มยากจนที่มีความสามารถพิเศษคือการแปลงเสียงและท่าทางอีกฝ่ายได้เหมือนเปี๊ยบ วันนึงเค้าโดนเศรษฐีว่าจ้างให้ไปตามลูกชายของเค้ากลับมาจากยุโรป ทำให้ริปลี่ย์ได้มีโอกาสรู้จักกับ ‘ดิ๊กกี้’ ลูกชายเศรษฐีรักสนุก ริปลี่ย์หลงระเริงใช้ชีวิตติดกับดิ๊กกี้แบบลูกผู้ดีตลอดเวลา จนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ทำให้ริปลี่ย์เกิดต้องสวมรอยเป็นดิ๊กกี้
-หนังสองชั่วโมงไม่ได้มีความยืดยาวแม้แต่น้อย ทุกจังหวะที่หนังเล่าเรื่องให้เราฟังมันมีความหมาย มันทำให้เรารู้จักทั้งริปลี่ย์และดิ๊กกี้มากขึ้นทำให้เราเห็นพัฒนาการของตัวละครทุกตัว จากที่ไม่เคยคิดว่าคนๆนึงจะสวมรอยเป็นคนอีกคนได้ แต่ในเรื่องนี้เราคิดว่าเราเชื่ออย่างสนิทใจว่าริปลี่ย์คือดิ๊กกี้จริงๆ
-ต้องกราบการแสดงของแมตต์ เดมอน แสดงสีหน้าอารมณ์ได้ดีมากจนเราแอบกลัวๆ นางด้วย5555555 การแสดงของเค้ามันทำให้เราแบบเออหมั่นไส้ว่ะ แต่ก็เอ็นดูแล้วก็แอบเอาใจช่วยเบาๆ ย้อนแย้งในตัวเองสุด แมตต์สามารถดึงเอาคาแรกเตอร์ของทั้งริปลี่ย์และดิ๊กกี้ออกมาได้อย่างสุดขั้ว และเรารักเค้าในบทนี้มากๆ ส่วนคุณจู๊ดนั้นเรื่องนี้หล่อมากกกกก กลายเป็นผู้ชายยิ้มเก่งอัธยาศัยดี แต่ก็มีความน่าตบอยู่ในตัว เล่นออกมาได้เข้ากับคาแรคเตอร์ของดิ๊กกี้มากๆ สมแล้วจริงๆ ที่ได้เข้าชิงนักแสดงชายสมทบเยอะมากๆแคสเรื่องนี้เหมาะสมสุดๆ
-ระหว่างดูคือเราใจเต้นแรงมาก หนังมีความเหลี่ยมจัดสุดๆ เราไม่สามารถเดาได้เลยว่าหนังจะเล่นยังไงไปทางไหนต่อ ทุกอย่างมันกดดันเราแบบกดแรงมากๆๆๆ คงต้องบอกเลยว่าจุดนั้นเหมือนเราเป็นคนสวมรอยเอง ลุ้นแรงไม่ต่างจากริปลี่ย์เลย
-ชอบที่ช่วงครึ่งแรกหนังพาเราไปอย่างสบายๆ เที่ยวเมืองโรมอย่างชิลๆ ก่อนที่จะมาใส่ประเด็นหนักไว้กลางเรื่อง แล้วค่อยๆ ทวีความเครียดไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เราคิดว่าเออ เซฟโซนและ เราคงปลอดภัยแล้วนะ แต่สุดท้ายก็ยังหักหลังเราโดยการยัดความเครียดขั้นพีคสุดลงมาให้เราทิ้งท้ายเอาไว้ในตอนจบ มันทำให้กลายเป็นหนังที่น่าจดจำไปเลย
-ซีนสุดท้ายคือที่สุดของที่สุด เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่คงต้องบอกว่าโคตรเจ๋ง ดูทุกซีนเราว่าเราอึ้งทุกซีนแล้วนะ ตอนจบนี่คือคิดไม่ถึงว่าจะเล่นงี้เลย ชอบการถ่ายทำแบบนี้มากๆ ไม่ค้องเห็นได้ด้วยตาแต่สัมผัสได้ด้วยใจสุดๆ
-สายแจ๊สน่าจะอินกับเพลงได้ไม่ยาก ความอิตาลี่ ความเพลงแจ๊ส องค์ประกอบพวกนี้มันผลักให้หนังไหลลื่นมากๆ ดูจบแล้วหาเพลงในหนังฟังฟินลืมเลยจ่ะ
สรุปว่าไปหาดูกันนะ อีกหนังดีมากๆ ที่เรานกขึ้นเป็นลิสต์ในดวงใจอีกเรื่องเลย
9/10
แค่นักวิจารณ์หนังกากๆ คนหนึ่ง
ถ้าชอบการรีวิวครั้งนี้ อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ❤️❤️
ช่องทางการติดตาม
Facebook:
https://www.facebook.com/justsointoeverything
YouTube:
https://www.youtube.com/c/JanYourDiary/featured
Blogger:
https://iknowyouhavegoodtaste.blogspot.com
Blockdit:
https://www.blockdit.com/iknowyouhavegoodtaste
TikTok:
https://www.tiktok.com/@iknowyouhavegoodtaste?lang=th-TH
Instagram:
https://www.instagram.com/iknowyouhavegoodtaste/
[CR] The talented Mr. ripley : ครั้งแรกที่ใจเต้นแรงให้ Matt Damon เขินเหรอ?? เปล่า...ลุ้นโว้ย!!!
หนังสวมรอยที่ชอบที่สุดตลอดกาล!!
-เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ยังคงบอกได้เลยว่าสำหรับสกิลการเอาตัวรอดของคุณริปลี่ย์นี่ต่อให้ดูอีกกี่ครั้งก็ยังคงอึ้งและทึ่งกับมันได้เสมอ เป็นหนังสวมรอยชั้นเยี่ยมที่ยังไม่เคยมีเรื่องไหนมาเบียดแซงไปได้
-หนังเล่าถึงทอม ริปลี่ย์ ชายหนุ่มยากจนที่มีความสามารถพิเศษคือการแปลงเสียงและท่าทางอีกฝ่ายได้เหมือนเปี๊ยบ วันนึงเค้าโดนเศรษฐีว่าจ้างให้ไปตามลูกชายของเค้ากลับมาจากยุโรป ทำให้ริปลี่ย์ได้มีโอกาสรู้จักกับ ‘ดิ๊กกี้’ ลูกชายเศรษฐีรักสนุก ริปลี่ย์หลงระเริงใช้ชีวิตติดกับดิ๊กกี้แบบลูกผู้ดีตลอดเวลา จนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ทำให้ริปลี่ย์เกิดต้องสวมรอยเป็นดิ๊กกี้
-หนังสองชั่วโมงไม่ได้มีความยืดยาวแม้แต่น้อย ทุกจังหวะที่หนังเล่าเรื่องให้เราฟังมันมีความหมาย มันทำให้เรารู้จักทั้งริปลี่ย์และดิ๊กกี้มากขึ้นทำให้เราเห็นพัฒนาการของตัวละครทุกตัว จากที่ไม่เคยคิดว่าคนๆนึงจะสวมรอยเป็นคนอีกคนได้ แต่ในเรื่องนี้เราคิดว่าเราเชื่ออย่างสนิทใจว่าริปลี่ย์คือดิ๊กกี้จริงๆ
-ต้องกราบการแสดงของแมตต์ เดมอน แสดงสีหน้าอารมณ์ได้ดีมากจนเราแอบกลัวๆ นางด้วย5555555 การแสดงของเค้ามันทำให้เราแบบเออหมั่นไส้ว่ะ แต่ก็เอ็นดูแล้วก็แอบเอาใจช่วยเบาๆ ย้อนแย้งในตัวเองสุด แมตต์สามารถดึงเอาคาแรกเตอร์ของทั้งริปลี่ย์และดิ๊กกี้ออกมาได้อย่างสุดขั้ว และเรารักเค้าในบทนี้มากๆ ส่วนคุณจู๊ดนั้นเรื่องนี้หล่อมากกกกก กลายเป็นผู้ชายยิ้มเก่งอัธยาศัยดี แต่ก็มีความน่าตบอยู่ในตัว เล่นออกมาได้เข้ากับคาแรคเตอร์ของดิ๊กกี้มากๆ สมแล้วจริงๆ ที่ได้เข้าชิงนักแสดงชายสมทบเยอะมากๆแคสเรื่องนี้เหมาะสมสุดๆ
-ระหว่างดูคือเราใจเต้นแรงมาก หนังมีความเหลี่ยมจัดสุดๆ เราไม่สามารถเดาได้เลยว่าหนังจะเล่นยังไงไปทางไหนต่อ ทุกอย่างมันกดดันเราแบบกดแรงมากๆๆๆ คงต้องบอกเลยว่าจุดนั้นเหมือนเราเป็นคนสวมรอยเอง ลุ้นแรงไม่ต่างจากริปลี่ย์เลย
-ชอบที่ช่วงครึ่งแรกหนังพาเราไปอย่างสบายๆ เที่ยวเมืองโรมอย่างชิลๆ ก่อนที่จะมาใส่ประเด็นหนักไว้กลางเรื่อง แล้วค่อยๆ ทวีความเครียดไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เราคิดว่าเออ เซฟโซนและ เราคงปลอดภัยแล้วนะ แต่สุดท้ายก็ยังหักหลังเราโดยการยัดความเครียดขั้นพีคสุดลงมาให้เราทิ้งท้ายเอาไว้ในตอนจบ มันทำให้กลายเป็นหนังที่น่าจดจำไปเลย
-ซีนสุดท้ายคือที่สุดของที่สุด เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่คงต้องบอกว่าโคตรเจ๋ง ดูทุกซีนเราว่าเราอึ้งทุกซีนแล้วนะ ตอนจบนี่คือคิดไม่ถึงว่าจะเล่นงี้เลย ชอบการถ่ายทำแบบนี้มากๆ ไม่ค้องเห็นได้ด้วยตาแต่สัมผัสได้ด้วยใจสุดๆ
-สายแจ๊สน่าจะอินกับเพลงได้ไม่ยาก ความอิตาลี่ ความเพลงแจ๊ส องค์ประกอบพวกนี้มันผลักให้หนังไหลลื่นมากๆ ดูจบแล้วหาเพลงในหนังฟังฟินลืมเลยจ่ะ
สรุปว่าไปหาดูกันนะ อีกหนังดีมากๆ ที่เรานกขึ้นเป็นลิสต์ในดวงใจอีกเรื่องเลย
9/10
แค่นักวิจารณ์หนังกากๆ คนหนึ่ง
ถ้าชอบการรีวิวครั้งนี้ อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ❤️❤️
ช่องทางการติดตาม
Facebook: https://www.facebook.com/justsointoeverything
YouTube: https://www.youtube.com/c/JanYourDiary/featured
Blogger: https://iknowyouhavegoodtaste.blogspot.com
Blockdit: https://www.blockdit.com/iknowyouhavegoodtaste
TikTok: https://www.tiktok.com/@iknowyouhavegoodtaste?lang=th-TH
Instagram: https://www.instagram.com/iknowyouhavegoodtaste/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้