[(Spoils) Ghost Stories] สิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้นคือ "ความกลัว" ของตัวเอง.

"The brain sees what it wants to see."


เกริ่นก่อนเข้าเรื่อง

เปิดมาก็เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน เราขอบอกว่าปกติไม่ใช่คนชอบดูหนังผี
ไม่ค่อยเสพ ไม่ค่อยขา-- (เดี๋ยว!) แต่มักจะโดนเพื่อนหลอกไปดูอยู่บ่อย ๆ
บ่อย ๆ ที่ว่าก็คือ 2 เรื่อง-- (นี่เรอะบ่อย! แต่สำหรับคนไม่ดูอย่างเรามันก็เยอะแล้วนา...)

ประเด็นก็คือไอ้ 2 เรื่องที่ว่ามันดั๊นนนนนนเป็นเรื่อง Babadook กับ The Boy (บะบริงเดอะบอยเอาท์--)
ซึ่งตอนดูจบก็แทบจะตะโกนออกมาว่า "โอ๊ยยยย (ผู้กำกับหนัง) 'ผี' หลอก!!!!" ทั้งสองเรื่องเลย
แต่ถามว่าชอบไหม ก็ไม่ได้เกลียดหรือโกรธอะไรนะ เขาก็ทำมาไม่เลวร้ายอะไร แค่รู้สึกเหมือนถูกหักหลังหน่อย ๆ

หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจจะดูหนังแนวนี้อีก แต่ก็ได้แว่บ ๆ เข้าไปดู A Quiet Place เพราะกระแสดีมาก ๆ และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

พอได้ข่าว Ghost Stories ที่ลงฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์และได้กระแสตอบรับท่วมท้นจะเข้าฉายในไทย
เราจึงฮึบ ๆ กับตัวเองว่า "ลองไปดูหน่อยจะเป็นไรไปว้า"

เอาละ ประเด็นที่แท้จริงมันอยู่ตรงนี้...
คือคุณมาร์ติน ฟรีแมน (Martin Freeman) ที่ในเรื่องเล่นเป็นไมค์ พริดเดิล คือเมนของดิฉันเองค่ะ เพี้ยนเพลีย


พอรู้ข่าวว่าคุณเขาจะเล่นหนังหรือซีรีส์อะไรเราก็จะสนใจตามข่าวเป็นพิเศษ พอได้รู้ว่าคุณเขาเล่น "หนังผี" เท่านั้นล่ะ...
เราก็ไปฟังเรื่องผีมารัว ๆ เพื่อพยายามกลบความกลัวของตัวเอง ก๊ากกก ยังไงก็ต้องดู!

ส่วนการตามแคมเปญโปรโมตก็ทำให้เราเห็นอะไรตลก ๆ
เพราะคนรับสารไม่เก็ต "สาร" ที่คนส่งสาร (ผู้กำกับและทีมงาน) ต้องการจะสื่อ

ตัวอย่างเช่น








ซึ่งเราว่าการโปรโมตหนังเรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะทีมงานต้องการ "ชักนำ" ความคิดของเรา




ตามที่หนังต้องการจะสื่อและบอกเราอ้อม ๆ ว่า "The brain sees what it wants to see"
หรือ "สมองจะเห็นในสิ่งที่มันอยากเห็น"




(ภาพจากคลิป You Can't See This (MIND TRICKS) )

แม้จะสลับตัวอักษร ปิดตัวอักษรบางตัว กลับหัวตัวอักษรบางตัว แต่คนเราก็ยังอ่านประโยคเหล่านั้นได้อย่างไหลลื่น
เป็นเพราะ "สมองจะเห็นในสิ่งที่มันอยากเห็น" เท่านั้น
สมองจะเดา "รูปแบบ" ของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น จนเรียกได้ว่าเป็นระบบอัตโนมัติ ทำไปโดยไม่ต้องคิด

ในหนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน โปรโมตมาซะสนั่นว่าเป็น "หนังผี" เวลาคนเข้าไปดูก็คงจดจ่ออยู่แต่กับว่า "ผี" จะออกมาเมื่อไหร่
โดยลืมมองจุดเล็ก ๆ ที่ใส่มา จะว่าสำคัญก็ไม่ ไม่สำคัญหรือก็ไม่ใช่
เช่น ตัวเลขที่วาบผ่านบนจอเร็ว ๆ, ตัวเลขของสถานที่, ภาพของคนสวมเสื้อฮู้ด (ที่ปรากฏขึ้นบ่อย ๆ จนนึกไปเองว่าเป็นผีตามติด)

"The brain sees what it wants to see" จึงอาจเป็นประโยคที่ "หลอก" เรา
และให้ "เบาะแส" บางอย่างกับเราไปในเวลาเดียวกัน

เข้าเรื่อง

ตามที่ตัวอย่างภาพยนตร์และสื่อให้ข้อมูลกับเรา ๆ ท่าน ๆ
หนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญที่มีตัวเดินเรื่องชื่อศ.ฟิลิป กู้ดแมน เป็นชนฟักโกสต์


ใครว่าหมอดูแม่น ไสยศาสตร์แน่ ศ.แกตามไปเปิดโปงหมดไม่เหลือ
ตัวศ.แกเองก็มีไอดอลในใจเช่นกันคือชาร์ลส์ คาเมรอน ชนฟักโกสต์รุ่นเก๋าที่ทำรายการเปิดโปงเรื่องเหนือธรรมชาติมาก่อน
แล้ววันหนึ่งชาร์ลส์ คาเมรอน ก็ส่งเทปเสียงมาให้แก ในนั้นบันทึกเสียงให้ช่วยไปพิสูจน์ 3 เคสสยองที่หาคำตอบไม่ได้

เคส 01 รปภ.กะดึกกับซากรพ.จิตเวชสตรีร้าง


เคส 02 เด็กหนุ่มวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ขับรถไปประสบอุบัติเหตุ


เคส 03 อดีตนายธนาคารผู้ร่ำรวยที่เฝ้ารอลูกคนแรกอยู่ที่บ้านหลังงาม


แต่ใครจะรู้ว่ายิ่งขุดหาความจริงของ 3 เคสนี้ลึกลงเท่าไหร่
สิ่งลึกลับบางอย่างก็ยิ่งตามติดศ.ฟิลิป กู้ดแมน มากขึ้นเท่านั้น

เมื่อเข้าโรงไปดู รอบที่ได้ก็ยิ่งชวนระทึก คือ 20.00 น. ดีที่หนังไม่นาน ราว 100 นาทีเท่านั้น
และผู้ชมนั่งกันเต็มโรง ถือว่าอุ่นใจได้ ไม่กรี๊ดเพียงลำพังแน่นอน

ส่วนตัวชอบตั้งแต่ฉากขึ้นโปรดักชั่นต่าง ๆ เสียงใน BG เป็นเสียงหอบหายใจปนกับเสียงน้ำหยด
ทุกคนสะดุ้งพร้อมกันในฉากที่ชื่อเรื่อง GHOST STORIES ปรากฏตู้ม! ขึ้นกลางจอ

ช่วงแรกของหนัง (นับองก์ไม่เป็นอะ...ขอโทษนะคะ) เป็นการปูข้อมูลส่วนตัวของศ.ฟิลิป กู้ดแมน
บรรพบุรุษเป็นชาวยิว ฟิล์มเก่า ๆ ฉายภาพพิธีบาร์มิตซวาห์ของตัวศ.เอง
ครอบครัวประกอบด้วยพ่อ แม่ พี่สาว และตัวศ. ดูจากการกระทำของพ่อแล้ว น่าจะเป็นคนเคร่งศาสนาอย่างมาก

ภาพที่เห็นอาจทำให้หลาย ๆ คนคิดว่าที่ศ.กลายเป็นชนฟักโกสต์นั้น
อาจเป็นเพราะศาสนาและความเชื่อของพ่อทำให้ครอบครัวแตกแยก
(คาดว่าพี่สาวน่าจะหนีออกจากบ้านไป และดูความสัมพันธ์แล้วศ.น่าจะสนิทกับพี่สาวที่สุดในบ้าน)

ทั้งนี้ตัวศ.แกเคารพชาร์ลส์ คาเมรอน ซึ่งเป็นคนทำรายการเปิดโปงสิ่งเหล่านี้มาก่อน
แต่จู่ ๆ ก็หายตัวไปจน ศ.แกแซวว่า "กลายเป็นหนึ่งในปริศนาไปซะเอง"

แล้ววันหนึ่งศ.ฟิลิปก็ได้รับเทปคาสเซ็ตต์บันทึกเสียงจากชาร์ลส์ ระบุให้ไปหา ณ ที่ที่หนึ่ง


[หลายคนอาจจะเห็นแว่บ ๆ ว่าบนเครื่องเล่นเทปมีเหมือนกลิตเตอร์ติดไว้ ด้วยความบังเอิญก็ไปพบใน IMDb ว่า
Esther (เอสเธอร์) เป็นชื่อของพี่สาวศ.ฟิลิป เรียกได้ว่าเธอน่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในหัวใจของน้องชายคนนี้มาเสมอ]


สำหรับคนที่ตามหนังไม่ทัน เนื่องจากการดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว
"เบาะแส" ที่ถูกใส่มาตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนขมวดปมจบอาจหลุดรอดสายตาไป

หลังจากไปฟาดรอบที่ 3 มาเมื่อคืน //ยังคงสะดุ้งกับฉากหลอก
สรุปประเด็นคร่าว ๆ ได้ประมาณนี้ค่ะ ส่วนหนึ่งเกิดจากการมโนล้วน
ลองดึงนู่นนี่มาปะติดปะต่อกัน ใครเห็นต่างเห็นเพิ่มตรงไหนช่วยมาเสริมก็ดีค่ะ
คุยกันจากหลาย ๆ มุมน่าจะได้อะไรมากขึ้น

- หน้าต่างที่เห็นในช่วงคั่นฉากบ่อย ๆ ฉลาดใช้เพื่อทำให้คนดู put guards down
และเพื่อบอกกลาย ๆ ว่าฟิลิปครึ่งหลับครึ่งตื่น ตอนเห็นหน้าต่าง=ตื่น

- 3 เคส คือสิ่งที่เคยเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่คาดหวังแต่กลับพังทลาย

     1.ยาม คิดว่าคำพูดของยามที่พูดหยอกคือสิ่งที่เกิดจริง
ฟิลิปน่าจะจนแต้มจนต้องลดตัวไปทำงานยามมาก่อน?
หรือไม่ก็เกิดจากการมองเหยียดตัวเอง

     2.เด็กมีปัญหา น่าจะเป็นชีวิตในวัยเด็กของฟิลิป บ้านที่ไม่เหมือนบ้าน
การควบคุมน่าอึดอัด ตามจดจ้องทุกฝีก้าว พ่อแม่แท้จริงเย็นชา
ส่วนปีศาจที่ตัดหน้ารถเราเปรียบเป็น coming of age ด้านเซ็กซ์?
ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปแต่ก็กลัวว่าจะเป็นความผิด กังวลว่าจะถูกเปิดโปง

     3.ร่ำรวยแต่ล้มเหลว ฟิลิปน่าจะหวังอยากเป็นแบบนั้น อยากจะมีเงินทอง บ้านหรู ภรรยา ลูก
แต่ในขณะเดียวกันก็นึกเหยียดคนที่มีพร้อมด้วย (ใจริษยา) แถมอยากจะกล้าอมปากกระบอกปืน​ตอนฆ่าตัวตายเหมือนกัน
แต่ก็กลัว (อย่างที่เห็นตอนเคส 3)

- เรื่องเมียและลูก ชาร์ลส์ คาเมรอน บอกว่า 'เก็บคำหวานไปพูดกับลูกเมียเถอะ ผิดคาดนะที่คุณยังไม่แต่งงาน'​
ส่วนในเคส 1 ก็เมียหลวงตาย มีเมียน้อย เมียน้อยมีลูกสาว ลูกสาวชื่อมาร์นี่ (ถ้าลูกชายจะให้ชื่อนอร์แมน เคารพฮิตช์ค็อก)
เป็นอัมพาต แล้วเมียน้อยล่ะ? (เหมือนจะบอกแต่เราจำไม่ได้)
เคส 3 เมียชื่อมาเรีย ตายตอนคลอดลูกชายชื่อบาร์ตี้ คาดว่าตัวฟิลิปน่าจะมีเมียแต่ไม่ได้แต่งงาน
และไม่แน่ใจว่าเมียตายตอนคลอดลูกหรือเปล่า แต่น่าจะไม่เคยเห็นลูก
เพราะเรื่องทั้งหมดทำให้รู้สึกว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กเพศอะไร
(เรื่องเคารพฮิตช์ค็อกน่าจะเพราะดูหนังผีเยอะตามสไตล์วัยรุ่นช่วงยุคนั้น)​

- ตัวเลข เป็นตัวเลข 9 ตัว ที่เด็กอันธพาลบอกว่ามี 10 ตัว ที่เห็นชัดและเห็นบ่อยคือ 79, 92, 20
โรงแรมที่ไปหายามในเคส 1 ชื่อ the 10th number ตรงกับจำนวนเลข 10 ตัวในอุโมงค์ที่มีจริงแค่ 9
กระดานติดประกาศในทางเดินที่นำไปหายามมีเลข 5 ใน 9 ตัว
รถบ้านของชาร์ลส์ คาเมรอนเลขที่ 79 ตอนจอดรถก่อนไปบ้านชาร์ลส์ บังกะโลเช่าด้านหลังมีเลข 4 ตัวพ่นไว้
วอร์ดร้างที่ยามเฝ้าเห็นเลข 79 กับ 92 ชัดมาก รวมทั้งตัวอักษรและเลข NF81 จากหน้าอุโมงค์ด้วย
ในเคส 2 บ้านของไซมอนเลขที่ 20

- นกและซากนก คิดว่าคัลลาฮาน (ไอ้โล้น)​ คือนกในสายตาของฟิลิป
ทั้งที่มีชีวิตอิสระกลับต้องมาตายโง่ ๆ เพราะการกระทำของเด็กอันธพาลและความกลัวของตัวเอง
ซากนกที่เด็กอันธพาลจับใส่หน้าเพื่อน นกที่บินชนกระจกรพ. นกในรพ.จิตเวชร้าง
ซากนกตาย=จินตนาการซากคัลลาฮานในท่อ
เด็กผญ.​ในเคส 1 และเมียของไมค์น่าจะเกิดจากการจินตนาการถึงความเน่าเปื่อยของศพเช่นกัน

- ตุ๊กตาเด็กผญ.ชุดเหลือง ปรากฏแค่ในเคส 1 และ 3 เพราะเป็นบทบาท 'พ่อ'​ ทั้งสองเคส
แต่เคส 3 'ลูก' เป็นเด็กผู้ชาย แต่ทำไมมีตุ๊กตาเด็กผญ.ในเปล?
อันนี้โยงเข้าความสับสนเพศของลูกที่ไม่เคยเจอหน้าของฟิลิปได้
หรือจะเพราะมีตุ๊กตาเด็กผญ.ชุดเหลืองบนเก้าอี้ในห้องคนไข้ฟิลิปก็ได้
เพราะความไม่เคยเป็นพ่อคนทำให้ไม่รู้วิธีเลี้ยงลูกหรอก
แค่อยากเตรียมให้เพอร์เฟ็กต์อย่างใจคิดเท่านั้นเอง

- การที่ฟิลิปพยายามหาหลักฐานเรื่องราวต่าง ๆ ว่าผีไม่มีจริงก็เพราะอยากจะ
ลบล้างความกลัวในจิตใจตัวเองเรื่องคัลลาฮานมากที่สุด
เพราะกลัวว่าตัวเองจะต้องเผชิญผลแห่งการกระทำละเลยของตัวเอง
และพอถึงจุดจุดหนึ่งชีวิตมันน่าจะบัดซบเกินทนไหว
(ไม่รู้ว่าเพราะความเชื่อตัวเองสั่นคลอนและลูกเมียตายพร้อมกันด้วยหรือเปล่า)
เลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่เวรกรรมอันใดไม่ทราบทำให้ไม่ตาย
แต่นอนครึ่งผีครึ่งคนอยู่บนเตียงได้อย่างเดียว
ส่งผลให้ 'ผี'​ หรือ 'ความรู้สึกผิดในใจ' ตามหลอกหลอนอยู่ไม่ห่าง
หนีไปไหนก็ไม่ได้ (ที่ร่างของคัลลาฮานนอนแนบติดขนาดนั้น)

- คนที่มาเปิดโปงเรื่องทั้งหมดคือไมค์ พริดเดิล เพราะเขาเป็นหมอที่ขานอาการของฟิลิป
เป็นคนที่เฉลยปัญหาทั้งในใจและนอกกายของฟิลิป
เพราะตั้งแต่แรก ชาร์ลส์ คาเมรอน กับไมค์ พริดเดิล ก็คือคนเดียวกันมาตลอด
คนที่ทำให้ฟิลิปตระหนักถึงสภาพความเป็นจริงของตัวเองก็คือเขานี่แหละ
แต่ที่ภาพซ้อนชาร์ลส์กับไมค์เพราะฟิลิปไม่เคยเห็นชาร์ลี คาเมรอน
เลยเอาภาพของไมค์มาซ้อนลงไปเพราะไมค์เป็นคนพูดถึงว่าเป็นอาจารย์
สมองฟิลิปเลยเติมรายละเอียดไปว่าน่าจะเป็นแบบนี้ ๆ น่าเชื่อถือ มีอายุ
เขาเป็นคนที่ 3 เคสที่ 3 ตอนไขกุญแจตู้เก็บปืนไมค์ก็บอกว่า
'ต้องเป็นกุญแจดอกสุดท้ายทุกทีที่ไขปัญหาได้'
ที่สุดท้ายชาร์ลส์ คาเมรอน กระชากหน้ากากออกมาเป็นไมค์ พริดเดิล
ก็เหมือนกับจะบอกย้ำเรื่องที่ฟิลิปมองซ้อนภาพกันระหว่างสองคนนี้
แต่ตัวไมค์คือภาพที่ชัดเจนกว่าเพราะเจอจริง ๆ ต่างกับชาร์ลีที่ไม่เคยเจอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่