ก่อนหน้านี้ที่เราจะรีวิวเรื่องนี้ คือเราพยายามหาข้อมูลการตัดเหงือกว่า
เจ็บไหม น่ากลัวไหม
แต่มันมีแค่ไม่กี่รีวิว หรือ ข้อมูลน้อยมาก เราเลยจะมารีวิวเพื่อเพิ่มข้อมูลการตัดสินใจของผู้ที่จะไปตัดเหงือก หรืออยากทำแต่กลัว
ขอเกริ่นก่อนว่า เราไม่ได้ตั้งใจจะตัดแต่แรก แต่เนื่องจากเราจะดัดฟันร่วมกับผ่าขากรรไกร ..
หมอจึงสั่งให้เราไปตัดเหงือก เนื่องจากฟันบนเราสั้น ทำให้การที่จะติดเครื่องมือจัดฟันมีน้อย
หมอส่งตัวเราให้ไปตัดเหงือกที่ รพ.เซนหลุยส์ ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี กับ สถานีสุรศักดิ์ เลือกลงสถานีสุรศักดิ์จะดีกว่าค่ะ เพราะระยะทางการเดินไปรพ.ใกล้กว่ามาก
(ถ้าถามว่าทำไมส่งไปรพ.นี้ มีหลายเหตุผล แต่ที่เรารับรู้ได้คือ 1.คิวของรพ.เอกชนมันสั้นกว่ารพ.รัฐค่ะ 2.หมอที่จัดฟันให้เราทำงานที่รพ.นี้ แต่กลับไปรับงานที่มหิดล 3.เชื่อมั่นในฝีมือของคนคุ้นเคยจากรพ.ตัวเองมากกว่าที่อื่นๆ )
เราแค่เดานะ แต่อาจจะมีเหตุผลอื่นๆ
มาเริ่มกันดีกว่าเกริ่นซะยาว
เมื่อเจอหมอที่เรานัดตัดไว้แล้ว คุณหมอจะวิเคราะห์ว่าจะตัดแต่งยังไง
ด้วยความที่เหงือกเราค่อนข้างยาว คุณหมอแนะนำให้ตัดครั้งละครึ่ง เพื่อจะไม่ปวดมาก
แต่เราเลือกทำไปก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำสองข้างหรือข้างเดียว
หมอจะฉีดยาชาให้ แต่ฉีดต่างออกไปจากการถอนนะ ครั้งนี้หมอจะฉีดตลอดเหงือกที่จะตัด คือฉีดไม่เยอะเท่า แต่จำนวนครั้งที่จิ้มเข็มเยอะเท่ากับจำนวนฟันที่เราจะตัดเหงือก ฟังดูอาจจะเจ็บ
ใช่ค่ะ มันเจ็บ เพราะตอนฉีดยาชามันคือเนื้อเราล้วนๆ
คุณหมอก็ชวนคุยโน้นนี้ เราก็ถามหมอว่าเจ็บไหม คุณหมอกลับตอบเราว่า คำนี้หมอจะเป็นคนถามนะคะ
เมื่อยาชาเริ่มออกฤทธิ์ (อันนี้ฉีดแค่ครึ่งนึงก่อนค่ะ เพราะอย่างที่บอกเราทำไปก่อนครึ่งนึกว่าไหวไหม)
หมอก็ลงมือค่ะ .. ไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ หมอก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ แอบเม้าส์บ้าง แต่ที่หมอถามบ่อยสุดคงเป็น "เจ็บไหม ถ้าเจ็บบอกนะ" "หลับไปหรือยังคะ"
เวลาผ่านไปชั่วโมงนิด ๆ
ก็เสร็จไปแล้วครึ่งนึง
หมอก็ให้เราพัก เพื่อใช้เวลาคิดว่าจะทำต่อเลยไหม หรือจะพักเพื่อทำสัปดาห์หน้า
เราเลือกทำต่อเลย เนื่องจากเมื่อถามวิธีการทำครั้งต่อไปแล้ว มันก็เจ็บเท่ากับครั้งนี้ เลยเจ็บไปเลยครั้งเดียวเหอะ
เมื่อเลือกทำต่อหมอก็ฉีดยาชาเพิ่มอีกฝั่งที่เราจะทำ
ครึ่งหลังมันผ่านไปเร็วมาก เพราะเหมือนมันคุ้นชินกับการทำในครึ่งแรกแล้ว ไม่เจ็บเหมือนเดิมค่ะ
คุณหมอให้เราไปดูก่อนว่าชอบไหม อยากได้อะไรเพิ่มไหม .. แต่เราไม่รู้ว่าการตัดเหงือกที่สวยคืออะไร
.
.
ถึงช่วงที่พีคแล้วค่ะ
นั้นคือการเย็บค่ะ .. หมอจะเย็บลงไปกับเหงือกเราล้วนๆเลยค่ะ แอบเจ็บ แต่หมอก็ถามว่าจะทนหรือฉีดยาชา
ซึ่งการฉีดยาชานั้น เท่ากับจำนวนเข็มที่หมอจะเย็บ ซึ่งเราคิดว่าการฉีดยาชาด้านในมันเจ็บกว่าการโดนเย็บซะอีก
เราจึงเลือกทนให้เย็บไปเสร็จๆ 5555
เมื่อเย็บเสร็จคุณหมอจะให้เราลุกไปดูกระจกอีกรอบ ว่าเป็นยังไง
สภาพเหงือกที่เห็นคือ มีด้ายอยู่ในทุกซี่ฟัน แอบน่ากลัวหน่อย
คุณหมอนัดตัดไหมอีก 1 สัปดาห์
หมอจะติดอะไรสักอย่างเพื่อให้เรากินง่ายขึ้น แผลจะได้ไม่โดนของกินต่างๆ
..
ถามว่าเจ็บตอนไหน ?
ตอบว่าเจ็บตอนยาชาหมดฤทธิ์ค่ะ แต่ มันไม่ได้เจ็บแบบทรมาน ทุรนทุรายอะไรเลยค่ะ มันแค่รู้สึกเลือดเต้นแบบตุ๊บๆ ในทุกช่องของการเย็บ
เรานั่งเฉยๆ ในมันเจ็บแบบนั้นไปเรื่อยๆ สนุกดีค่ะ
จนจะนอนก็กินพาราไป 1 เม็ดแล้วนอน
ตื่นเช้ามาก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากค่ะ แค่ยิ้มไม่ค่อยได้ อ้าปากได้นิดหน่อย
นี้คือสภาพวันแรกๆ
v
v
v
v
ผ่านไปใกล้ครบสัปดาห์ ก็ยิ้มได้จนเห็นทุกอย่าง แบบนี้
ในระหว่างสัปดาห์ถามว่าเรากินอะไรได้ไหม .. เรากินเกือบทุกอย่างค่ะ
ส่วนใหญ่เน้นพวกเส้น มาม่า ก๋วยเตี๊ยว สปาเก็ตตี้ ขนมจีน ในช่วง 3 วันแรก
สลับกับข้าวต้ม โจ๊ก นม โยเกิร์ต
หลังจากนั้นเราก็กินข้าวปกติค่ะ .. กระเพราหมูสับ ข้าวหมูทอด ข้าวมันไก่ ฯ แต่ต้องกินแบบระวังหน่อยนะ เดี๋ยวที่ปิดแลหลุด กินช้าหน่อยแต่อิ่มกว่า
เมื่อครบสัปดาห์ถึงเวลาตัดไหมแล้ว
ในช่วงแรกที่ตัดเหงือก เราจะรู้สึกแปลกๆกับฟันหน่อย
จนตอนนี้เดือนนึงก็ยังไม่ชินค่ะ
แต่ถ้าถามว่า
ถ่ายรูปสวยขึ้นไหม? มั่นใจขึ้นไหม?
เราตอบได้เลยว่า ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนั้น อาจจะเพราะปกติเราไม่ได้ถ่ายรูปเห็นเหงือกอยู่แล้ว
แต่ถ้าถาม
คนรอบข้าง ทุกคนตอบว่าเห็นได้ชัดเจนว่าฟันดูยาวขึ้น
หน้าเราไม่ได้เปลี่ยนไปขนาดนั้นค่ะ
อย่าถามราคาเลยค่ะ เพราะ รพ.เอกชนเนอะ
หลักหมื่นค่ะ
มีอะไรสงสัยเม้นถามได้ค่ะ บางอย่างเราก็ไม่ได้ลงรายละเอียด เพราะอธิบายไม่ถูก
[CR] "ตัดเหงือก" ฟังดูน่ากลัว แต่ไม่เจ็บอย่างที่คิด
แต่มันมีแค่ไม่กี่รีวิว หรือ ข้อมูลน้อยมาก เราเลยจะมารีวิวเพื่อเพิ่มข้อมูลการตัดสินใจของผู้ที่จะไปตัดเหงือก หรืออยากทำแต่กลัว
ขอเกริ่นก่อนว่า เราไม่ได้ตั้งใจจะตัดแต่แรก แต่เนื่องจากเราจะดัดฟันร่วมกับผ่าขากรรไกร ..
หมอจึงสั่งให้เราไปตัดเหงือก เนื่องจากฟันบนเราสั้น ทำให้การที่จะติดเครื่องมือจัดฟันมีน้อย
หมอส่งตัวเราให้ไปตัดเหงือกที่ รพ.เซนหลุยส์ ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี กับ สถานีสุรศักดิ์ เลือกลงสถานีสุรศักดิ์จะดีกว่าค่ะ เพราะระยะทางการเดินไปรพ.ใกล้กว่ามาก
(ถ้าถามว่าทำไมส่งไปรพ.นี้ มีหลายเหตุผล แต่ที่เรารับรู้ได้คือ 1.คิวของรพ.เอกชนมันสั้นกว่ารพ.รัฐค่ะ 2.หมอที่จัดฟันให้เราทำงานที่รพ.นี้ แต่กลับไปรับงานที่มหิดล 3.เชื่อมั่นในฝีมือของคนคุ้นเคยจากรพ.ตัวเองมากกว่าที่อื่นๆ ) เราแค่เดานะ แต่อาจจะมีเหตุผลอื่นๆ
มาเริ่มกันดีกว่าเกริ่นซะยาว
เมื่อเจอหมอที่เรานัดตัดไว้แล้ว คุณหมอจะวิเคราะห์ว่าจะตัดแต่งยังไง
ด้วยความที่เหงือกเราค่อนข้างยาว คุณหมอแนะนำให้ตัดครั้งละครึ่ง เพื่อจะไม่ปวดมาก
แต่เราเลือกทำไปก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำสองข้างหรือข้างเดียว
หมอจะฉีดยาชาให้ แต่ฉีดต่างออกไปจากการถอนนะ ครั้งนี้หมอจะฉีดตลอดเหงือกที่จะตัด คือฉีดไม่เยอะเท่า แต่จำนวนครั้งที่จิ้มเข็มเยอะเท่ากับจำนวนฟันที่เราจะตัดเหงือก ฟังดูอาจจะเจ็บ ใช่ค่ะ มันเจ็บ เพราะตอนฉีดยาชามันคือเนื้อเราล้วนๆ
คุณหมอก็ชวนคุยโน้นนี้ เราก็ถามหมอว่าเจ็บไหม คุณหมอกลับตอบเราว่า คำนี้หมอจะเป็นคนถามนะคะ
เมื่อยาชาเริ่มออกฤทธิ์ (อันนี้ฉีดแค่ครึ่งนึงก่อนค่ะ เพราะอย่างที่บอกเราทำไปก่อนครึ่งนึกว่าไหวไหม)
หมอก็ลงมือค่ะ .. ไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ หมอก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ แอบเม้าส์บ้าง แต่ที่หมอถามบ่อยสุดคงเป็น "เจ็บไหม ถ้าเจ็บบอกนะ" "หลับไปหรือยังคะ"
เวลาผ่านไปชั่วโมงนิด ๆ ก็เสร็จไปแล้วครึ่งนึง
หมอก็ให้เราพัก เพื่อใช้เวลาคิดว่าจะทำต่อเลยไหม หรือจะพักเพื่อทำสัปดาห์หน้า
เราเลือกทำต่อเลย เนื่องจากเมื่อถามวิธีการทำครั้งต่อไปแล้ว มันก็เจ็บเท่ากับครั้งนี้ เลยเจ็บไปเลยครั้งเดียวเหอะ
เมื่อเลือกทำต่อหมอก็ฉีดยาชาเพิ่มอีกฝั่งที่เราจะทำ
ครึ่งหลังมันผ่านไปเร็วมาก เพราะเหมือนมันคุ้นชินกับการทำในครึ่งแรกแล้ว ไม่เจ็บเหมือนเดิมค่ะ
คุณหมอให้เราไปดูก่อนว่าชอบไหม อยากได้อะไรเพิ่มไหม .. แต่เราไม่รู้ว่าการตัดเหงือกที่สวยคืออะไร
.
.
ถึงช่วงที่พีคแล้วค่ะ
นั้นคือการเย็บค่ะ .. หมอจะเย็บลงไปกับเหงือกเราล้วนๆเลยค่ะ แอบเจ็บ แต่หมอก็ถามว่าจะทนหรือฉีดยาชา
ซึ่งการฉีดยาชานั้น เท่ากับจำนวนเข็มที่หมอจะเย็บ ซึ่งเราคิดว่าการฉีดยาชาด้านในมันเจ็บกว่าการโดนเย็บซะอีก
เราจึงเลือกทนให้เย็บไปเสร็จๆ 5555
เมื่อเย็บเสร็จคุณหมอจะให้เราลุกไปดูกระจกอีกรอบ ว่าเป็นยังไง
สภาพเหงือกที่เห็นคือ มีด้ายอยู่ในทุกซี่ฟัน แอบน่ากลัวหน่อย
คุณหมอนัดตัดไหมอีก 1 สัปดาห์
หมอจะติดอะไรสักอย่างเพื่อให้เรากินง่ายขึ้น แผลจะได้ไม่โดนของกินต่างๆ
..
ถามว่าเจ็บตอนไหน ?
ตอบว่าเจ็บตอนยาชาหมดฤทธิ์ค่ะ แต่ มันไม่ได้เจ็บแบบทรมาน ทุรนทุรายอะไรเลยค่ะ มันแค่รู้สึกเลือดเต้นแบบตุ๊บๆ ในทุกช่องของการเย็บ
เรานั่งเฉยๆ ในมันเจ็บแบบนั้นไปเรื่อยๆ สนุกดีค่ะ จนจะนอนก็กินพาราไป 1 เม็ดแล้วนอน
ตื่นเช้ามาก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากค่ะ แค่ยิ้มไม่ค่อยได้ อ้าปากได้นิดหน่อย
นี้คือสภาพวันแรกๆ
v
v
v
v
ผ่านไปใกล้ครบสัปดาห์ ก็ยิ้มได้จนเห็นทุกอย่าง แบบนี้
ในระหว่างสัปดาห์ถามว่าเรากินอะไรได้ไหม .. เรากินเกือบทุกอย่างค่ะ
ส่วนใหญ่เน้นพวกเส้น มาม่า ก๋วยเตี๊ยว สปาเก็ตตี้ ขนมจีน ในช่วง 3 วันแรก
สลับกับข้าวต้ม โจ๊ก นม โยเกิร์ต
หลังจากนั้นเราก็กินข้าวปกติค่ะ .. กระเพราหมูสับ ข้าวหมูทอด ข้าวมันไก่ ฯ แต่ต้องกินแบบระวังหน่อยนะ เดี๋ยวที่ปิดแลหลุด กินช้าหน่อยแต่อิ่มกว่า
เมื่อครบสัปดาห์ถึงเวลาตัดไหมแล้ว
ในช่วงแรกที่ตัดเหงือก เราจะรู้สึกแปลกๆกับฟันหน่อย
จนตอนนี้เดือนนึงก็ยังไม่ชินค่ะ
แต่ถ้าถามว่าถ่ายรูปสวยขึ้นไหม? มั่นใจขึ้นไหม?
เราตอบได้เลยว่า ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนั้น อาจจะเพราะปกติเราไม่ได้ถ่ายรูปเห็นเหงือกอยู่แล้ว
แต่ถ้าถามคนรอบข้าง ทุกคนตอบว่าเห็นได้ชัดเจนว่าฟันดูยาวขึ้น
หน้าเราไม่ได้เปลี่ยนไปขนาดนั้นค่ะ
อย่าถามราคาเลยค่ะ เพราะ รพ.เอกชนเนอะ หลักหมื่นค่ะ
มีอะไรสงสัยเม้นถามได้ค่ะ บางอย่างเราก็ไม่ได้ลงรายละเอียด เพราะอธิบายไม่ถูก
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้