มหกรรมลดราคา “หุ้นเทคโนโลยีจีน” เริ่มแล้ว ตอนจบ


คอลัมน์: หุ้นส่วนประเทศไทย
หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์
มหกรรมลดราคา “หุ้นเทคโนโลยีจีน” เริ่มแล้ว  ตอนจบ
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.CsiSociety.com
Add Line:  @CsiSociety

เมื่อวานนี้ เราได้คุยกันไปแล้วเกี่ยวกับเหตุการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน และได้นำไปสู่การร่วงลงมาอย่างหนักหน่วงของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน โดยเราคุยกันไป 3 เรื่องคือ  หนึ่ง เมื่อหุ้นเทคโนโลยีของอเมริกาผงาด  สอง หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนประสบกับวิบากกรรม  และสาม ราคาของกองทุน ETF หุ้นอเมริกา...รุ่ง หุ้นจีน...ร่วง
วันนี้ ผมจะพาคุณผู้อ่านไปดูบรรดาหุ้นเทคโนโลยีของจีนเป็นรายตัวกันเลยนะครับ ดังนี้ครับ

-    Tencent  เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ราคาหุ้นได้ไต่ถึงจุดสูงสุดในเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่กว่า 470 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น และทำสถิติราคาสูงสุดตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดฯมาในปี 2547  ในไตรมาสสองที่ผ่านมา  ผลประกอบการของ Tencent ตกลงมากว่า 2% และต่ำกว่าเป้าหมายที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ผลประกอบการที่ออกมาย่ำแย่ดังกล่าวมาจากยอดขายที่ตกลงกว่า 19%  โดยมีเหตุมาจากหน่วยงานจีนไม่อนุมัติเกมออนไลน์ตัวใหม่ของบริษัทในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และน่าจะเป็นเหตุการณ์ร้ายชั่วคราวที่เกิดขึ้น ปัจจุบันราคาต่อหุ้นอยู่ประมาณ 360 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งตกลงมากว่า 20%

-    Alibaba  เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ราคาหุ้นได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดเกือบ 210 ดอลลาร์ ลงมาเหลือประมาณ 180 ดอลลาร์ ท่ามกลางความกลัวว่าจะต้องประสบกับปัญหาเรื่องภาษีจากสงครามการค้า สิ่งที่น่าสนใจของหุ้นตัวนี้ก็คือ  ทุกวันนี้ Alibaba มีอัตราการเจริญเติบโตในระดับ 60% ซึ่งนับว่าสูงมาก และมันก็ถูกซื้อขายในอัตราส่วนระหว่างราคาต่อหุ้น/กำไรต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 50 เท่า  ดังนั้นอัตราส่วนระหว่างราคาต่อหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นในอนาคตหรือ PEG ก็จะอยู่ที่ประมาณ = (50/(1+60%) = 31.25 หรือประมาณ 30 เท่า ถ้า Alibaba ยังสามารถรักษาอัตราการเจริญเติบโตในระดับนี้ต่อไปได้ หุ้นตัวนี้ก็...น่าสนใจมากครับ  

-    Baidu  หุ้นเว็บค้นหาข้อมูลที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ  คุณผู้อ่านหลายท่านคงทราบกันดีว่า  Google ได้หยุดทำธุรกิจในประเทศจีนนับตั้งแต่ปี 2553  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Baidu กลายเป็นเว็บค้นหาข้อมูลเกือบจะแห่งเดียวที่ผูกขาดตลาดจีน อย่างไรก็ตาม ข่าว Google กำลังใช้ความพยายามทุกวิถีทางในการที่จะกลับมาเปิดกิจการใหม่ในประเทศจีนก็ทำให้นักลงทุนพากันกังวล  ซึ่งแนวโน้มในปัจจุบันก็คือ Google ไม่น่าจะกลับมาทำธุรกิจที่จีนได้ง่ายๆ เพราะรัฐบาลจีนคงเข้ามาเซ็นเซอร์เนื้อหาต่างๆอย่างหนักหน่วง และทำให้การค้นหาข้อมูลของ Google ไม่เป็นอิสระ ซึ่งนั่นคงจะทำให้บรรดาพนักงานของ Google ไม่ยอมแน่ๆ  ราคาหุ้นของ Baidu ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดประมาณ 280 ดอลลาร์ต่อหุ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และราคาในช่วงนี้ก็ลงมาเหลือประมาณ 220 ดอลลาร์ต่อหุ้นเท่านั้น

-    JD.com  เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ  และเป็นหุ้น
e-commerce ที่มีมูลค่าการตลาดเป็นอันดับสองของจีนรองจาก Alibaba เท่านั้น  JD.com ทำธุรกิจคล้ายกับ Amazon นั่นคือ การทำการค้าที่ได้กำไรบางเฉียบ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ได้มากที่สุด ทุกวันนี้ หุ้น Amazon ถูกเทรดในค่า P/E ประมาณ 170 เท่า  ขณะที่ JD.com ตอนนี้ถูกเทรดด้วยค่า PEG อยู่ที่ประมาณ 60 เท่าเท่านั้น

-    Weibo  เป็นหุ้นโซเชียลมีเดียของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ  รายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้ออกมาค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม หุ้นตัวนี้ก็ไม่สามารถหลีกพ้นกระแสการเทขายหุ้นต่างๆในตลาดเกิดใหม่ไปได้  ราคาหุ้น Weibo จึงตกลงมาจากเกือบ 140 ดอลลาร์เหลือเพียง 80 ดอลลาร์ หรือตกลงมากว่า 40% นั่นเอง  สิ่งที่น่าสนใจของหุ้นตัวนี้คือ  Weibo มีฐานลูกค้าที่เติบโตโดยเฉลี่ย 25% ทุกปี  ในขณะที่รายได้เติบโตเฉลี่ย 70%   และกำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุกปี ปัจจุบัน Weibo มีฐานลูกค้ามากกว่า 400 ล้านคน

-    Hikvision  คุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะคุ้นเคยดีกับยี่ห้อนี้ดีเพราะ Hikvision เป็นที่ทำกล้อง CCTV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทุกวันนี้ Hikvision ได้นำเทคโนโลยีของตนมาพัฒนาสินค้าไฮเทคอีกมากมาย เช่น ที่จอดรถอัจฉริยะ ระบบการควบคุมจราจรที่มีประสิทธิภาพสูง รถยนต์ขับขี่ด้วยตัวเอง เป็นต้น  ในสงครามการค้าอเมริกา-จีนที่เกิดขึ้น สินค้าต่างๆของ Hikvision ก็โดนเข้าอย่างจัง และต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลต่อราคาหุ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  Hikvision เป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ โดยมีราคาสูงสุดก่อนที่สงครามจะเกิดขึ้นอยู่ที่ประมาณ 44 หยวนต่อหุ้นในช่วงประมาณต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ราคาปัจจุบันของ Hikvison อยู่ประมาณ 30 หยวนต่อหุ้น  โดยมีค่า P/E อยู่ประมาณ 30 เท่า  

-    Pinduoduo  เป็นหุ้นที่เพิ่งออกจำหน่าย (IPO-Initial Public Offering) ในตลาดหุ้น NASDAQ  และเริ่มซื้อขายวันแรกเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีราคาต่อหุ้นประมาณ 24 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากนั้นราคาหุ้นก็ร่วงลงมาตามแนวโน้มของสงครามการค้าที่ดุเดือดขึ้น ทุกวันนี้ราคาของหุ้นตัวนี้เหลือเพียงประมาณ 18 ดอลลาร์ต่อหุ้นเท่านั้น หรือลดลงมาแล้วกว่า 25%   Pinduoduo ทำเว็บไซต์และแอปในโทรศัพท์มือถือที่รวมเอา Social Media กับ e-Commerce มาใช้ร่วมกัน  เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการค้นพบสินค้าปลอมและสินค้าลอกเลียนแบบในเว็บไซต์นี้ จนในที่สุดก็ทำให้ Pinduoduo ต้องตัดสินใจนำรายการสินค้าออกจากเว็บไซต์ของตนมากกว่า 10 ล้านรายการ จึงเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาร่วงลงมา จากนี้ไป Pinduoduo คงจะต้องรีบนำรายการสินค้าเข้ามาเพิ่มอย่างรวดเร็ว และนั่นหมายถึงโอกาสที่ราคาหุ้น Pinduoduo น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวในระยะเวลาอันใกล้

-    Bilibili  เป็นหุ้น IPO อีกตัวหนึ่งที่เพิ่งจะออกจำหน่ายในตลาดหุ้น NASDAQ  โดยเริ่มเข้ามาซื้อขายเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา  Bilibili ทำธุรกิจ Video Streaming และวีดีโอเกม นอกจากผลกระทบจากการที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีของจีนและมีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนจีน  Bilibili ยังมีปัญหาอื่นอีกคือ รัฐบาลจีนได้ออกระเบียบใหม่เกี่ยวกับการทำ Video Streaming   จึงทำให้ Bilibili ต้องเอาแอปของตนออกจากโทรศัพท์มือถือที่เป็นบริษัทระบบแอนดรอยด์ชั่วคราวจนถึงวันที่ 25 สิงหาคมนี้ ซึ่งทำให้ลูกค้าใหม่ๆยังไม่สามารถดู Video Streaming ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นของ Bilibili จากราคาสูงสุดเกือบ 20 ดอลลาร์ต่อหุ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ร่วงลงอย่างรุนแรงเหลือประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อหุ้นในปัจจุบัน  
และนั่นคือ “มหกรรมลดราคา หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน”  หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่คุณผู้อ่านบ้างนะครับ สำหรับคุณผู้อ่านที่คิดจะลงทุน...โปรดใช้วิจารณญาณก่อนการลงทุนทุกครั้งนะครับ  ขอให้คุณผู้อ่านโชคดีในการลงทุนนะครับ

หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่  www.doctorwe.com

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่