อายุ 24 กับชีวิตที่ตลกร้าย

สวัสดีค่ะ พอดีว่าหงุดหงิดกับอะไรหลายๆ อย่างเลยอยากจะระบายสักหน่อย
ใช้ชื่อกระทู้ว่า "อายุ 24 กับชีวิตที่ตลกร้าย" เพราะ 1. เราอายุ 24 แล้ว และ 2. รู้สึกว่าชีวิตมันตลกและซับซ้อนดี หลายๆ มานั่งน้อยใจชีวิตว่าทำไมเป็นแบบนี้ จนบางครั้งก็ปลง ๆ ว่าเออตลกดี เลยขออนุญาติใช้คำว่าตลกร้ายที่เก็บฟีเจอร์ความรู้สึกต่าง ๆ เอาไว้ได้ครบดี

เกริ่น ๆ ก่อนนะคะ จขกท.อายุ 24 ที่โสดและโสดมากกก ไม่เคยมีแฟนเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักความรักไปซะเลยเพราะอกหักมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ในหลายๆ ครั้งก็เป็นเราเองนี่แหละที่ถอยออกมา จะให้พูดตรงๆ คือไม่กล้า ไม่มั่นใจ กลัวนู่นกลัวนี่ บวกกับความที่เราเป็นลูกคนโตโดนปลูกฝังและกดดันว่าให้ตั้งใจเรียนนะ เพราะแม่ของเราท้องตอนเรียนและทำแท้ง เราก็เลยถูกคนในครอบครัวกดดันสารพัดด้วยวิธีการและถ้อยคำที่ฟังแล้วไม่เจริญหูเลย

แล้วชีวิตมันตลกร้ายยังไง ? ...... มันเริ่มจากตอนที่พ่อเริ่มเกเรออกนอกลู่นอกทางนี่แหละค่ะ (ขออนุญาติเอ่ยถึงเซ้นท์ผญ.นิดนึงเถอะถึงแม้ว่าตอนนั้นจะยังเด็กอยู่ แต่ครั้งแรกที่เราเจอคนที่มาเป็นเมียน้อยพ่อเนี่ยไม่ถูกชะตาตั้งแต่ครั้งแรก และยังจำโมเม้นที่พ่อให้ไหว้ผญ.คนนั้นได้ดี ภาพจำยังชัดเจนพูดเลย) ก่อนหน้านั้นชีวิตครอบครัวก็ถือว่าดีถึงแม่ว่าพอเรามีน้องแม่จะกลับมาอยู่บ้านตจว. และให้พ่อทำงานอยู่กรุงเทพเพื่อส่งบ้านคนเดียว แต่ทุกปิดเทอมก็จะได้ไปอยู่กับพ่อยาวๆ ในขณะที่ช่วงเทศกาลพ่อก็จะมาหาที่บ้านตจว.แทน
ตอนนั้นเป็นทั้งลูกคนโตและหลานคนโตของบ้านถูกเลี้ยงแบบตามใจและอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่น อยากได้อะไรก็ได้ แต่พอพ่อเริ่มเกเรปุ๊บบวกกับการที่มีน้องด้วยชีวิตเริ่มเปลี่ยน ความรักและการดูและเอาใจใส่มันเริ่มหายไป เราก็ไม่ได้แสดงออกหรือเรียกร้องความสนใจดราม่าอะไรแบบในละครหรอกนะ แต่เราก็รู้ตัวว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นแล้วและดำเนินมาเรื่อย ๆ
การไม่มีพ่อแย่มั้ย ? ก็ไม่นะในแง่ของความเป็นอยู่ อย่างน้อยเราก็โชคดีที่อยู่ในครอบครัวใหญ่มีตา ยาย น้าๆ ที่คอยดูแล และจากการที่พ่อต้องทำงานส่งบ้านคนเดียวตาก็เลยบอกว่าไม่ต้องส่งค่ากินอะไรให้ลูก เพราะยังไงก็หลานเค้าดูและได้ แต่ในด้านของความรู้สึกมันติดลบไปเลย มันดิ่ง เพราะเรารักพ่อมากกว่าแม่ ตอนแรกๆที่รู้เรื่องเสียใจและร้องไห้จนตาบอกทุกคนที่บ้านว่าเลิกพูดถึงเรื่องนี้
จนเวลาผ่านไปตอนนี้ก็คงประมาณ 12 ปีได้แล้วที่ครอบครัวไม่มีพ่อ ไม่มีแม้แต่การดูแลส่งเสียใด ๆ นั่นเลยเป็นเหตุผลให้ตลอดเวลา 12 ปีที่ผ่านมาเราเป็นลูกที่ต้องทนฟังคนในครอบครัวด่าพ่อให้ฟังเสมอมา ... ควรรู้สึกยังไงอ่ะ ? เสียใจ โกรธ มันมาทุกอย่าง จนโกรธทั้งพ่อและยายที่ชอบด่าพ่อ มันคือสิ่งที่เราไม่ได้ทำเลยแต่เราต้องมาทนฟังและทนฟังอย่างนั้นซ้ำๆ สุดท้ายเราไม่รู้สึกดีกับใครเลย โกรธพ่อ โกรธคนที่ด่าพ่อ และรู้สึกไม่ดีกับตัวเองที่รู้สึกแบบนั้นเพราะทุกฝ่ายคือผู้มีพระคุณหมด คือบาปทุกทางอ่ะ

การที่พ่อมีเมียน้อยคือเรื่องร้าย แม้จะยังมีเรื่องดีๆ คือการที่เราได้อยู่ในครอบครัวที่ยังมียายและน้าๆดูแล แต่... ครอบครัวยิ่งใหญ่แน่นอนว่าปัญหายิ่งเยอะ ความเป็นพี่และหลานคนโตที่ต้องเสียสละมากขึ้น ๆ แบกรับความกดดันมากขึ้น ๆ โดนด่า ดูถูกและเป็นที่รองรับอารมณ์มากขึ้น ๆ
ตอนจะเข้ามหาลัยเราอากเรียนอีกคณะนึงแต่คนที่ส่งเรียนคือน้าซึ่งอยากให้เรียนอกคณะนึงด้วยเหตุผลนานาประการ ความมั่งคง สิทธิประโยชน์ต่างๆ เราโดนตั้งเงื่อนไขว่าถ้าจะเรียนคณะนั้นต้องมธ. หรือจฬ. เท่านั้น สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนจ้ะ ฉันโง่เองเลยสู้ใครเขาไม่ได้ ก็มาเรียนคณะที่เขาให้เรียนแทน ทุกอย่างก็ดำเนินไปจนเรียนจบ ตอนแรกเราก็อยากจะออกไปหาประสบการณ์ชีวิตไปทำงานที่จว.อื่นก่อน ก็โดนหว่านล้อมกดดันจากคนรอบตัวจนโอเคกลับบ้านก็ได้ จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็ใช่ มันเป็เรื่องธรรมดาและธรรมชาติที่สุดของสัตว์สังคมอย่างมนุษย์ที่ยิ่งมาอยู่รวมกันมากๆ ปัญหายิ่งเยอะ และตอนนี้ที่บ้านมีแต่ผญ. ที่อายุก็45+ (ยกเว้นน้องๆที่ตีกันตามประสาเด็ก) อีโก้ทุกคนสูงมากรวมถึงเราเองอันนี้ยอมรับ
ทุกคนทะเลาะกันง่ายแต่ดีกันยากขึ้นนั่นทำให้ชีวิตที่สงบสุขในตจว.หายไปในทันที และถึงแม้เราจะเลือกเป็นฝ่ายเงียบไม่ยอมทะเลาะกับเขา แต่เค้าจะวกมาทะเลาะกับเราเอง และบ้านเราคือใครเสียงดังชนะมั้ง คนที่โต้แย้งคนถัดไปจะเสียดังมากขึ้นเรื่อย ๆ เดินหนีโดนด่า เคยแล้ว และจะโดนขุดมาด่าตั้งแต่ความผิดแต่ปางบรรพ์

คนอื่นมักมองว่าเราโชคดีที่แม้ไม่มีพ่อแต่น้าๆ ดูแลดีมาก ... ใช่ค่ะ ถ้าไม่ได้น้าเราก็คงไม่มีวันนี้ ชีวิตคงแย่ นี่คือเรื่องดีและคือพระคุณที่เราเองก็คงไม่ลืม
แต่สุดท้ายเราก็เป็นแค่หลาน ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ตัวแลและไม่ใช่ว่าฉันจะเรียกร้องใด ๆ แต่เข้าใจมั้ยว่าอารมณ์แบบน้อยใจโชคชะตามันก็มีและเกิดขึ้นได้เวลาที่เราเห็นเพื่อนได้นั่นได้นี่ เราก็น้อยใจบนพื้นฐานของการเข้าใจความจริงอยู่ว่าเราไม่ใช่ลูกและที่เขาส่งเสียเลี้ยงดูคือดีแค่ไหนแล้ว ไม่ใช่หน้าที่เขาเลยที่ต้องมาแบกรับภาระกิเลสต่าง ๆ ของเราอี้กก ก็น้อยใจไปถึงพ่อแม่นะบางทีที่ทำอะไรให้เราต้องมาอยู่ในสภาพนี้ ฉันเลือกอะไรไม่ได้เลย เสียโอกาสในชีวิตหลายอย่างเพราะการเป็นพี่คนโตต้องสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว เรียนจบ หางานทำ ส่งน้องที่คลานตามกันมาเรียนต่อ

และที่ว่าตลกร้ายสุดคิดว่าน่าเป็นการที่เราสูญเสียไอ้อะไรหลายอย่างเพราะการที่พ่อไปมีเมียน้อย แต่การที่เราได้รับโอกาสอื่นมาทดแทนดั๊นมาจากเมียน้อย
เออ น้าเราก็ไปเป็นเมียน้อยเขาและผัวของเขานั่นก็สนิทกันกับที่บ้านและก็ยังมาดูแลเราอี้กก
จะสรุปยังไงดีล่ะ เมียน้อยอ่ะไม่ดี ผู้ชายมักมากก็ไม่ดี แต่... นั่นแหละ เวลาจะด่าเมียน้อยกะพ่อทีก็คิดแล้วคิดอีก

แล้วทุกวันนี้เริ่มคิดแล้วว่าหรือเราควรโสดแบบนี้ต่อไปดี การมีครอบครัวมันน่ากลัวนะ เราคงไม่เข้มแข็งได้อย่างแม่นะ ไม่อยากเป็นทั้งเมียหลวงและเมียน้อย และเราก็คาดหวังอะไรไม่ได้เลย ผช.ที่เข้ามาจะดีหรือหลอก ขนาดลูก2 พ่อยังทิ้งไปมีคนอื่นได้ในขณะที่ผญ.คนนั้นก่อนหน้าเค้าอยู่กับลูกกับผัวยังหอบลูกตามมาอยู่กับพ่อเราแทน เรื่องราวของคนรอบตัวที่ทำให้เราเห็นว่ามันก็ไม่ใช่แค่ความผิดของผู้ชายนะ ผญ.สมัยนี้ก็กล้าที่จะเป็นเมียน้อยและแย่งชิงผัวเขาแบบเปิดเผย ถ้าวันไหนเราจะมีผัวจริงๆ คงต้องทำใจเรื่องการหย่าร้างไว้ในระดับนึงว่ามันอาจเกิดขึ้นด้วยปัจจัยต่าง ๆ พอคิดแบบนี้บ่อย ๆ เลยสบายใจที่จะโสดละ เพราะแค่มโนว่าตัวเองนั่งร้องห่มร้องไห้ก็ไม่ไหวละ เสียดายเวลาชีวิต ถึงแม้บางทีเห็นเพื่อนมีก็อยากมีแต่พอเห็นมันมีปัญหาต่าง ๆ กันก็โอเค.. 1. บุญเรายังมีเนาะ 2. ยังไม่มีผช.คนไหนดวงชะตาขาดเนาะ

สุดท้ายเราก็รู้ว่าชีวิตเราถ้าเปรียบกับคนหลาย ๆ คนเรายังโชคดีมาก ที่ได้พบเรื่องดีในเรื่องร้ายเสมอ อย่างน้อยยังมีโอกาส มีชีวิตที่ดี
ที่เล่ามาแค่อยากจะแชร์เรื่องราวอีกด้านและความรู้สึกที่เกิดขึ้น ขอบคุณที่อ่านจบนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่