ลี จุน ฟาน ( Lee Jun-Fan ) หรือชื่อในวงการที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม " บรู๊ซ ลี " ( Bruce Lee ) เกิดวันที่ 27 ธันวาคม ปี 1940 ที่โรงพยาบาล San Francisco Hospital ซึ่งตั้งอยู่ในเขต China Town ของ San Francisco ประเทศสหรัฐอเมริกา และเสียชีวิตในวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 1973 รวมอายุได้ 33 ปี บรู๊ซ ลี เป็นลูกคนที่ 4 จากพี่น้องทั้งหมด 5 คนเมื่อ บรู๊ซ ลี เกิดได้เพียง 3 เดือน ครอบครัวของเขาก็ย้ายกลับมาอาศัยอยู่ที่ฮ่องกง
บรู๊ซ ลี ชื่นชอบเพลงมวยและการเต้นรำเป็นอย่างมาก จนเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี ก็มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์กับ " อาจารย์ยิปมัน " และเพลงมวย " หย่งชุน " นี่เองที่เป็นต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจให้เขาชื่นชอบการต่อสู้ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้เรียนเพลงมวย " หย่งชุน " เพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นเขายังฝึกท่าเตะ " แบบเทควันโด " ฝึกจูโด ( Judo ) และ " ฝึกแบบคาราเต้ " อีกด้วย จนในที่สุดเขาสามารถคิดค้นเพลงมวยของตัวเอง และตั้งชื่อให้ว่า " เจี๋ยฉวนเต้า ( Jeet Kune Do ) "
จุดเริ่มต้น
เรื่องราวแห่งความโด่งดังของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาตัดสินใจเดินทางไปประเทศ อเมริกา ในปี 1958 ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุ 18 ปี และมีเงินติดตัวไปเพียง 100 ดอลลาร์ซึ่งเป็นเงินเก็บจากการที่เขาเป็นครูสอนเต้นรำและเป็นครูฝึกมวยให้กับนักเรียนกลุ่มเล็กๆของเขา บรู๊ซ ลี อาศัยอยู่ที่ San Francisco ได้เพียงไม่นาน ตัวเขาก็ต้องย้ายมาอยู่ที่ Seattle และมาทำงานอยู่กับเพื่อนของพ่อ โดยรับงานเป็นเด็กเสิร์ฟ ครูสอนเต้นรำและสอนมวยหย่งชุน นอกจากนั้นเขายังส่งเสียตัวเองเรียนจนจบชั้นมัธยมปลายที่ Edison Technical School และสามารถเรียนจนจบปริญญาที่มหาลัย University of Washington ซึ่งที่นั่นเองที่เขาได้พบเจอกับภรรยาของเขา " Linda Emery " ทั้งสองแต่งงานกันในปี 1964 และมีลูกด้วยกัน 2 คน
ย้อนกลับไปตอนที่เขาย้ายมาอยู่ที่ Seattle ในปี 1959 เขาเปิดโรงเรียนสอนมวยเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า " Jun Fan Gung Fu ( จุนฟานกังฟู ) " ลูกศิษย์ของเขาส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่ไม่ใช่คนจีนและกลุ่มเพื่อนของเขา เมื่อลูกศิษย์ของเขามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเขาก็เปลี่ยนชื่อโรงเรียนสอนมวยของเขาเป็น " Lee Jun Fan Gung Fu Institutes " พอถึงปี 1964 เขาและภรรยาก็ย้ายบ้านมาอาศัยอยู่ที่ Oakland และก่อตั้งสถาบันฝึกมวยแห่งที่ 2 ขึ้นที่นั่น ร่วมกับ " James Yimm Lee " ชายผู้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของวงการเพลงมวยจีน
" James Yimm Lee " ได้แนะนำเขาให้รู้จักกับ " Ed Parker " บรู๊ซ ลี จึงมีโอกาสได้โชว์ฝีมือด้านเพลงมวยของเขาในทัวร์นาเมนต์การต่อสู้ที่ใหญ่ระดับประเทศ ชื่อว่า " Long Beach International Karate Championships " ซึ่งในรายการนี้นี่เองที่เขาได้มีโอกาสต่อสู้กับ " Jhoon Goo Rhee " ปรมาจารย์เทควันโด เมื่อการต่อสู้จบลง บรู๊ซ ลี ก็ขอให้ Jhoon Goo Rhee สอนท่าเตะแบบเทควันโดให้ และในปี 1967 ในทัวร์นาเมนต์รายการ " Long Beach International Karate Championships " เป็นอีกครั้งที่ตัวเขาได้ต่อสู้กับ " Vic Moore " ปรมาจารย์คาราเต้ ซึ่ง บรู๊ซ ลี เองก็สามารถเอาชัยชนะมาครองได้อย่างง่ายดายและได้รับการยอมรับจาก " Vic Moore " ว่า " เขาไม่เคยเจอใครที่มีความว่องไวแบบนี้มาก่อนเลย "
ผลงานด้านการแสดง
เนื่องจากครอบครัวของเขามีอาชีพด้านการแสดงอยู่แล้ว บรู๊ซ ลี จึงได้แสดงละครตั้งแต่อายุ 1 ขวบ ในเรื่อง " Golden Gate Girl " ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กทารกเท่านั้น ในปี 1964 Ed Parker ได้แนะนำให้เขาได้รู้จักกับ " William Dozier " ผู้กำกับชื่อดังในสมัยนั้น เขาจึงมีโอกาสได้แสดงในซีรีย์เรื่อง Green Hornet โดยรับบทเป็น " Kato " บอดี้การ์ดฝีมือฉกาจของพระเอกนั่นเอง นอกจากนั้นเขายังได้แสดงในซีรีย์และภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง จนกระทั่งในปี 1970 บรู๊ซ ลี ได้รับบาดเจ็บที่หลัง จากการฝืนยกดัมเบลหนัก 125 ปอนด์ ทำให้เขาต้องพักฟื้นไปนานพอสมควร แต่หลังจากที่อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้น บรู๊ซ ลี และลูกชายคนโตก็พากันออกเดินทางไปที่ฮ่องกง ที่นั่นเองเขาได้รู้จักกับผู้กำกับหนัง นามว่า " Raymond Show " แห่งค่าย " Golden Harvest " ซึ่งเป็นผู้ที่ชื่นชอบเพลงมวยจีนอยู่แล้วประกอบกับชื่อเสียงของ บรู๊ซ ลี เอง จึงทำให้ทั้งคู่ตกลงสร้างหนังขึ้นมาด้วยกัน นั่นก็คือเรื่อง " The Big Boss ( ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง ) " ที่มีการถ่ายทำในประเทศไทย และจากหนังเรื่องนี้เองก็ทำให้ บรู๊ซ ลี โด่งดังเป็นพลุแตกและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นอกจากนั้นยังมีหนังที่ตัว บรู๊ซ ลี แสดงเป็นพระเอกอีกหลายเรื่องด้วยกันและทั้งหมดนั้นใช้ชื่อภาษาไทยว่า " ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง " ทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น " Fist of Fury
( ไอ้หนุ่มซินตึ๊งล้างแค้น ) " แบบนี้เป็นต้น
เรื่องราวยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้เพราะยังมีรายชื่อภาพยนตร์และซีรีย์ที่ บรู๊ซ ลี แสดงอีกหลายเรื่อง รวมทั้งประวัติของเขาที่เจาะลึกลงไปอีก หากท่านใดสนใจก็สามารถเข้าไปอ่านต่อได้ที่บล็อกเกอร์ 13enj1blogger ( เบนจี้ บล็อกเกอร์ ) ตามลิงค์นี้ได้เลยนะครับ
https://goo.gl/UgmVh2 สุดท้ายผมก็อยากฝากติดตามบล็อกของผม 13enj1blogger และฝากกด Like หน้าแฟนเพจกับทุกๆคนด้วย เป็นบล็อกที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ " การพัฒนาตนเอง แรงบันดาลใจ และสาระดีดีที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน "
เกือบลืมตอนจบไป " สาเหตุการเสียชีวิต " ของ บรู๊ซ ลี เกิดจาก จุดเริ่มต้นเมื่อเขามีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง หมอได้วินิจฉัยและสั่งจ่ายยาระงับปวด " Equagesic " เมื่อเขากินยาตัวนี้เข้าไป จึงทำให้อาการของเขาทรุดหนักยิ่งกว่าเดิมจนเข้าขั้นโคม่าและเสียชีวิตในที่สุด แพทย์ชันสูตรได้ผลออกมาประมาณว่า " สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากสมองบวมน้ำ "
ประวัติชีวิตของ บรู๊ซ ลี ( Bruce Lee ) ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง
ลี จุน ฟาน ( Lee Jun-Fan ) หรือชื่อในวงการที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม " บรู๊ซ ลี " ( Bruce Lee ) เกิดวันที่ 27 ธันวาคม ปี 1940 ที่โรงพยาบาล San Francisco Hospital ซึ่งตั้งอยู่ในเขต China Town ของ San Francisco ประเทศสหรัฐอเมริกา และเสียชีวิตในวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 1973 รวมอายุได้ 33 ปี บรู๊ซ ลี เป็นลูกคนที่ 4 จากพี่น้องทั้งหมด 5 คนเมื่อ บรู๊ซ ลี เกิดได้เพียง 3 เดือน ครอบครัวของเขาก็ย้ายกลับมาอาศัยอยู่ที่ฮ่องกง
บรู๊ซ ลี ชื่นชอบเพลงมวยและการเต้นรำเป็นอย่างมาก จนเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี ก็มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์กับ " อาจารย์ยิปมัน " และเพลงมวย " หย่งชุน " นี่เองที่เป็นต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจให้เขาชื่นชอบการต่อสู้ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้เรียนเพลงมวย " หย่งชุน " เพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นเขายังฝึกท่าเตะ " แบบเทควันโด " ฝึกจูโด ( Judo ) และ " ฝึกแบบคาราเต้ " อีกด้วย จนในที่สุดเขาสามารถคิดค้นเพลงมวยของตัวเอง และตั้งชื่อให้ว่า " เจี๋ยฉวนเต้า ( Jeet Kune Do ) "
จุดเริ่มต้น
เรื่องราวแห่งความโด่งดังของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาตัดสินใจเดินทางไปประเทศ อเมริกา ในปี 1958 ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุ 18 ปี และมีเงินติดตัวไปเพียง 100 ดอลลาร์ซึ่งเป็นเงินเก็บจากการที่เขาเป็นครูสอนเต้นรำและเป็นครูฝึกมวยให้กับนักเรียนกลุ่มเล็กๆของเขา บรู๊ซ ลี อาศัยอยู่ที่ San Francisco ได้เพียงไม่นาน ตัวเขาก็ต้องย้ายมาอยู่ที่ Seattle และมาทำงานอยู่กับเพื่อนของพ่อ โดยรับงานเป็นเด็กเสิร์ฟ ครูสอนเต้นรำและสอนมวยหย่งชุน นอกจากนั้นเขายังส่งเสียตัวเองเรียนจนจบชั้นมัธยมปลายที่ Edison Technical School และสามารถเรียนจนจบปริญญาที่มหาลัย University of Washington ซึ่งที่นั่นเองที่เขาได้พบเจอกับภรรยาของเขา " Linda Emery " ทั้งสองแต่งงานกันในปี 1964 และมีลูกด้วยกัน 2 คน
ย้อนกลับไปตอนที่เขาย้ายมาอยู่ที่ Seattle ในปี 1959 เขาเปิดโรงเรียนสอนมวยเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า " Jun Fan Gung Fu ( จุนฟานกังฟู ) " ลูกศิษย์ของเขาส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่ไม่ใช่คนจีนและกลุ่มเพื่อนของเขา เมื่อลูกศิษย์ของเขามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเขาก็เปลี่ยนชื่อโรงเรียนสอนมวยของเขาเป็น " Lee Jun Fan Gung Fu Institutes " พอถึงปี 1964 เขาและภรรยาก็ย้ายบ้านมาอาศัยอยู่ที่ Oakland และก่อตั้งสถาบันฝึกมวยแห่งที่ 2 ขึ้นที่นั่น ร่วมกับ " James Yimm Lee " ชายผู้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของวงการเพลงมวยจีน
" James Yimm Lee " ได้แนะนำเขาให้รู้จักกับ " Ed Parker " บรู๊ซ ลี จึงมีโอกาสได้โชว์ฝีมือด้านเพลงมวยของเขาในทัวร์นาเมนต์การต่อสู้ที่ใหญ่ระดับประเทศ ชื่อว่า " Long Beach International Karate Championships " ซึ่งในรายการนี้นี่เองที่เขาได้มีโอกาสต่อสู้กับ " Jhoon Goo Rhee " ปรมาจารย์เทควันโด เมื่อการต่อสู้จบลง บรู๊ซ ลี ก็ขอให้ Jhoon Goo Rhee สอนท่าเตะแบบเทควันโดให้ และในปี 1967 ในทัวร์นาเมนต์รายการ " Long Beach International Karate Championships " เป็นอีกครั้งที่ตัวเขาได้ต่อสู้กับ " Vic Moore " ปรมาจารย์คาราเต้ ซึ่ง บรู๊ซ ลี เองก็สามารถเอาชัยชนะมาครองได้อย่างง่ายดายและได้รับการยอมรับจาก " Vic Moore " ว่า " เขาไม่เคยเจอใครที่มีความว่องไวแบบนี้มาก่อนเลย "
ผลงานด้านการแสดง
เนื่องจากครอบครัวของเขามีอาชีพด้านการแสดงอยู่แล้ว บรู๊ซ ลี จึงได้แสดงละครตั้งแต่อายุ 1 ขวบ ในเรื่อง " Golden Gate Girl " ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กทารกเท่านั้น ในปี 1964 Ed Parker ได้แนะนำให้เขาได้รู้จักกับ " William Dozier " ผู้กำกับชื่อดังในสมัยนั้น เขาจึงมีโอกาสได้แสดงในซีรีย์เรื่อง Green Hornet โดยรับบทเป็น " Kato " บอดี้การ์ดฝีมือฉกาจของพระเอกนั่นเอง นอกจากนั้นเขายังได้แสดงในซีรีย์และภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง จนกระทั่งในปี 1970 บรู๊ซ ลี ได้รับบาดเจ็บที่หลัง จากการฝืนยกดัมเบลหนัก 125 ปอนด์ ทำให้เขาต้องพักฟื้นไปนานพอสมควร แต่หลังจากที่อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้น บรู๊ซ ลี และลูกชายคนโตก็พากันออกเดินทางไปที่ฮ่องกง ที่นั่นเองเขาได้รู้จักกับผู้กำกับหนัง นามว่า " Raymond Show " แห่งค่าย " Golden Harvest " ซึ่งเป็นผู้ที่ชื่นชอบเพลงมวยจีนอยู่แล้วประกอบกับชื่อเสียงของ บรู๊ซ ลี เอง จึงทำให้ทั้งคู่ตกลงสร้างหนังขึ้นมาด้วยกัน นั่นก็คือเรื่อง " The Big Boss ( ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง ) " ที่มีการถ่ายทำในประเทศไทย และจากหนังเรื่องนี้เองก็ทำให้ บรู๊ซ ลี โด่งดังเป็นพลุแตกและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นอกจากนั้นยังมีหนังที่ตัว บรู๊ซ ลี แสดงเป็นพระเอกอีกหลายเรื่องด้วยกันและทั้งหมดนั้นใช้ชื่อภาษาไทยว่า " ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง " ทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น " Fist of Fury
( ไอ้หนุ่มซินตึ๊งล้างแค้น ) " แบบนี้เป็นต้น
เรื่องราวยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้เพราะยังมีรายชื่อภาพยนตร์และซีรีย์ที่ บรู๊ซ ลี แสดงอีกหลายเรื่อง รวมทั้งประวัติของเขาที่เจาะลึกลงไปอีก หากท่านใดสนใจก็สามารถเข้าไปอ่านต่อได้ที่บล็อกเกอร์ 13enj1blogger ( เบนจี้ บล็อกเกอร์ ) ตามลิงค์นี้ได้เลยนะครับ https://goo.gl/UgmVh2 สุดท้ายผมก็อยากฝากติดตามบล็อกของผม 13enj1blogger และฝากกด Like หน้าแฟนเพจกับทุกๆคนด้วย เป็นบล็อกที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ " การพัฒนาตนเอง แรงบันดาลใจ และสาระดีดีที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน "
เกือบลืมตอนจบไป " สาเหตุการเสียชีวิต " ของ บรู๊ซ ลี เกิดจาก จุดเริ่มต้นเมื่อเขามีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง หมอได้วินิจฉัยและสั่งจ่ายยาระงับปวด " Equagesic " เมื่อเขากินยาตัวนี้เข้าไป จึงทำให้อาการของเขาทรุดหนักยิ่งกว่าเดิมจนเข้าขั้นโคม่าและเสียชีวิตในที่สุด แพทย์ชันสูตรได้ผลออกมาประมาณว่า " สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากสมองบวมน้ำ "