สวัสดีคะ วันนี้มีเรื่องที่คิดไม่ตกเอาซะมากๆอยากระบายปนๆต้องการคำแนะนำ คือดิฉันกับแฟนเพิ่งแต่งงานกันได้ร่วม2อาทิตย์กว่า เมื่อ3วันก่อนดิฉันดันเปิดกระเป๋าทำงานแฟนและพบสมุดบัญชีธนาคารที่เหมือนแฟนเพิ่งไปเปิดเมื่อไม่นาน แต่เห็นตัวเลขในบัญชีเป็นรายการ +++ 15xxxx เปิดเจอพบมี2ธนาคารที่เป็นรายการ +++15xxxx ก็เลยแอบคิดในใจว่าทำไมสามีมีเงินเก็บตรงนี้มาจากไหนเราไม่เคยรู้ เพราะหลังแต่งงานเคลียค่าใช้จ่ายกันเสร็จแล้วรวมกับพ่อสามีให้มาเพิ่มอีกราว2หมื่น มีเงินติดตัวกันมา 5xxxx แต่ที่ทราบมาคือสามียังมีติดตัวในบัญชีเกือบ 1แสน เพราะค่าสินสอดเรา 2แสน ทอง10บาท และเงิน2แสน สามีออก1แสน และแม่สามีพูดว่าอีก1แสน แม่ยกให้ เราก็กะว่าไหนๆแล้วก็เลยจะเปิดบัญชี เริ่มต้นที่1แสนบาทเป็นบัญชีคู่ แต่3วันก่อนเราเจอสมุดบัญชี ตามยอดทีเห็นซะก่อน ใจก็แอบจะงอนสามีที่ว่าแอบอุบอิบเงินกับเราทำไม จึงตั้งคำถามปลายเปิดออกไป ว่ามีอะไรที่ยังไม่บอกกันไหม ถามอยู่พักนึง ได้คำตอบมาว่า "พี่เครียดมานานแล้ว" ใจเราชักไม่ค่อยดี เครียดอะไร จึงถามต่อ ปรากฎว่า สามีบอกว่า ตอนนี้พี่เป็นหนี้บัตรเครดิต 7 แสนบาท เราตกใจมาก เพราะไม่เคยรู้เรื่องอะไรมาก่อน เล่าย้อนกลับไป สามีทำงานได้เงินเดือน7หมื่น มีค่าใช้จ่ายหลักๆคือเช่าคอนโดบวกน้ำไฟ 1หมื่น และให้ที่บ้าน1หมื่น ค่าน้ำมัน (ซึ่งตรงนี้เราไม่เคยรู้มาก่อน แต่สามีบอกว่า 2หมื่น) และที่ผ่านมาต้องบอกก่อนว่าเรากับสามีก่อนแต่งงานคบกันเป็นแฟนราวเกือบ2ปี และก็ตัดสินใจแต่งงานกัน ระหว่างคบกันเราออกมาเช่าคอนโดอยู่ด้วยกัน เพราะสามีบ้านอยู่แถวรามอินทราส่วนตัวเราทำงานเป็นพยบ.ในเขตแถวๆพุทธมณฑล เนื่องจากตอนคบกันเราไม่สามารถไปพักค้างคืนที่บ้านแฟนได้ เพราะพ่อแม่สามีไม่อนุญาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแค่ไปบ้านก็ไม่เคย เราจึงจำเป็นหาที่อยู่กันใกล้ที่ทำงานเราเพราะต้องขึ้นเวร ชบด ส่วนสามีถ้าเวลาเราทำงาน ขึ้นเวรถี่ๆหรือเวรดึก ก็จะกลับบ้าน ก็จะมาอยู่ด้วยกันเวลาที่เราหยุดและ เสาร์ อา.ที่หยุดตรงกัน ระหว่างคบกันเป็นแฟนต้องบอกก่อนว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่มาโดยตลอด ได้กินได้เที่ยว แต่เราก็ประเมินตลอดว่าค่าใช้จ่ายมันไม่ได้เกินจนทำให้เป็นหนี้ เพราะตัวเราเองก็เงินเดือน3หมื่น แต่ส่วนใหญ่เงินของเราจะใช้แค่ค่าใช้จ่ายของเราเท่านั้น ค่าใช้จ่ายกินเที่ยวที่เป็นของ2คนเวลาไปด้วยกันอยู่ด้วยกันก่อนหน้าตอนเป็นแฟน สามีจะออกเสมอ เงินของเราที่เหลือเราก็เก็บใส่บัญชีเรา แต่เราบอกกับสามีตลอดว่าเรามีเงินเก็บตรงนี้นะ 1แสนบาท ไม่ได้ปิดบัง และก่อนแต่งงานช่วงระหว่างคบกัน สามีก็คุยเรื่องแต่งงาน เราเลยคุยกันถึงเรื่องเงินเก็บเพื่อประเมินค่าใช้จ่าย เพราะเราก็หวังว่าการแต่งงานเราจะไม่ไปกู้หนี้ยืมสินกันมา และแฟนบอกว่าแฟนมีเงินเก็บ7แสน เราก็สบายใจ เราก็บอกแฟนว่าจริงๆสินสอดทองหมั้นบ้านเราไม่เรียกหรอก เอามาตรฐานถ้าเงินเก็บเท่านี้ก็2แสน10บาทที่บ้านก็คงโอเค และเงินที่เหลือเราก็จัดงานแต่ง ยังงัยก็น่าจะเพียงพอกับการแต่งงานแบบไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน แต่เรื่องไม่คาดฝันก็ดันมาชิงเกิดระหว่างที่กำลังจะจัดการเรื่องการสู่ขอ แฟนก็มาบอกว่ามีปัญหาที่ทำงาน ตรงนี้ขอละไว้ว่าเรื่องอะไร แต่ไม่ใช่เรื่องทุจริตแน่นอน ซึ่งโดนเรียกค่าเสียหาย7แสน ตอนนั้นทางเรากับแฟนก็กลุ้มใจเครียดกันมากเพราะแพลนจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่ระหว่างนี้ได้ติดต่อทนายซึ่วเป็นเพื่อนแฟนมาเจรจาไกล่เกลี่ยเพราะตัวเลขค่าเสียหายจริงๆมันไม่เท่านั้นแน่นอนาุดท้ายค่าเสียหายเหลือ3แสน5 เรากับแฟนก็เหมือนยกภูเขาออกจากออก เพราะถึงแม้จะเหลือเงินอยู่3แสน5าำหรับงานแต่งซึ่งคงพอแค่ค่าสินสอดทองหมั้น ส่วนค่าจัดงานทางแฟนก็กะว่าขอยืมทางพ่อแม่สามี เพราะกะจะเป็นเจ้าภาพกันเองโดยไม่ต้องให้บ้านฝ่ายหญิงออก เราก็สบายใจกันไปในตอนนั้น แบะก็แพลนเดินหน้าเรื่องแต่งงานตามพิธีไปดูฤกษ์แบะให้ที่บ้านมาสู่ขอ ซึ่งเรากะแฟนตกลงว่าอยากแต่งกันประมาณเดือนนี้ ก็ดูเอาวันที่ดีเท่านั้น ซึ่งฤกษ์แต่งมันก็ราวๆ6-7เดือน นับจากเสร็จสิ้นกระบวนการสู่ขอและเราก็แต่งงานกัน เสร็จงานเคลียเงินคืนทางบ้านสามีและได้กำไรจากการจัดงานมา3xxxx แต่พ่อให้เติมมาเป็น 5xxxx และค่าสินสอดแม่สามีออกไป2แสน สามีก็โอนคืน1แสน และอีก1แสนแม่บอกยกให้ เพราะเห็นว่าสามีบอกมีราวๆ7หมื่น แม่ก็เลยบอกให้เอาเก็บไว้ใช้ ส่วนทองหมั้นตอนนั้นเงินสามีไม่พอ เราก็เลยเอาไปเติมให้อีก2บาท ให้ครบตามที่ตกลงวันสู่ขอ ก็เหมือนทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ไปฮันนีมูนกันที่มัลดีฟ และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ3วันก่อนตามที่บอก ว่าสามีบอกว่าเป็นหนี้7แสน ซึ่งเราก็ยังสับสนว่าเป็นไปได้ไง งงกับเรื่องที่เกิดขึ้น หนี้มาจากไหน ซึ่งสามีบอกว่าจริงๆเงินไม่พอใช้มานานมากแล้ว ตลอดเวลาก็หมุนๆไปเรื่อยๆแต่คิดว่ามันก็พอ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนจะแต่งงานว่ามันไม่พอและก็เครียด แต่อยากแต่งงาน ก็เลยเก็บเรื่องไว้คนเดียว เราเลยถามว่าและสรุปเงิน7แสนที่เคยบอกมีมันมีจริงไหม กลับได้คำตอบว่ามันไม่ได้มีขนาดนั้น มีแค่เกือบๆ2แสน และตอนที่โดนเรียกค่าเสียหายจากออฟฟิศนั่นก็ตังค์ไม่พอตั้งแต่ตอนนั้น ที่กดจากบัตรเครดิตออกมา และก็แต่งงานก็เลยไม่มีตังค์ ก็กดบัตรมาหมุนไป และในวันนั้นที่รู้ความจริง บัตรเอทีเอ็มที่เรามีเงินในบัญชี1แสนมันหายไปจากกระเป๋าสตางค์ ซึ่งเราก็โทรไปร้องไห้กับสามี เพราะเราก็บอกว่าเราไม่รู้มันหายตอนไหน เพราะมันนานมากที่ไม่ได้หยิบบัตรออกมาเลย ป่านนี้เงินหมดบัญชีไปแล้วและสามีก็ทำทีลงไปหาในรถและบอกเจอแล้วในรถ แต่ตอนนั้นเราตะขิดตะขวงใจสามี เพราะเอาจริงเราไม่เคยหยิบบัตรออกมาตอนอยู่บนรถมันจะหล่นบนรถได้ไง แต่เราก็ไม่อยากอคติ ซึ่งปรากฎทราบว่าสามีนั่นแหระที่ขโมยบัตรไป และกดเงินเราไปหมดบัญชีเลย เราโคตรเสียใจแต่ไม่ได้เสียดายหรอกนะ เสียใจในตัวสามีไม่คิดว่าทำไมจู๋ๆถึงกลายเป็นคนแบบนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุผลทั้งหมดที่เค้าบอกมาคือเงินที่มันไม่พอก็คือเอามาใช้จ่ายกับเราในชีวิตประจำวัน รวมถึงค่าแต่งงาน ซึ่งเราไม่เคยรู้ความจริง ตลอดเวลาคือคิดว่ามี แต่เค้าโกหกมาตลอดว่ามี ในตอนนี้ก็เครียดคะ เพราะตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะจะสร้างครอบครัว จะเปิดบัญชีเก็บเงินเริ่มต้นจาก1แสนที่มีติดตัวกันมา และก็จะแพลนดูบ้าน กู้บ้านร่วมกันแต่แล้วความฝันก็สลายลงกลายเป็นความกดดันที่เพิ่มขึ้นมาว่าจะใช้ชีวิตกินอยู่อย่างไรกับหนี้7แสน ที่ต้องผ่อนขั้นต่ำถึง7หมื่นบาทต่อเดือน แต่เราก็ช่วยด้วยการยกทองหมั้นที่ได้มาเอาให้สามีไปขายทั้งหมดเหลือติดคอใส่เป็นสร้อยพระไว้1เส้น จากที่คิดว่าหลังแต่งงานจะไม่ลำบาก เพราะพร้อมทุกอย่าง กลายเป็นพังทุกอย่าง แต่เราก็ร้องไห้ เครียด เหมือนจะรับไม่ได้อยู่วันสองวัน จนสุดท้ายเราก็พยายามปล่อยวางหาทางแก้ไขเพราะเห็นแก่ความรักตามที่สามีบอกมาว่าที่ทำไปทั้งหมด ก็แค่อยากให้เรามีความสุขเลยปกปิดความลับเอาไว้คนเดียว คิดแบบนี้เราก็พยายามมองแค่ความรัก และจับมือกัน ช่วยกันหาทางออกแต่ลึกๆก็แอบอยู่ยากกับการต้องจ่ายหนี้เดือนละ5หมื่นกับเงินเดือน2คนรวมกัน9หมื่น แต่ก็ทางเราเองก็มีภาระติดพันเป็นค่าผ่อนรถมาแต่แรกอยุ่แล้ว ซึ่งก็ตัดตรงนี้ไปก็คงเหลือในส่วนของเราราวๆ18xxx ที่เอาไว้ใช้จ่ายสำหรับค่ากิน เพราะเงินส่วนของเค้าจ่ายหนี้5หมื่น บวกกับค่าเช่าคอนโดและค่าน้ำมันก็ยังไม่พอจ่ายหนี้ขั้นต่ำ5หมื่นต่อเดือนด้วยซ้ำ ต้องแข็มแข็งและอดทนแค่ไหนคะถึงจะผ่านไปได้ และล่าสุดก็ไปเจอไลน์ที่สามีคุยกับครอบครัวเค้าว่าประมาณไปตราดกับเรา เราก็สงสัยไปตราดคืออะไร เค้าก็ให้เหตุผลว่าพอดีที่บ้านถามว่าไม่กลับบ้านหรอ เราก๋เลยสงสัย ทำไมไม่ตอบไปตรงๆว่าก็กลับวันที่เราหยุดทำไมต้องโกหกว่าไม่กลับบ้านเพราะไปตราด ก็ได้ความมาว่าต้องโกหกเพื่อรักษาน้ำใจพ่อกับแม่ เพราะก่อนแต่งงานก็ถ้าเวลาเราขึ้นเวรก็จะกลับบ้าน เราก็เลยครุ่นคิดแล้วตอนนี้แต่งงานการที่สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ในวันที่เราต้องขึ้นเวร การที่สามีไม่ได้กลับบ้านเค้ามันดูเป็นเรื่องที่มันแย่ตรงไหนเราก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่เราก็เสียสละ ทางสามีเป็นลูกคนเดียว และเราก็ลูกคนเดียว แต่เราไม่ได้โตมาแบบอยู่บ้าน เราโตมากับการอยู่วิทยาลัยอยู่หออยู่แล้ว จนกระทั่งทำงานก็กลับบ้านนานๆที แต่สามีเค้าก็ใช้เหตุผลว่าเค้าโตมากับการอยู่บ้าน แต่เราก็คิดว่าก็ตอนนี้แต่งงาน และเราก็ตัดสินใจกันว่าจะซื้อบ้านอยู่ คือหมายถึงแยกครอบครัวออกมา เพราะเราต้องทำงานตรงนี้ และอาชีพเรามั่นคงเป็นพยบ.ข้าราชการแล้วด้วย จะให้เราลาออกเพื่อไปอยู่บ้านสามีมันก็คงไม่ใช่เราว่าเรื่องแบบนี้มันก็ต้องแล้วแต่สามีภรรยากับความสมเหตุสมผลหรือเปล่า และทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันเหมือนมีแต่ความกดดันรุมเร้าจัง ทั้งที่เราก็ใช่ว่าจะให้สามีแบบทิ้งทางบ้านออกมาเลย วันหยุดเราก็จะกลับบ้านไปหาท่านกันแน่ๆ แต่มันอาจจะไม่ใช่ทุกวัน แต่ก็อาทิตย์ เว้นอาทิตย์ ช่วงเสา อา.มันก็ไม่ได้ดูโหดร้ายหรือเปล่าคะ ทำไมสามีถึงต้องกังวลเรื่องว่าที่บ้านจะรู้สึกไม่ดีถ้าตนเองกลับบ้านน้อยจากเดิม ทั้งที่เราก็แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อใจคะ อย่างที่บอกต้อวอดทนแค่ไหน ถึงจะผ่านไปได้
เพิ่งแต่งงานได้2อาทิตย์ กลับพบว่ามีปัญหาเข้ามาในครอบครัว ทำให้ชีวิตแต่งงานดูเหมือนจะไม่มีความสุข