เชื่อว่าหลายคนต้องได้เห็น "เพื่อนอวดรวย" กันเป็นประจำ ไม่ว่าจะทางสื่อออนไลน์ต่างๆ
การถ่ายรูปอวดยอดเงินในบัญชี การไปเที่ยวต่างประเทศ สินค้าแบรนด์เนมและวิถีชีวิตอยู่ดีกินดี
หรือจากคำบอกเล่าของครอบครัวคนคนนั้น การอวยกันของบรรดาเพื่อนในกลุ่ม ในบริษัท
ดิฉันเองกำลังสงสัยว่าตัวเองจะกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีพฤติกรรมข้างต้น
ขอแนะนำตัวว่า ดิฉันเกิดในครอบครัวที่ยากจนมากมาก่อน
มีบ้านหนึ่งหลัง แม่เป็นแม่ค้าขนม พ่ออาชีพรับจ้างทั่วไป พ่อแม่จบ ป.4
รายได้ครอบครัวเราน้อยมาก อาศัยการประหยัดเป็นที่ตั้งและขอทุนการศึกษา จึงมีเงินพอส่งเสียฉันเรียนจบ
ช่วงเรียนประถม มัธยม ดิฉันไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร เนื่องจากคนมีรายได้น้อยมักจัดอยู่ในสังคมอีกชั้น
ได้รับการดูถูกดูแคลนจากคุณครูบางท่าน (ส่วนน้อย) ที่ดิฉันทนไม่ได้คือดูถูกแม่ดิฉันที่เก็บขวดขายในงานกีฬาสี
ครั้งหนึ่งที่จำได้ ดิฉันอยากได้หนังสือเด็กชุดหนึ่ง แน่นอนว่าแม่ไม่ได้ซื้อให้ ดิฉันถามแม่ว่า "ทำไมหนูซื้อหนังสือเล่มนี้ไม่ได้"
แม่ตอบว่า "ถ้าเราใช้เงินซื้อของแบบนั้น กินอาหารแบบนั้น เราจะไม่มีบ้านอยู่"
ดิฉันผ่านวัยเด็กและวัยรุ่นมาอย่างเจ็บปวดด้วยต้นทุนชีวิตที่จำกัด และคำพูดที่เหยียบย่ำความรู้สึก
ความโชคดีที่สุดในชีวิตของดิฉันคือ ครอบครัวดิฉันเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาอย่างมาก
ความรู้จะทำให้ดิฉันไม่มีวันอดตาย จึงใช้ความเพียรพยายาม สอบเข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งได้สำเร็จและจบการศึกษามา
งานอดิเรกของดิฉันคือถ่ายภาพ ชอบท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ปีหนึ่งไปต่างประเทศหนึ่งครั้งหรือสองครั้ง
เวลาซื้อของขวัญวันแม่ วันพ่อ จะเป็นทองคำ เครื่องประดับ เงินสด เพราะคิดว่าดีกว่าซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเนื่องจากขายได้เวลาที่ต้องการใช้เงิน
จะมีถ่ายรูปอวดในอินสตาร์แกรม เฟซบุ๊คบ้าง ส่วนการกินหรูอยู่แพง ดิฉันจะทำเฉพาะเวลาที่ต้องเจอลูกค้า หรือในงานสังคมเท่านั้น
เพื่อนบางคนพูดแขวะดิฉันว่าอวดรวย จนทำให้ดิฉันต้องกลับมาทบทวนถึงพฤติกรรมของตนเองว่าหรือจริงๆ "เราไม่ควรทำ"
ดิฉันภูมิใจที่ข้ามผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้จนถึงวันนี้ ไม่ได้ต้องการสร้างความรำคาญให้ใคร
ปัจจุบันดิฉันอายุ 24 ปี ทำงานเกี่ยวกับข้อมูลให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และนำเงินเก็บบางส่วนไปลงทุนทำธุรกิจเล็กๆ
ตอนนี้มีรายได้ประมาณเดือนละสองแสนบาทโดยเฉลี่ย แน่นอนว่าดิฉันยังไม่คิดซื้อรถ เนื่องจากไม่ต้องการหาภาระให้ตัวเอง
และยังคงต้องเก็บไว้เพื่อดูแล พ่อแม่ ที่สุขภาพไม่แข็งแรง
หรือฉันเป็นโรคอวดรวย
การถ่ายรูปอวดยอดเงินในบัญชี การไปเที่ยวต่างประเทศ สินค้าแบรนด์เนมและวิถีชีวิตอยู่ดีกินดี
หรือจากคำบอกเล่าของครอบครัวคนคนนั้น การอวยกันของบรรดาเพื่อนในกลุ่ม ในบริษัท
ดิฉันเองกำลังสงสัยว่าตัวเองจะกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีพฤติกรรมข้างต้น
ขอแนะนำตัวว่า ดิฉันเกิดในครอบครัวที่ยากจนมากมาก่อน
มีบ้านหนึ่งหลัง แม่เป็นแม่ค้าขนม พ่ออาชีพรับจ้างทั่วไป พ่อแม่จบ ป.4
รายได้ครอบครัวเราน้อยมาก อาศัยการประหยัดเป็นที่ตั้งและขอทุนการศึกษา จึงมีเงินพอส่งเสียฉันเรียนจบ
ช่วงเรียนประถม มัธยม ดิฉันไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร เนื่องจากคนมีรายได้น้อยมักจัดอยู่ในสังคมอีกชั้น
ได้รับการดูถูกดูแคลนจากคุณครูบางท่าน (ส่วนน้อย) ที่ดิฉันทนไม่ได้คือดูถูกแม่ดิฉันที่เก็บขวดขายในงานกีฬาสี
ครั้งหนึ่งที่จำได้ ดิฉันอยากได้หนังสือเด็กชุดหนึ่ง แน่นอนว่าแม่ไม่ได้ซื้อให้ ดิฉันถามแม่ว่า "ทำไมหนูซื้อหนังสือเล่มนี้ไม่ได้"
แม่ตอบว่า "ถ้าเราใช้เงินซื้อของแบบนั้น กินอาหารแบบนั้น เราจะไม่มีบ้านอยู่"
ดิฉันผ่านวัยเด็กและวัยรุ่นมาอย่างเจ็บปวดด้วยต้นทุนชีวิตที่จำกัด และคำพูดที่เหยียบย่ำความรู้สึก
ความโชคดีที่สุดในชีวิตของดิฉันคือ ครอบครัวดิฉันเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาอย่างมาก
ความรู้จะทำให้ดิฉันไม่มีวันอดตาย จึงใช้ความเพียรพยายาม สอบเข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งได้สำเร็จและจบการศึกษามา
งานอดิเรกของดิฉันคือถ่ายภาพ ชอบท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ปีหนึ่งไปต่างประเทศหนึ่งครั้งหรือสองครั้ง
เวลาซื้อของขวัญวันแม่ วันพ่อ จะเป็นทองคำ เครื่องประดับ เงินสด เพราะคิดว่าดีกว่าซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเนื่องจากขายได้เวลาที่ต้องการใช้เงิน
จะมีถ่ายรูปอวดในอินสตาร์แกรม เฟซบุ๊คบ้าง ส่วนการกินหรูอยู่แพง ดิฉันจะทำเฉพาะเวลาที่ต้องเจอลูกค้า หรือในงานสังคมเท่านั้น
เพื่อนบางคนพูดแขวะดิฉันว่าอวดรวย จนทำให้ดิฉันต้องกลับมาทบทวนถึงพฤติกรรมของตนเองว่าหรือจริงๆ "เราไม่ควรทำ"
ดิฉันภูมิใจที่ข้ามผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้จนถึงวันนี้ ไม่ได้ต้องการสร้างความรำคาญให้ใคร
ปัจจุบันดิฉันอายุ 24 ปี ทำงานเกี่ยวกับข้อมูลให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และนำเงินเก็บบางส่วนไปลงทุนทำธุรกิจเล็กๆ
ตอนนี้มีรายได้ประมาณเดือนละสองแสนบาทโดยเฉลี่ย แน่นอนว่าดิฉันยังไม่คิดซื้อรถ เนื่องจากไม่ต้องการหาภาระให้ตัวเอง
และยังคงต้องเก็บไว้เพื่อดูแล พ่อแม่ ที่สุขภาพไม่แข็งแรง