[แชร์ประสบการณ์] เสี่ยงติดเชื้อ HIV เพราะเข็มเล่มเดียวและทานยาต้านไวรัสฉุกเฉิน(แพ้ยารุนแรง)

สวัสดีค่า วันนี้เราจะมาเล่าประการณ์ที่เคยเสี่ยงติดเชื้อ HIV และการได้ทานยาต้านไวรัสนะคะ
ที่อยากแชร์เพราะคิดว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้เจอได้ง่ายๆค่ะ
และอยากแชร์ให้คนอื่นได้เข้าใจและอยากให้คนที่ทานยาต้านฉุกเฉินอยู่ได้มีกำลังใจที่จะต่อสู้ให้ผ่านไปได้ค่ะ

เราเสี่ยงติดเชื้อ HIV จากการโดนเข็มหมุดเล่มเดียวกันกับเพื่อนที่มีเชื้อทิ่มเข้าที่บริเวณต้นขาขณะทำงานร่วมกันค่ะ
(เพื่อนโดนทิ่มก่อนแน่นอน) เนื่องจากเรากับเพื่อนคนนี้ค่อนข้างสนิทกันค่ะ เราเลยรู้ว่าเค้ามีเชื้อและกำลังทานยาต้าน
วันนั้นที่มหาลัยฯมีงาน เราจึงต้องไปช่วยงาน  คราวนี้มันจะมีงานแบบให้จัดเวทีอ่ะค่ะ ก็ต้องใช้เข็มหมุดในการยึดผ้าบนเวที
อยู่ดีๆเพื่อนก็เดินมาบอกเราว่า เฮ้ย! เราโดนเข็มทิ่มมืออ่ะ เลือดไหลเลย แล้วเพื่อนก็ยกมือที่มีเลือดออกให้เราดูค่ะ
(คือเค้าต้องการบอกให้เราระวัง) แต่เค้าไม่ได้บอกไว้ค่ะว่าเข็มหมุดเล่มนั้นอยู่บริเวณไหน ปรากฏว่าขณะเรากำลังจะนั่งลงวางของบนเวที
เราก็ได้ยินเสียง ชึ้บ!! แล้วก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแหลมๆทิ่มเข้ามาที่ต้นขาขวาค่ะ ตอนนั้นในใจคิดว่าซวยแล้ว ซวยแน่ๆ
พอลุกขึ้นมาก็ชัดเลยค่ะ เราโดนเข็มหมุดเล่มนึงปัก และเลือดก็ออก  เราก็เริ่มสังเกตเข็มหมุดเล่มอื่นแถวนั้น
คือมันมีแค่เล่มนี้เล่มเดียวจริงๆที่แทงทะลุออกมาแบบนี้ เราจึงวิ่งไปหาเพื่อนคนนั้น เค้าบอกว่าเค้าโดนแถวนั้นแหละ แต่เค้าจำเข็มไม่ได้ว่าเล่มไหน!

งานเข้ามากๆ เราก็รีบขอตัวไปโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยค่ะ ตอนนั้นเป็นวันที่ 19 สิงหาคม 2560
ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าไม่มียาต้านที่นี่ จึงส่งเราไปที่โรงพยาบาลอำเภอใกล้ๆกันเพื่อรับยาต้าน
ตอนนั้นคุยกับคุณหมอค่ะ เราถามว่าเราจำเป็นต้องกินจริงๆไหม หมอบอกว่าจำเป็นมากค่ะ เพราะถึงแม้แผลจะไม่ใหญ่ ไม่มั่นใจเรื่องเข็ม
แต่เลือดก็ออก และความเสี่ยง(ที่ถึงแม้จะเป็นเข็มตัน)ก็ยังมีอยู่แน่นอน หมอต้องการให้ % การติดมันต่ำที่สุด เพื่อความสบายใจของเรา
หมอทำการเจาะเลือดเราก่อน เพื่อตรวจว่าเรามีเชื้ออยู่แล้วรึเปล่า เพราะไม่งั้นทานยาไปก็จะไม่เกิดผลค่ะ ผลเลือดเราปกติดี
โดยยาต้านที่ว่านี้ เราได้ตัว lopinavir 200 mg/ritonavir 50 mg (เราแพ้ตัวนี้รุนแรง) ทานวันละ 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชม. (7โมงเช้า,1ทุ่ม)
และอีกตัวคือ tenofovir disproxil fumarate 300 mg / emtricitabine  200 mg ทานวันละ 1 ครั้ง (7โมงเช้า)
ทั้งสองตัวต้องทานติดต่อกัน 30 วัน  และต้องทานให้ตรงเวลาเดิมอย่างเคร่งครัด เราทานยาในคืนนั้นทันที
(เราเสียค่ายาทั้งหมด 30 บาท)

หมอได้เตือนไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ยาต้านไวรัส จะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงมาก และอาจเกิดอาการแพ้ยาได้
ประจวบกับตอนนั้น คุณแม่เราพึ่งเข้าโรงพยาบาลเพราะประสบอุบัติเหตุ (เรามาเรียนไกลบ้าน) นอกจากจะกลับไปเยี่ยมไม่ได้เรายังต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพื่อความสบายใจของคุณแม่ด้วยค่ะ แต่ตอนนั้นสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆทราบว่าเราต้องทานยาต้านค่ะ เราต้องทนกับผลข้างเคียงที่เยอะมากๆ เริ่มต้นด้วยเราเวียนหัวตลอดเวลา พอทานยาตัว Lop/Rito เราจะมีอาการอยากอาเจียน เดินเซ ตาลาย แล้วจุดพีค(รอบแรก)มันก็มาถึงค่ะ เมื่อพอกำลังจะครบ 1 สัปดาห์ที่กินยา เราเกิดอาการอาเจียนตลอดเวลา ทานอาหารไม่ได้ ดื่มน้ำก็อ้วก จนต้องให้เพื่อน(อีกคน)พาเราไปโรงพยาบาล ตอนนั้นเข้าใจคนที่เค้าป่วยแล้วทรมานมากๆจนอยากตายๆไปให้พ้นเลยค่ะ เราหายใจไม่ออก น้ำตาไหล อ้วกติดๆกันหลายสิบครั้งจนมีแต่น้ำย่อยออกมา ตัวสั่นปากสั่น จนพยาบาลต้องรีบพาเข้าฉุกเฉิน ตอนนั้นเราร้องไห้โทรหาคุณพ่อ บอกว่าเราไม่อยากกินยาแล้ว เราเหนื่อยมากๆ พอเจอคุณหมอก็ขอเลิกกินยา

ตอนนั้นคุณหมอพยายามอธิบายค่ะ หมอไม่แนะนำให้เลิกกิน เพราะหมอไม่อยากให้เราที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ
สุดท้ายเราจึงยอมทานยาต่อ ตอนนั้นเรานอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลประมาณครึ่งคืน และได้รับยาแก้อาเจียนค่ะ
พอกลับมาที่หอเพื่อนสนิทเราก็มานอนเฝ้าเราที่หอ  เพราะเราจะชอบตื่นมาอ้วก อาการเราก็ค่อยๆดีขึ้นค่ะ
อาจจะมีอ้วกระหว่างวันบ้าง แต่เพื่อนจะคอยดูแลเสมอ(เพื่อนดีมากๆ)
คิดสภาพไปเรียนหนังสือ เรียนเสร็จก็วิ่งออกไปอ้วกนะคะ 55555

โอเคค่ะ ลูกแรกผ่านไป ลูกสองก็ตามมาติดๆ ผ่านไปสองสามวันหลังจากนั้น ก็ประมาณสัปดาห์กว่าๆที่ทานยามา เราเริ่มสังเกตตัวเองว่า เรามีตุ่มแดงขึ้นตามตัว โดยเริ่มจากลำตัวก่อน และค่อยๆลามไปที่ขาแขน ตอนนั้นก็เริ่มเอะใจแล้วค่ะ (เราไม่เคยแพ้ยามาก่อน) เลยค้นอากู๋ แล้วค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเอง "แพ้ยา" เข้าแล้วแน่ๆ ตอนเช้าถ่ายรูปส่งไปให้พี่พยาบาลที่รู้จักกันดู พี่แกก็บอกว่าน่าจะแพ้จริงๆ แนะนำให้เรารีบไปโรงพยาบาลที่จ่ายยาให้เราเพื่อขอเปลี่ยนสูตรยาค่ะ ตอนไปโรงพยาบาลนี่คือมันลามขึ้นหน้าแล้วค่ะ ฝ่ามือกับฝ่าเท้าก็ขึ้น คุณหมอบอกว่าเป็นผื่นแบบ erythema ให้เปลี่ยนสูตรยาเลย
โดยคาดว่าตัวที่แพ้คือ lopinavir 200 mg/ritonavir 50 mg ได้ตัว efavirenz 600 mg มาแทน
ทานวันละ 1 ครั้ง (1ทุ่ม) ส่วนอีกตัวให้กินปกติ แล้วคอยสังเกตอาการตัวเองต่อค่ะ

จากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ เราทานยาจนครบ 30 วัน ผลข้างเคียงน้อยลงจนแทบไม่มี และผื่นแพ้ก็ค่อยๆหายไปเอง (ตอนนั้นโกหกเพื่อนคนอื่นว่าเป็นภูมิแพ้) ครบ 1 เดือนคุณหมอก็จะให้เจาะเลือด 1 ครั้ง / 3 เดือน 1 ครั้ง / 6 เดือน 1 ครั้ง สรุปคือผลเลือดเราออกมาปกติค่ะ จนตอนนี้ครบปีแล้ว ครั้งล่าสุดที่เจาะตรวจร่างกายประจำปีก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ คือจริงๆเรามีแผนจะไปเรียนต่อเมืองนอกในอนาคตด้วย ซึ่งถ้าเราติดเชื้อขึ้นมา ทุกอย่างจะพังหมดจริงๆค่ะ ถือว่าเราโชคดีมากที่รู้ว่าเพื่อนเป็น และสามารถป้องกันได้ทัน (ถึงแม้ความเสี่ยงจะต่ำมากจริงๆก็เถอะ)

แต่คืออยากให้กำลังใจทุกคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเรามากค่ะ และที่สำคัญเลยคือยาที่เรากินนั้นจะมีตัวนึงที่ผู้ติดเชื้อแล้วต้องกินไปตลอดชีวิต(คนเสี่ยงทานแค่30วัน) และผลข้างเคียงของยาต้านก็แบบที่เราบอกค่ะ คือมันแย่มาก และพี่พยาบาลบอกว่ามีหลายคนที่แพ้ยาหลายสูตร ในกรณีที่ติดเชื้อแล้วยังไงคุณก็ต้องกินไปตลอดชีวิต คือจุดนั้นที่เราต้องกินยา ต้องรับผลข้างเคียง ต้องคอยลุ้นผลเลือด เราว่ามันเป็นอะไรที่ต้องการกำลังใจจริงๆนะคะ  และจากเหตุการณ์นี้เราไม่ได้โทษเพื่อนเรานะคะ เราโทษความสะเพร่าของตัวเราเอง

ไม่ว่าใครจะเสี่ยงมาเพราะอะไร เราขอร้องคนรอบข้างที่รับรู้อย่าได้รังเกียจเค้าเลยนะคะ คนเราก็ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ยิ่งถ้ามายืนในจุดนี้เค้ายิ่งต้องการกำลังใจด้วยซ้ำ เหมือนยาก็หนักแล้ว ยังมาเจอคนที่ไม่น่ารักที่เอาแต่มองว่าเค้าอันตรายอีก เป็นกำลังใจให้ทั้งผู้เสี่ยงและผู้ติดเชื้อทุกคนนะคะ คุณจะผ่านมันไปได้ สำหรับใครที่ต้องการคำแนะนำหรืออะไรก็ตาม เรายินดีให้คำปรึกษาค่า แต่ในกรณีที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเราว่าควรปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้นะคะ

อยากฝากไว้อีกว่า HIV ไม่ใช่เอดส์ แต่คนที่ติดเชื้อ HIV แล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะทำให้กลายเป็นเอดส์ได้ค่ะ
โดยการกินยาต้านจะทำให้ผู้ติดเชื้อมีภูมิต้านทานและร่างกายที่แข็งแรงได้เหมือนกับคนทั่วไป มีอายุเฉลี่ยเท่าๆกับคนทั่วไป
และการติดเชื้อ HIV ไม่ได้ติดกันง่ายๆนะคะ (จากเรื่องของเรายิ่งความเสี่ยงแบบ 0.06% เลย ขนาดโดนเข็มปักแล้วนะ)
เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวค่ะ ว่าแค่การสัมผัสการพูดคุยกับคนอื่นจะทำให้ติดเชื้อมั้ย แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมและทำความเข้าใจนะคะ
เพื่อนเราที่มีเชื้อก็ใช้ชีวิตปกติค่ะ แค่ทานยาทุกวัน สัมผัสจับมือกับคนอื่นได้ปกติ แต่ถ้าเลือดออกเค้าก็จะระวังมากค่ะ

สุดท้ายนี้ขอเตือนให้ทุกท่านดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท และมีความหวังอยู่เสมอค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่