ก่อนจะเข้ารีวิว ก็ต้องขอขอบคุณทาง Major Cineplex ด้วยนะครับ ที่ทำให้ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ในราคาที่ย่อมเยา เพราะ Gift Vouchers ของท่านแท้ๆ
หนังเรื่องนี้ก็ได้รับการกำกับโดย Shane Black ที่เคยจับชุดเกราะของโทนี่มาแล้วใน Iron Man 3 ซึ่งด้วยฝีมือของเขา ทำให้คนเกราะเหล็กภาคสามเป็นภาคที่ผมชอบมากที่สุด เพราะเป็นการฉีกแนวจากแบบเดิมของไอออนแมนได้แปลกใหม่ แต่ก็ยังใส่ลวดลายแบบมาร์เวลได้พอเหมาะ ซึ่งการที่เขามากำกับ Predator ภาคนี้ ก็เป็นอีกหนทางที่เขาจะพิสูจน์ตัวเองให้โลกรู้ว่า "ตรูวก็ทำได้นะโว้ย!" และผลที่ออกมาก็ต้องขอบอกเลยว่า
"คุณมาถูกทางแล้วครับคุณแบล็ค"
เรื่องย่อ
เรื่องราวเกิดขึ้นจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น สู่ถนนเล็ก ๆ ในย่านชานเมือง การไล่ล่ากลับมาอีกครั้ง นักล่าที่อันตรายที่สุดในจักรวาลก็แข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และอันตรายยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา พวกมันตัดต่อพันธุกรรมของตนเองเข้ากับดีเอ็นเอของสปีชี่อื่น ๆ ในจักรวาล และเมื่อเด็กชายคนหนึ่งบังเอิญกระตุ้นให้พวกมันกลับมาที่โลกอีกครั้ง มีเพียงสมาชิกแร็กแท็กจากอดีตทหาร และอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์อีกหนึ่งคนที่ไม่ได้รับการยอมรับเท่านั้น ที่จะช่วยไม่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องสิ้นสุดลง
"เส้นทางใหม่ของซีรี่ส์ แต่ก็ท่าดีทีเหลว"
ในภาพลักษณ์ของซีรี่ส์ Predator จะเป็นอะไรที่ซีเรียสเล็กน้อย มีมุขคลายเครียดได้แบบนิดๆ ส่วนตัวเคยดูแค่ภาคที่ Robert Rodriguez กำกับนะครับ และก็ชอบภาคนั้นพอสมควร ถึงมันจะไม่ได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองอะไรมาก แต่องค์ประกอบโดยรวมหนังผ่านครับ ไม่ว่าจะเป็นฉาก แสง สี เสียง และสถานที่ มันเป็นอะไรที่เอื้ออำนวยมากๆ และยิ่งดนตรีประกอบนี่เล่นเอาระทึกจนแทบจะหยุดหายใจ และนักแสดงก็เล่นกันได้ถึงพริกถึงขิงทุกคนเลยจริงๆ เรียกได้ว่าหนังเอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิดครับ
และใน The Predator นี้ จะเล่าเรื่องแบบใหม่ครับ ต้นเรื่องจะเป็นแบบเอเลี่ยนจ๋าเลย คือเล่าการมาเยือนของตัวพรีเดเตอร์สายพันธ์ุใหม่ตัวนี้ว่ามันมาได้ไง มันมีสกิลการล่าโหดขนาดไหน แต่พอพ้นช่วง 5 นาทีแรกไป กลิ่นอายของ Shane Black มาเต็มครับ ทั้งการแนะนำตัวละครที่น่าสนใจ (ถึงแม้จะเยอะเกินไปก็เถอะ) การหยอดมุขจิกกัดกันไปมา บอกเลยครับว่าผมแอบคิดในใจ "นี่กูดูหนังตลกอยู่ป่าววะ!" หนังใช้เวลาแนะนำตัวละครไม่มากครับ แต่ก็พอจำได้หลายคน ในช่วงนี้ Black ทำได้ดีครับ เขาคุมโทนหนังได้ดี แต่มันก็กลายเป็นดาบสองคม บางคนดูไปก็อาจจะบ่นในใจว่า
"มันจะเอาฮาไปไหน มันไม่ใช่มาเวลนะโว้ย"
"มุขตลกสามช่า มาเป็นระยะจนยิ้มเป็นกษัย"
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมชอบหนังมากกว่าที่คิดก็คือ "มุขตลก" ครับ ใครที่รู้จัก Black ดีจะรู้ว่าเขาสามารถกำกับจังหวะตลกของเขาได้ดีขนาดนี้ ในเรื่องนี้เขาก็ยังคงฝีมือไม่ตกครับ ขนาดแค่ตัวละครมองหน้ากัน ผมยังลั่นขำออกมาดังมาก ตรงนี้นักแสดงมีส่วนร่วมด้วยครับ ขาดพวกเขาไปหนังจะดูจืดกว่านี้มาก ทุกรายเด่นเท่ากัน จนพี่เดของเราดูจืดไปเลย
"แอคชั่นดูดี มีความมันส์แต่ขาดความลุ้น"
ในส่วนฉากต่อสู้ ขอบอกเลยว่า "โคตรมันส์ โคตรดิบ โคตรโหด" หนังได้เรต R นะครับ เพราะฉะนั้นในฉากแอคชั่นมันจะดูมีเลือด(กระฉูด)มีเนื้อ(กระจาย) กันมากพอสมควร ใครจะพาลูกหลานไปดู ผมขอแนะนำให้พิจารณาให้ดีนะครับ มันใม่ใช่น้ำหวานเฮลบลูบอยนะจ๊ะเด็กๆ
แต่กระนั้น ความโหดของมันก็พ่วงมาพร้อมปัญหาอันใหญ่หลวง นั่นก็คือ "อารมณ์ร่วม" ซี่งขอบอกเลยครับว่าฉากการต่อสู้นี่ นอกจากกลุ่มตัวเอกแล้ว ตัวละครสมทบอื่นๆ แทบจะดู "น่าสงสาร" พอสมควร ผมไม่ได้หมายถึงผมสงสารที่พวกเขาตายนะครับ แต่สงสารเพราะว่า
"พวกเองไม่น่ามาตายฟรีเล้ยยย"
โดยภาพรวมของ
"The Predator" ก็เป็นผลงานของผกก. Shane Black ของเราที่ทำออกมาในรูปแบบที่เน้นเอาใจสายแฟนๆ เขาซะส่วนใหญ่ แต่ถ้าใครที่เป็นแฟนซีรี่ส์ชุดนี้ก็ต้องแอบทำใจนิดนึงนะครับ เพราะมันไม่ได้เป็นไปตามที่ท่านหวังเอาไว้หรอก แต่ถ้าท่านลองเปิดใจ หนังภาคนี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกที่ดีของการคลายเครียดนะครับ ย้ำ! คลายเครียดนะ คลายเครียด อย่าไปตึง!
ไปดูตั๋วลดราคาน่าจะคุ้มนะ สำหรับแฟนๆ ของ Black แต่ถ้าใครที่เป็นแฟน Predator แนะนำว่ารอเช่าดีกว่าครับ
[SR] (รีวิว) The Predator (2018) เดอะ เพรดเดเทอร์ | คนที่ผิดหวังนี่เขาหวังอะไรกัน พอดูจบ... อ้ออออ! [ไร้ส้มป่อย]
หนังเรื่องนี้ก็ได้รับการกำกับโดย Shane Black ที่เคยจับชุดเกราะของโทนี่มาแล้วใน Iron Man 3 ซึ่งด้วยฝีมือของเขา ทำให้คนเกราะเหล็กภาคสามเป็นภาคที่ผมชอบมากที่สุด เพราะเป็นการฉีกแนวจากแบบเดิมของไอออนแมนได้แปลกใหม่ แต่ก็ยังใส่ลวดลายแบบมาร์เวลได้พอเหมาะ ซึ่งการที่เขามากำกับ Predator ภาคนี้ ก็เป็นอีกหนทางที่เขาจะพิสูจน์ตัวเองให้โลกรู้ว่า "ตรูวก็ทำได้นะโว้ย!" และผลที่ออกมาก็ต้องขอบอกเลยว่า "คุณมาถูกทางแล้วครับคุณแบล็ค"
เรื่องราวเกิดขึ้นจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น สู่ถนนเล็ก ๆ ในย่านชานเมือง การไล่ล่ากลับมาอีกครั้ง นักล่าที่อันตรายที่สุดในจักรวาลก็แข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และอันตรายยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา พวกมันตัดต่อพันธุกรรมของตนเองเข้ากับดีเอ็นเอของสปีชี่อื่น ๆ ในจักรวาล และเมื่อเด็กชายคนหนึ่งบังเอิญกระตุ้นให้พวกมันกลับมาที่โลกอีกครั้ง มีเพียงสมาชิกแร็กแท็กจากอดีตทหาร และอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์อีกหนึ่งคนที่ไม่ได้รับการยอมรับเท่านั้น ที่จะช่วยไม่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องสิ้นสุดลง
ในภาพลักษณ์ของซีรี่ส์ Predator จะเป็นอะไรที่ซีเรียสเล็กน้อย มีมุขคลายเครียดได้แบบนิดๆ ส่วนตัวเคยดูแค่ภาคที่ Robert Rodriguez กำกับนะครับ และก็ชอบภาคนั้นพอสมควร ถึงมันจะไม่ได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองอะไรมาก แต่องค์ประกอบโดยรวมหนังผ่านครับ ไม่ว่าจะเป็นฉาก แสง สี เสียง และสถานที่ มันเป็นอะไรที่เอื้ออำนวยมากๆ และยิ่งดนตรีประกอบนี่เล่นเอาระทึกจนแทบจะหยุดหายใจ และนักแสดงก็เล่นกันได้ถึงพริกถึงขิงทุกคนเลยจริงๆ เรียกได้ว่าหนังเอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิดครับ
และใน The Predator นี้ จะเล่าเรื่องแบบใหม่ครับ ต้นเรื่องจะเป็นแบบเอเลี่ยนจ๋าเลย คือเล่าการมาเยือนของตัวพรีเดเตอร์สายพันธ์ุใหม่ตัวนี้ว่ามันมาได้ไง มันมีสกิลการล่าโหดขนาดไหน แต่พอพ้นช่วง 5 นาทีแรกไป กลิ่นอายของ Shane Black มาเต็มครับ ทั้งการแนะนำตัวละครที่น่าสนใจ (ถึงแม้จะเยอะเกินไปก็เถอะ) การหยอดมุขจิกกัดกันไปมา บอกเลยครับว่าผมแอบคิดในใจ "นี่กูดูหนังตลกอยู่ป่าววะ!" หนังใช้เวลาแนะนำตัวละครไม่มากครับ แต่ก็พอจำได้หลายคน ในช่วงนี้ Black ทำได้ดีครับ เขาคุมโทนหนังได้ดี แต่มันก็กลายเป็นดาบสองคม บางคนดูไปก็อาจจะบ่นในใจว่า
"มันจะเอาฮาไปไหน มันไม่ใช่มาเวลนะโว้ย"
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมชอบหนังมากกว่าที่คิดก็คือ "มุขตลก" ครับ ใครที่รู้จัก Black ดีจะรู้ว่าเขาสามารถกำกับจังหวะตลกของเขาได้ดีขนาดนี้ ในเรื่องนี้เขาก็ยังคงฝีมือไม่ตกครับ ขนาดแค่ตัวละครมองหน้ากัน ผมยังลั่นขำออกมาดังมาก ตรงนี้นักแสดงมีส่วนร่วมด้วยครับ ขาดพวกเขาไปหนังจะดูจืดกว่านี้มาก ทุกรายเด่นเท่ากัน จนพี่เดของเราดูจืดไปเลย
ในส่วนฉากต่อสู้ ขอบอกเลยว่า "โคตรมันส์ โคตรดิบ โคตรโหด" หนังได้เรต R นะครับ เพราะฉะนั้นในฉากแอคชั่นมันจะดูมีเลือด(กระฉูด)มีเนื้อ(กระจาย) กันมากพอสมควร ใครจะพาลูกหลานไปดู ผมขอแนะนำให้พิจารณาให้ดีนะครับ มันใม่ใช่น้ำหวานเฮลบลูบอยนะจ๊ะเด็กๆ
แต่กระนั้น ความโหดของมันก็พ่วงมาพร้อมปัญหาอันใหญ่หลวง นั่นก็คือ "อารมณ์ร่วม" ซี่งขอบอกเลยครับว่าฉากการต่อสู้นี่ นอกจากกลุ่มตัวเอกแล้ว ตัวละครสมทบอื่นๆ แทบจะดู "น่าสงสาร" พอสมควร ผมไม่ได้หมายถึงผมสงสารที่พวกเขาตายนะครับ แต่สงสารเพราะว่า
"พวกเองไม่น่ามาตายฟรีเล้ยยย"
โดยภาพรวมของ "The Predator" ก็เป็นผลงานของผกก. Shane Black ของเราที่ทำออกมาในรูปแบบที่เน้นเอาใจสายแฟนๆ เขาซะส่วนใหญ่ แต่ถ้าใครที่เป็นแฟนซีรี่ส์ชุดนี้ก็ต้องแอบทำใจนิดนึงนะครับ เพราะมันไม่ได้เป็นไปตามที่ท่านหวังเอาไว้หรอก แต่ถ้าท่านลองเปิดใจ หนังภาคนี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกที่ดีของการคลายเครียดนะครับ ย้ำ! คลายเครียดนะ คลายเครียด อย่าไปตึง!
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้