โลกสมัยก่อน ตอนผมเกิด มันมีร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านไม้ข้างถนน สุ่มไก่ ญาติพี่น้องนั่งล้อมวงสังสรรค์กัน
พอโตมาเหมือนอะไรพวกนั้นหายไปหมดแล้ว มันเศร้าด้วยที่เห็นคนรุ่นต่อมา ก้มหน้าเล่นแต่เกมมือถือ
ผมเองไม่ได้อคติกับเกมเสียทีเดียว เพราะผมเองก็โตมาในยุคที่โลกมีเกม ตั้งแต่เครื่องฟามิคอม
แต่พอไปงานรวมญาติครั้งก่อน ผมตกใจมากที่คนในครอบครัวเอาลูกไม่อยู่แล้ว ต้องให้ลูกดูไอแพดกันทุกคน
ที่ซ้ำร้ายคือ ลูกพี่ลูกน้องแทบไม่รู้จักกัน จำชื่อกันแทบไม่ได้ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้
ตอนผมเด็ก พ่อแม่จะพาไปเยี่ยมบ้านญาติละแวกใกล้กัน ไปไหว้สวัสดี ทำความรู้จัก ไปวิ่งเล่นกับลูกพี่ลูกน้อง เรายังมีความผูกพันอะไรตรงนี้
พอเราโตขึ้น ด้านหนึ่งมันก็เป็นหน้าที่เราที่เป็นผู้ใหญ่ที่จะพูดคุยกันลูกๆ หลานๆ ได้คุยกัน แต่เหมือนแต่ละคนมีกำแพงบางอย่าง พูดกันได้ไม่กี่คำ ก็เฉย แล้วสนใจแต่เกมหรือไอแพดต่อ
เหมือนยุคสมัยนี้คนเรามีช่องว่างระหว่างคนกับคนเยอะขึ้น ช่องว่างระหว่างคนต่างวัยก็เยอะด้วย บางทียายผมแกจะเป็นคนบ่น หรือตักเตือนในเรื่องที่เด็กๆ มักง่าย แต่ก็จะถูกเถียงกลับมา ผมอาจจะหัวโบราณก็ได้ แต่มันดูก้าวร้าวกับผู้ใหญ่ และความคิดที่ปะทะกันแบบนี้ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไร เหมือนเพื่อเอาชนะหรือแก้ตัวเท่านั้นเอง แค่ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ผิด ทั้งที่มันผิดอยู่แล้ว
ผมกลับมองว่า การที่คนสูงอายุว่ากล่าวตักเตือนเรา นั่นคือการสอน มันอาจจะถูกบ้างผิดบ้าง ใช้กับบางบริบทไม่ได้บ้าง แต่ก็ควรน่าจะรับฟังไว้
แต่เหมือนโลกนี้มันไม่มีที่ให้กับอุดมคติโบราณแบบนั้นอีกแล้ว คนแก่เหมือนคนไม่รู้เรื่อง ไม่ทันโลก รอให้ตายไป ไม่มีอีกแล้ว คนอายุมากกว่าที่จะมาพร่ำสอนคุณธรรม จริยธรรมกับคนรุ่นต่อมา สอนสิ่งดีๆ ให้สืบทอดทำกันต่อๆ ไป
แน่นอนว่าวัฎจักรมันอาจจะซ้ำรอยก็ได้ พอเราแก่เราอาจจะเจอเรื่องแบบเดียวกัน และเด็กยุคต่อมาก็อาจจะลำบากกว่าหรือเปล่า ใครจะรู้อนาคต
ผมได้ยินบางคนบอกว่า ก็เพราะผู้ใหญ่แหละบกพร่องเอง ไม่สามารถส่งต่อความดี แนวทางดีๆ ให้คนรุ่นต่อไปได้ แต่ผมว่าต่อให้พยายาม มันก็ยากกว่าสมัยก่อนมากๆ เพราะปัจจัยภายนอก
โลกนี้มันพัฒนามาในจุดดีด้านวัตถุ ด้านเศรษฐกิจก็จริง แต่ด้านจิตใจผมว่าแย่มากๆ ถึงเข้าขั้นป่วยเลยก็ได้ บางอย่างที่ผมไม่เคยเห็น ไม่เคยคาดคิดว่าจะเห็นก็ได้เห็น การกระทำต่อกัน กับเพื่อนฝูง กับญาติพี่น้อง กับพ่อแม่
หรือคนอื่นคิดว่ายังไงครับ
โลกนี้มันชักอยู่ยาก หรือคนทำให้มันอยู่ยากกันเอง
พอโตมาเหมือนอะไรพวกนั้นหายไปหมดแล้ว มันเศร้าด้วยที่เห็นคนรุ่นต่อมา ก้มหน้าเล่นแต่เกมมือถือ
ผมเองไม่ได้อคติกับเกมเสียทีเดียว เพราะผมเองก็โตมาในยุคที่โลกมีเกม ตั้งแต่เครื่องฟามิคอม
แต่พอไปงานรวมญาติครั้งก่อน ผมตกใจมากที่คนในครอบครัวเอาลูกไม่อยู่แล้ว ต้องให้ลูกดูไอแพดกันทุกคน
ที่ซ้ำร้ายคือ ลูกพี่ลูกน้องแทบไม่รู้จักกัน จำชื่อกันแทบไม่ได้ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้
ตอนผมเด็ก พ่อแม่จะพาไปเยี่ยมบ้านญาติละแวกใกล้กัน ไปไหว้สวัสดี ทำความรู้จัก ไปวิ่งเล่นกับลูกพี่ลูกน้อง เรายังมีความผูกพันอะไรตรงนี้
พอเราโตขึ้น ด้านหนึ่งมันก็เป็นหน้าที่เราที่เป็นผู้ใหญ่ที่จะพูดคุยกันลูกๆ หลานๆ ได้คุยกัน แต่เหมือนแต่ละคนมีกำแพงบางอย่าง พูดกันได้ไม่กี่คำ ก็เฉย แล้วสนใจแต่เกมหรือไอแพดต่อ
เหมือนยุคสมัยนี้คนเรามีช่องว่างระหว่างคนกับคนเยอะขึ้น ช่องว่างระหว่างคนต่างวัยก็เยอะด้วย บางทียายผมแกจะเป็นคนบ่น หรือตักเตือนในเรื่องที่เด็กๆ มักง่าย แต่ก็จะถูกเถียงกลับมา ผมอาจจะหัวโบราณก็ได้ แต่มันดูก้าวร้าวกับผู้ใหญ่ และความคิดที่ปะทะกันแบบนี้ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไร เหมือนเพื่อเอาชนะหรือแก้ตัวเท่านั้นเอง แค่ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ผิด ทั้งที่มันผิดอยู่แล้ว
ผมกลับมองว่า การที่คนสูงอายุว่ากล่าวตักเตือนเรา นั่นคือการสอน มันอาจจะถูกบ้างผิดบ้าง ใช้กับบางบริบทไม่ได้บ้าง แต่ก็ควรน่าจะรับฟังไว้
แต่เหมือนโลกนี้มันไม่มีที่ให้กับอุดมคติโบราณแบบนั้นอีกแล้ว คนแก่เหมือนคนไม่รู้เรื่อง ไม่ทันโลก รอให้ตายไป ไม่มีอีกแล้ว คนอายุมากกว่าที่จะมาพร่ำสอนคุณธรรม จริยธรรมกับคนรุ่นต่อมา สอนสิ่งดีๆ ให้สืบทอดทำกันต่อๆ ไป
แน่นอนว่าวัฎจักรมันอาจจะซ้ำรอยก็ได้ พอเราแก่เราอาจจะเจอเรื่องแบบเดียวกัน และเด็กยุคต่อมาก็อาจจะลำบากกว่าหรือเปล่า ใครจะรู้อนาคต
ผมได้ยินบางคนบอกว่า ก็เพราะผู้ใหญ่แหละบกพร่องเอง ไม่สามารถส่งต่อความดี แนวทางดีๆ ให้คนรุ่นต่อไปได้ แต่ผมว่าต่อให้พยายาม มันก็ยากกว่าสมัยก่อนมากๆ เพราะปัจจัยภายนอก
โลกนี้มันพัฒนามาในจุดดีด้านวัตถุ ด้านเศรษฐกิจก็จริง แต่ด้านจิตใจผมว่าแย่มากๆ ถึงเข้าขั้นป่วยเลยก็ได้ บางอย่างที่ผมไม่เคยเห็น ไม่เคยคาดคิดว่าจะเห็นก็ได้เห็น การกระทำต่อกัน กับเพื่อนฝูง กับญาติพี่น้อง กับพ่อแม่
หรือคนอื่นคิดว่ายังไงครับ