เมื่ออรชุนเปลี่ยนมานับถือลัทธิเต๋า

กระทู้สนทนา
อรชุนเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องการค้นหาคำตอบเกี่ยวกับจิตใจ
ว่าทำไมถึงโดนความทุกข์บีบคั้นจากปัญหาต่างๆ อยู่เสมอ
และไม่อาจหาทางให้จิตใจของตัวเอง
ได้รับอิสระภาพและความสงบสุขจริงๆ ได้เลย
ก่อนหน้านี้อรชุนได้เพียรพยายามเพื่อหาคำตอบโดยวิถีพุทธ
ซึ่งก็ช่วยให้อรชุนได้รับคำตอบมาประมาณหนึ่ง
จนเมื่อได้เริ่มศึกษาเต๋าเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้
เต๋าก็ได้เริ่มเข้ามาเปลี่ยนความคิดและบุคลิกของอรชุน
อย่างค่อยเป็นค่อยไปหลายประการ
จนเมื่อไปอยู่กับคนอื่นๆ บ้างนั่นแหละ
ถึงได้มีโอกาสสังเกตุความจริงข้อนี้
ว่าเอ๊ะ! เรามีความคิดอ่านและการตัดสินใจแบบเต๋านะ
เช่น การไม่พูดมากและการปล่อยวางในคำพูดที่คนอื่นกำลังพูดอยู่
โดยอรชุนนึกถึงคำกล่าวของท่านเล่าจื้อที่ว่า
“แม้พายุฝนรุนแรงก็ยังตกอยู่ไม่ถึงเช้า“
ดังนี้แล้ว วจีสังขารของตัวเองก็เริ่มเงียบงันไป
และในตอนที่ต้องพิจรณาของกินของใช้นั้น
การที่เราได้เคยอบรมตัวเองด้วยเต๋ามาก่อน
ทำให้เราสามารถเข้าใจคำว่าสมถะได้
และมีความพอดีในการบริโภคได้ง่ายด้วย
ทำให้การตัดสินใจเลือกบริโภคเป็นไปตามความเหมาะสมได้
ซึ่งนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดมีขึ้นในตัวของอรชุนได้
     ก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งเดือนอรชุนได้หนีเรื่องวุ่นวายไปอยู่ที่วัด
ที่นั่นอรชุนได้พูดคุยอะไรมากมายกับพระที่เป็นนักเทศ
ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดนั้น
ที่นี่เองที่ทำให้อรชุนเกิดพอใจในความเป็นอยู่แบบเต๋ามากกว่า
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอรชุนจะรู้สึกว่า
คำสอนของเต๋ามีความพิเศษไปกว่าคำสอนของพุทธนะ
เพราะว่าที่นั่นเองที่ทำให้ได้ค้นพบกับคำที่มีความสำคัญยิ่งคำหนึ่ง
ซึ่งเป็นคำที่อรชุนกำลังค้นหาและสงสัยอยู่
มันเป็นคำที่ทำให้อรชุนเข้าใจคำว่า “เบื้องลึก“ ที่ท่านเล่าจื่อพูดถึง
อนึ่งอรชุนอยู่ในช่วงกำลังวิเคราะห์เต๋าเพื่อเขียนบทความอรรถาธิบาย
ให้คนอื่นๆ ได้อ่านทางอินเตอร์เน็ตนั่นเอง
คำๆนั้นก็คือคำว่า “สัญโยช(เครื่องร้อยรัด)“ นั่นเอง
มันเหมือนการที่เราเกิดความสงสัยว่าทำไมจึงเกิดอารมณ์ร่วมอย่างนี้
แล้วเราจะลงไปแก้ไขจิตสำนึกอย่างไรดีละ
เมื่อรู้จักดังนั้นก็เลยทำให้เห็นการปรุงแต่งในปัจจุบันขึ้นมาทันที
ว่าอันนี้แหละมันจมลงไป
ต้องมาพัฒนาตรงนี้ให้มันเกิดความดีหรือปัญญาแทน
เลยรู้เท่าทันขึ้นมา ได้แก้อาสวะครบจบเลยที่เดียว
คืออาศัยคุณธรรมหรืออาศัยพิจรณาสละ วาง จืด ถอน ออกไป
แบบนี้ก็ช่วยทำให้เข้าถึงสิ่งที่เต๋าเรียกอิสรภาพได้จริงๆ
และอย่างนี้อาจเท่ากับว่าอรชุนเข้าใจเต๋าโดยอาศัยพุทธช่วย
ทำให้ไม่อาจสบประมาทได้
    อรชุนพยายามนำเสนอมุมมองและแนวทาง
ที่อรชุนอยากเดินตามแก่พระภิกษุที่นั่น
ซึ่งเป็นแนวทางที่อรชุนได้รับทัศนคติมาจากปรัชญาด้วย
ว่าอยากให้พระภิกษุกลายเป็นคนของส่วนรวมและทำเพื่อส่วนรวมจริงๆ
อรชุนบอกกับท่านว่า “เวลาไปสวดนี่ไม่รับค่าจ้างน่าจะดีกว่า“
เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับท่านต่อไป
อรชุนพยายามชี้ให้เห็นความยิ่งใหญ่อันเป็นบุคลิคอันซ่อนเร้น
ในทุกคนแก่ท่าน เพื่อให้ท่านคล้อยตามในเรื่องการอุทิศตัวจริงๆ
ท่านบอกเข้าใจในสิ่งนั้นที่อรชุนพูด
แต่ก็แก้คำถามว่าถ้าไม่จ้างก็ไม่มีคนไปสวด
อันที่จริงผมจะตำหนิท่านเรื่องที่เขาต้องจ้างไปเทศอยู่หมือนกัน
แต่ก็ระงับไว้ คนไทยเราไม่ชอบการพูดตรงๆ
ความจริงแล้วอรชุนนึกอยู่เสมอสำหรับเรื่องนี้ว่า
ผู้ที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงจากส่วนรวมก็ต้องพัฒนาตัวเองและทำเพื่อส่วนรวม
เมื่อตัวเองมีแนวคิดอย่างนี้ยิ่งอยู่ยิ่งดูก็ยิ่งขัดแย้งกับเขานะ
และอีกประการหนึ่งที่สำคัญคือหลังจากศึกษาเต๋า
มันทำให้รู้สึกว่าสิ่งอื่นภายนอกนั้นควรเอาเท่าที่จำเป็น
พระก็ชอบก่อสร้างชาวบ้านชาวเมืองก็ชอบก่อสร้างนี่ทำให้ขัดแย้ง
สร้างแล้วทุบๆ ไม่รู้หยุดสร้าง ไม่รู้หยุดคิด ไม่รู้รูปแบบที่ถูกต้อง
อีกเรื่องหนึ่งคือการวางตน อรชุนขอเลือกวางตนไว้ในวิถีแห่งเต๋าจะดีกว่า
อย่างเต๋านี้อยู่ต่ำและดูตกต่ำด้วยโลกธรรมจริงๆ
อย่างพุทธนี้อยู่สูงเกินเอื้อม(ห้ามเอื้อมด้วย) ก็เลยไม่ค่อยมีคนจริง
เรื่องการวางตัวนี้อรชุนคล้อยตามเต๋าจริงๆ
คนในโลกเขาเห่อเหิมอยากเก่งอยากเพียบพร้อมและมียินดียินร้าย
อรชุนบกพร่องและไม่ฉลาดเฉียบแหลมเลยสงบนิ่งอยู่ได้
พอหยุดได้อย่างนี้คุณธรรมก็เลยปรากฏออกให้ได้เห็น
เป็นความกลมกลืนและการอุทิศตน ก็เลยสงบลงไปอีกกว่าเดิม
ก็เห็นว่าไอ้ตรงกลางนี่ไม่มีใครอยากอยู่
      ก่อนหน้านี้ที่นับถือศาสนาพุทธก็มีวาดโครงการเอาไว้ตลอดนั่นแหละ
ว่าสำเร็จแล้วจะขอเป็นโน่นเป็นนี่เพื่อทำประโยชน์แก่ชาวโลก
ซึ่งบางทีก็ขอมากไป(ในใจ) นี่แสดงว่าทำใจไว้ผิดทาง
ตอนนี้หันมานับถือวิถีแห่งเต๋าก็คงสบายใจได้แล้ว
เพราะเห็นว่ามีอยู่แค่เราละมั้งที่นับถือเต๋า
ที่นี้จะมีใครอีกมาคอยสนับสนุนผลจากการภาวนาฝึกฝน
ไม่ว่าจะสำเร็จขั้นใหนก็ตามที
สุดท้ายก็ขอเล่าความผูกพันธ์ที่มีต่อเต๋าสักหน่อยหนึ่ง
เรื่องมีอยู่ว่าประมาณสี่ปีที่แล้วอรชุนเคยฝันว่า
ตัวเองได้เดินทางไปยังสิ่งก่อสร้างที่ดูแปลกประหลาด
มันเป็นพื้นแผ่นดินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแตงโมผ่าซีก
ที่ถูกยกขึ้นไปบนอากาศโดยใช้โซ่ขนาดใหญ่สี่เส้น
ผูกโยงเข้าไว้กับภูเขาทั้งสี่ทิศ
ด่านล่างของแผ่นดินอันนั้นได้มีการทำบันไดไว้ด้วย
บันไดนั้นถูกทำขึ้นจากไม้และมีอยู่หลายร้อยอันด้วยกัน
ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเราสามารถขึ้นไปยังด้านบนนั้นจากทางไหนก็ได้
มองผิวเผินแล้วก็ดูคล้ายกับว่าบันไดเหล่านั้น
จะเป็นสิ่งที่ช่วยค้ำยันผืนแผ่นดินอันโอฬารนั้นไว้อีกแรงหนึ่ง
เมื่ออรชุนได้เห็นสิ่งก่อสร้างนี้ใจก็คิดอยากลองขึ้นไปข้างบนนั้นบ้าง
และเมื่อเดินไปจนถึงบันไดทางขึ้นจริงๆ
อรชุนก็พบว่าไม้ที่ใช้ทำบันไดเหล่านั้นเก่าและผุมากแล้ว
แต่อรชุนก็ยังจะพยายามปีนขึ้นไปให้ได้
พอปีขึ้นไปไม้นั้นก็พังและตกลงไปพร้อมๆกันกับผู้ที่ปีนมัน
เป็นอย่างนี้อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่รู้เหมือนกันว่าความฝันในครั้งนี้ดำเนินมาเนิ่นนานเท่าไรแล้ว
แต่อรชุนก็ยังคนพยายามปีนต่อไปและมันก็พังถล่มลงมาอีก
จนเหลือบันไดอันสุดท้าย อรชุนคิดว่าคงอันนี้แหละสุดท้ายแล้วนิ
แล้วก็ปีนป่ายขึ้นไปแต่สุดท้ายบันไดนั้นก็ผุและพังครืนลงมาเหมือนเดิม
อรชุนเพ่งมองขึ้นไปยังสิ่งก่อสร้างอันแปลกประหลาดนั้นอีกครั้ง
มันน่าแปลกใจที่สิ่งนั้นลอยอยู่ได้โดยที่ไม่มีอะไระช่วยค้ำไว้เลย
อาจเป็นเพราะโซ่นั่นที่ล่ามมันเอาไว้อย่างนั้น
อรชุนตัดสินใจไต่ไปทางโซ่นั่นซึ่งเป็นทางเลือกที่ดูทุลักทุเลมาก
อรชุนปีนป่านไปทางโซ่เส้นหนึ่งจนถึงผืนแผ่นดินนั้นได้ในที่สุด
บนนั้นเป็นลานกว้างที่กว้างประมาณสนามฟุตบอลเกือบร้อยสนาม
บนพื้นได้ปูลาดไปด้วยหินแบบจีนสมัยก่อนและไม่มีสิ่งก่อสร้างอะไรเลย
อรชุนได้เดินตรงไปณ.ตรงกลางของที่แห่งนั้นเพื่อสำรวจ
และได้พบกับชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่
เขาเป็นชายชราที่ไว้ผมยาวผมของสีขาวโพรนและมัดผมไว้
อย่างกับในหนังจีนที่เคยดู หนวดเคราและคิ้วทั้งหมดก็ขาวโพรนเช่นกัน
เมื่อรวมกับเสื้อผ้าสีขาวที่เขาสวมใสแล้วก็ชวนให้นึกถึง
ภาพนักพรตคิ้วขาวที่เคยดูในหนังเรื่องซูซันเลย
แถมทังคู่ยังเปร่งรัศมีสีขาวอยู่เรืองๆ เหมือนกันอีกด้วย
เขามองมายังอรชุนๆเลยก้มลงนั่งด้านหน้าใกล้ๆ กับเขา
อรชุนพูดกับเขาก่อนว่า “การขึ้นมาพบกับท่านนี่ช่างยากลำบากจริงๆ“
เขาบอกกับอรชุนว่าเป็นนักพรตในลัทธิเต๋า
และโดยมิทันได้บอกอรชุนก็คิดขึ้นมาในใจในขณะนั้นเลยว่า
“นี่คือท่านเล่าจื่อ“
ท่านพูดว่า “ ความจริงมันไม่มีเส้นทาง แต่เธอมีความพยายามมาก“
อรชุนจดจำคำพูดดังกล่าวได้ดีเพราะดูเหมือนเราจะพูดกันแค่นี้
แล้วจากนั้นอรชุนก็ตื่นนอน
มันเป็นฝันที่ทำให้รู้สึกภูมิใจอยู่แปลกๆ เหมือนกัน
เพราะไม่ค่อยได้ฝันว่าได้พบกับผู้วิเศษเท่าไรนัก
แต่หลังจากนั้นเพียงสองวันอรชุนก็ฝันถึงท่านอีกครั้ง
แต่ในคราวนี้ท่านมานั่งอยู่ที่ด้านหน้าอรชุนอยู่แล้วไม่ต้องตามหา
ท่านบอกว่ามีสิ่งพิเศษที่จะมอบให้
อรชุนก็เลยกล่าวขอบคุณและทำความเคารพต่อท่าน
ท่านให้อรชุนทำใจให้สงบก่อนที่จะเรียกสัตว์เทพออกมาสามตัว
แต่ละตัวช่างใหญ่โตโอฬาร อรชุนจึงเรียกว่าสัตว์เทพ
จากนั้นท่านจึงมอบให้แก่อรชุนที่ละตัวจนครบสาม
เมื่อเสร็จสรรพอรชุนพูดกับท่านว่า
“นี่มันช่างหนักหนาเอามากๆ“
ท่านยิ้มให้และบอกให้อรชุนตื่นนอน
อรชุนตื่นนอนพร้อมกับรู้สึกว่านี่มันเหมือนจริงมากๆ
ราวกับว่าไม่ได้ฝันไป
ที่เล่ามานี้อาจฟังดูเพ้อเจ้อไปสักหน่อยแต่ก็อยากเล่า
เพื่อแสดงว่าอรชุนกับเต๋านี่มีความผูกพันกันมาก่อนไม่อาจเลี่ยงได้
    และในตอนนี้อรชุนก็ปฏิญาณตนเอาไว้ว่าจะใช้เต๋าชำระจิตใจ
และใช้ขุดรากถอนโคนกิเลสเครื่องหมักดองให้จนหมด
ตลอดจนใช้ชำระความคิดความปราถนาให้บริสุทธิ์ด้วย

  “ ไม่มีภัยพิบัติครั้งใดที่ใหญ่เกินไปกว่าความโลภของผู้คน“
  
#ขอเป็นนักพรตเต๋าคนสุดท้าย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่