คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
ผมกำลังทดลองแนวคิดผมอยู่ แต่มันเกี่ยวข้องกับอายุและการใช้ชีวิตด้วยนะครับ
คืออย่างที่เข้าใจกันประกันสุขภาพคือการจ่ายเบี้ยทิ้ง หมดปีก็สูญไปเหมือนประกันรถยนต์
ในขณะที่ประกันรถยนต์นั้น โอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าคือ ถ้าเราไม่ชนเขา เขาก็มาชนเรา แถมคนมาชนใช่ว่าจะทำประกันทุกคน บางทีเราต้องควักเงินจ่ายค่าซ่อมเอง
ประกอบกับการใช้ชีวิตของผม ผมจะดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย ดังนั้นโรคที่เกิดจากการไม่ออกกำลัง ไม่ดูแลสุขภาพ เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ เกาต์ หรืออะไรทำนองนี้คงกินผมยาก ที่จะกังวลจริงๆก็คือมะเร็ง เพราะมันเป็นได้ทุกคนต่อให้ดูแลสุขภาพดียังไงก็ตาม
ผมเริ่มใช้วิธีแบบเงินที่จะใช้ส่งให้ประกันสุขภาพ ผมจะเอาไปลงทุน เช่น ซื้อหุ้น ซื้อทอง หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้โอกาสเงินต้นสูญไปน้อยที่สุด
และถือว่าเงินนั้นพอครบปีมันคือเงินได้ฟรี หากปีนั้นต้องไปหาหมออะไรยังไงก็หักเอาจากเงินก้อนนี้ล่ะครับ
ผมคิดว่าถ่าทยอยสะสมไปสักสิบปี ก็จะมีเงินเก็บไว้หลักแสนบาทหรือนานกว่านั้นเงินก้อนนี้ก็ยิ่งเพิ่ม ยิ่งหากซื้อหุ้นไว้ถ้าเป็นหุ้นพื้นฐานดี ปล่อยทิ้งไว้สักสิบยี่สิบปี จากสถิติราคาหุ้นจะแพงกว่าตอนที่ซื้อมาเสมอ ก็พอจะวางใจได้ว่าเงินเราจะไม่ลด อันนี้ยังไม่รวมปันผลที่ได้จากหุ้นนะครับ
ถ้าหากผมโชคดี ไม่ป่วยอะไรยันตาย ผมก็จะมีเงินก้อนส่งต่อลูกหลาน หรือถ้าป่วยอะไรขึ้นมาเงินเหล่านั้นก็จะมีใช้รักษาตัวเอง เว้นแต่เป็นมะเร็งเงินเก็บสะสมหลักแสนคงไม่พอ เนื่องจากมีประสบการณ์คนที่บ้านเป็นมะเร็งผ่านไปหกเดือนใช้เงินรักษาไปร่วมสามล้าน แถมรักษาไม่หายตายอีก ผมเลยไม่อะไรกับมะเร็งแล้ว ถ้าเป็นขึ้นมาก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้
เพียงแต่สิ่งที่พอประเมินได้คือ ตราบใดที่ผมดูแลสุขภาพ โรคอื่นๆที่กล่าวมาคงมาถึงตัวผมยากครับ เพราะเราใช้ชีวิตกำจัดความเสี่ยงไปเยอะ
อีกอย่างทำประกันสุขภาพผมมองว่า ตราบใดที่คุณเบิกเงินประกันไม่เยอะ บริษัทเขาก็ยังให้คุณต่อประกัน
แต่วันไหนคุณเกิดเป็นโรคเรื้อรัง เช่น ส่งประกันดีมาตลอดยี่สิบสามสิบปี พอมาปีที่ 31 ดันเป็นเบาหวาน หรือต้องฟอกไต หรือทำอะไรจนเกินกว่าเงินส่งประกันทุกปีของคุณ
ปีต่อมาผมเชื่อว่าบริษัทประกันไม่ต่อประกันให้คุณแน่ครับ เท่ากับว่าเงินที่เคยส่งมาให้ตลอดสามสิบปีคือแทบไม่ช่วยอะไรเลย และบริษัทประกันคงไม่ยอมให้คุณเสียเงินประกันปีละไม่กี่หมื่นแต่เบิกประกันปีละหลายๆแสนแน่นอน รวมถึงบริษัทประกันอื่นถ้ารู้ประวัติการรักษาคุณ เขาก็ไม่ต่อประกันให้คุณแน่
ด้วยเหตุนี้ตอนนี้ผมเลยเลือกทางสะสมเงินทีต้องจ่ายประกันทุกปีมาเก็บไว้สำหรับลงทุนโดยห้ามเบิกห้ามถอนเด็ดขาด
แต่ไม่ได้ชี้ชวนให้ใครทำตามนะครับ เนื่องจากสุขภาพใครของมัน ใช้ชีวิตไม่เหมือนกันครับ และแนวคิดผมจะเสี่ยงมากๆคือในช่วงสิบปีแรกถ้าเป็นอะไรหนักๆขึ้นมาเงินที่เราเก็บสะสมไว้อาจไม่มากพอที่จะจ่ายค่ารักษาครับ แต่ถ้าพ้นไปได้มันก็มากพอที่จะรักษาโรคทั่วไปที่ไม่ใช่มะเร็งได้หมดแล้วครับ
คืออย่างที่เข้าใจกันประกันสุขภาพคือการจ่ายเบี้ยทิ้ง หมดปีก็สูญไปเหมือนประกันรถยนต์
ในขณะที่ประกันรถยนต์นั้น โอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าคือ ถ้าเราไม่ชนเขา เขาก็มาชนเรา แถมคนมาชนใช่ว่าจะทำประกันทุกคน บางทีเราต้องควักเงินจ่ายค่าซ่อมเอง
ประกอบกับการใช้ชีวิตของผม ผมจะดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย ดังนั้นโรคที่เกิดจากการไม่ออกกำลัง ไม่ดูแลสุขภาพ เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ เกาต์ หรืออะไรทำนองนี้คงกินผมยาก ที่จะกังวลจริงๆก็คือมะเร็ง เพราะมันเป็นได้ทุกคนต่อให้ดูแลสุขภาพดียังไงก็ตาม
ผมเริ่มใช้วิธีแบบเงินที่จะใช้ส่งให้ประกันสุขภาพ ผมจะเอาไปลงทุน เช่น ซื้อหุ้น ซื้อทอง หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้โอกาสเงินต้นสูญไปน้อยที่สุด
และถือว่าเงินนั้นพอครบปีมันคือเงินได้ฟรี หากปีนั้นต้องไปหาหมออะไรยังไงก็หักเอาจากเงินก้อนนี้ล่ะครับ
ผมคิดว่าถ่าทยอยสะสมไปสักสิบปี ก็จะมีเงินเก็บไว้หลักแสนบาทหรือนานกว่านั้นเงินก้อนนี้ก็ยิ่งเพิ่ม ยิ่งหากซื้อหุ้นไว้ถ้าเป็นหุ้นพื้นฐานดี ปล่อยทิ้งไว้สักสิบยี่สิบปี จากสถิติราคาหุ้นจะแพงกว่าตอนที่ซื้อมาเสมอ ก็พอจะวางใจได้ว่าเงินเราจะไม่ลด อันนี้ยังไม่รวมปันผลที่ได้จากหุ้นนะครับ
ถ้าหากผมโชคดี ไม่ป่วยอะไรยันตาย ผมก็จะมีเงินก้อนส่งต่อลูกหลาน หรือถ้าป่วยอะไรขึ้นมาเงินเหล่านั้นก็จะมีใช้รักษาตัวเอง เว้นแต่เป็นมะเร็งเงินเก็บสะสมหลักแสนคงไม่พอ เนื่องจากมีประสบการณ์คนที่บ้านเป็นมะเร็งผ่านไปหกเดือนใช้เงินรักษาไปร่วมสามล้าน แถมรักษาไม่หายตายอีก ผมเลยไม่อะไรกับมะเร็งแล้ว ถ้าเป็นขึ้นมาก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้
เพียงแต่สิ่งที่พอประเมินได้คือ ตราบใดที่ผมดูแลสุขภาพ โรคอื่นๆที่กล่าวมาคงมาถึงตัวผมยากครับ เพราะเราใช้ชีวิตกำจัดความเสี่ยงไปเยอะ
อีกอย่างทำประกันสุขภาพผมมองว่า ตราบใดที่คุณเบิกเงินประกันไม่เยอะ บริษัทเขาก็ยังให้คุณต่อประกัน
แต่วันไหนคุณเกิดเป็นโรคเรื้อรัง เช่น ส่งประกันดีมาตลอดยี่สิบสามสิบปี พอมาปีที่ 31 ดันเป็นเบาหวาน หรือต้องฟอกไต หรือทำอะไรจนเกินกว่าเงินส่งประกันทุกปีของคุณ
ปีต่อมาผมเชื่อว่าบริษัทประกันไม่ต่อประกันให้คุณแน่ครับ เท่ากับว่าเงินที่เคยส่งมาให้ตลอดสามสิบปีคือแทบไม่ช่วยอะไรเลย และบริษัทประกันคงไม่ยอมให้คุณเสียเงินประกันปีละไม่กี่หมื่นแต่เบิกประกันปีละหลายๆแสนแน่นอน รวมถึงบริษัทประกันอื่นถ้ารู้ประวัติการรักษาคุณ เขาก็ไม่ต่อประกันให้คุณแน่
ด้วยเหตุนี้ตอนนี้ผมเลยเลือกทางสะสมเงินทีต้องจ่ายประกันทุกปีมาเก็บไว้สำหรับลงทุนโดยห้ามเบิกห้ามถอนเด็ดขาด
แต่ไม่ได้ชี้ชวนให้ใครทำตามนะครับ เนื่องจากสุขภาพใครของมัน ใช้ชีวิตไม่เหมือนกันครับ และแนวคิดผมจะเสี่ยงมากๆคือในช่วงสิบปีแรกถ้าเป็นอะไรหนักๆขึ้นมาเงินที่เราเก็บสะสมไว้อาจไม่มากพอที่จะจ่ายค่ารักษาครับ แต่ถ้าพ้นไปได้มันก็มากพอที่จะรักษาโรคทั่วไปที่ไม่ใช่มะเร็งได้หมดแล้วครับ
แสดงความคิดเห็น
มนุษย์เงินเดือน ควรทำประกันสุขภาพมั้ย ที่ทำก็เพื่อจะได้คุ้มครองไปถึงอายุ80ปี
ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย ใช้ประกันสังคมได้ที่ รพ.คณะแพทย์ในมหาวิทยาลัย ถ้าเจ็บป่วยก็เข้ารพ.แพทย์ก่อน ถึงแม้จะต้องรอนานสักหน่อย แต่คนก็ไม่เยอะมากเหมือนรพ.จังหวัด ที่มีทั้งคนไข้บัตรทอง ประกันสังคมจากบ.อื่นๆ(รพ.คณะแพทย์นี้ไม่รับบัตรทองและประกันสังคมจากบ.อื่น)
แต่ที่คิดจะทำก็เผื่อไว้กรณีไปใช้รพ.เอกชนเพื่อไม่ต้องรอนาน หรือกรณีเตียง/คิวรักษารพ.คณะแพทย์ไม่มีหรือรอนาน แต่ถ้าถามว่ารพ.ที่เราจะไปใช้ลำดับแรกก็คือรพ.คณะแพทย์ เพราะเชื่อมือบุคลากร
อีกทั้งกรณีเราเกษียณ ก็ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมรพ.คณะแพทย์ต่อได้ ต้องไปใช้บัตรทองหรือประกันสังคมรพ.จังหวัดที่คนเยอะกว่า
จึงฉุกคิดว่าเราควรทำประกันสุขภาพไว้ตอนนี้ดีหรือไม่ ซึ่งกว่าจะเกษียณก็20กว่าปี แต่มานั่งคิดเบี้ยประกันรวมๆแล้วก็หลักแสน หลักล้านอยู่ แต่ก็อ่านเจอมีหลายเคสที่มีปัญหาเรื่องการเคลมของบ.ประกันต่างๆก็เลยลังเลในการตัดสินใจ หรือเราจะเก็บเงินไว้เป็นค่ารักษาเองดี กรณีดันอายุยืยมากกว่า80-85ปี ยังไงเราก็ต้องจ่ายค่ารักษาเองอยู่ดี
จึงอยากถามชาวพันทิปว่ามีความเห็นยังไงเรื่องนี้บ้าง
ปล.เงินเก็บเงินลงทุนก็พอมีอยู่ ตอนนี้ใกล้8หลัก มี passive income อยู่บ้างจากดอกเบี้ยปันผล 2-30K/เดือน