สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ปีหน้า 60 เกษียนปลายปีหน้า ทำงานเอกชน.
เงินเก็บยังไม่ถึง 5 แสน เพราะต้องไปเสียให้กับแม่ที่นอนติดเตียง มาหลายปีแล้ว ถ้าไม่มีตรงนี้ก็คงมีเงินเก็บส่วนตัวอย่างน้อย 1 - 2 ล้าน ไม่รวมของภรรยา
แต่ก็ไม่เป็นอะไร แม้จะมีเงินเก็บส่วนตัวไม่ถึง 1 ล้านบาท แต่ไปเก็บในรูปของอสังหาริมทรัพย์ เพราะได้วางแผนไว้แต่เนินๆ หลายปีมาแล้ว เมื่อเกษียณก็จะมีรายได้โดยไม่ต้องทำงานต่อเดิอนดังนี้
1. บำนาณประกันสังคม 4,200 บาท
2. ค่าเช่า 8,000 บาท หักค่าส่วนกลางไปแล้ว 1000 บาท
3. ดอกเบี้ย 400 บาท (แสนละ 100 ต่อเดือน)
4. เงินชราภาพ 600 บาท (รัฐ ให้ จะบริจาก แต่ดูแล้วเราก็เกือบไม่พอ จึงขอเก็บไว้ก่อน)
รวม 13,200 บาท/เดือน ที่ได้แน่นอนหลังเกษียณแล้ว
ส่วนรายได้ที่เกิดจากการทำงานเล็กๆ น้อยๆ หลังเกษียณ
1. พืชผลและผัก 1,000 บาท ต่อเดือน ที่พึ่งได้จากการปลูกเมื่อเกษียณมีเวลามากแล้ว
2. ลงทุนในหุ้นปันผล+กองทุน 800 บาทต่อเดือน (เพิ่มเงินทุนเป็น 2 แสนกว่าบาท จากที่เล่นๆ สนุกมา 7 ปี ในวงเงิน 9 หมื่น จึงเริ่มมั่นใจ)
รวมแล้วจะได้เมื่อเกษีณ 15,000 บาทต่อเดือน ส่วนตัว ภรรยาก็มีเงินบำนาณส่วนตัวของเขาอยู่แล้ว
ส่วนเงินพิเศษที่คาดว่าจะได้เพิ่มโดยไม่ต้องทำงาน หลังเกษียณไปแล้ว 2 ปี.
1.เมื่อเอาเงินที่ลูกให้ผ่อนรถให้ลูกเองจนหมด(9000 บาท) ก็จะได้ 4,500 ต่อเดือน อีกครึ่งหนึ่งเป็นของแม่เขาไป
ดังนั้น เมื่อเกษียณไปแล้ว 2 ปี หรือ อายุ 63 ปี ก็จะมีรายได้รวมที่ 19,500 ต่อเดือน.
หมายเหตุ ยังไม่รวมค่าโอกาศ ในพื้ชผัก ผลไม้ และ เพาะเห็ด ที่อาจจะมีการพัฒนาขึ้น เพราะมีเวลาว่างมากพอ ที่ทำให้มันงอกเงยขึ้น ในที่ดินร่วม 1 ไร่ 3 งาน. หรือปัดฝุ่น เอาโปรแกรมที่พัฒนา พัฒนาต่อยอดไปขายเป็นธุรกิจของตนเอง ในยามแก่แล้ว เพื่อลูกหลาน ที่สนใจทำธุรกิจของตนเอง.
เงินเก็บยังไม่ถึง 5 แสน เพราะต้องไปเสียให้กับแม่ที่นอนติดเตียง มาหลายปีแล้ว ถ้าไม่มีตรงนี้ก็คงมีเงินเก็บส่วนตัวอย่างน้อย 1 - 2 ล้าน ไม่รวมของภรรยา
แต่ก็ไม่เป็นอะไร แม้จะมีเงินเก็บส่วนตัวไม่ถึง 1 ล้านบาท แต่ไปเก็บในรูปของอสังหาริมทรัพย์ เพราะได้วางแผนไว้แต่เนินๆ หลายปีมาแล้ว เมื่อเกษียณก็จะมีรายได้โดยไม่ต้องทำงานต่อเดิอนดังนี้
1. บำนาณประกันสังคม 4,200 บาท
2. ค่าเช่า 8,000 บาท หักค่าส่วนกลางไปแล้ว 1000 บาท
3. ดอกเบี้ย 400 บาท (แสนละ 100 ต่อเดือน)
4. เงินชราภาพ 600 บาท (รัฐ ให้ จะบริจาก แต่ดูแล้วเราก็เกือบไม่พอ จึงขอเก็บไว้ก่อน)
รวม 13,200 บาท/เดือน ที่ได้แน่นอนหลังเกษียณแล้ว
ส่วนรายได้ที่เกิดจากการทำงานเล็กๆ น้อยๆ หลังเกษียณ
1. พืชผลและผัก 1,000 บาท ต่อเดือน ที่พึ่งได้จากการปลูกเมื่อเกษียณมีเวลามากแล้ว
2. ลงทุนในหุ้นปันผล+กองทุน 800 บาทต่อเดือน (เพิ่มเงินทุนเป็น 2 แสนกว่าบาท จากที่เล่นๆ สนุกมา 7 ปี ในวงเงิน 9 หมื่น จึงเริ่มมั่นใจ)
รวมแล้วจะได้เมื่อเกษีณ 15,000 บาทต่อเดือน ส่วนตัว ภรรยาก็มีเงินบำนาณส่วนตัวของเขาอยู่แล้ว
ส่วนเงินพิเศษที่คาดว่าจะได้เพิ่มโดยไม่ต้องทำงาน หลังเกษียณไปแล้ว 2 ปี.
1.เมื่อเอาเงินที่ลูกให้ผ่อนรถให้ลูกเองจนหมด(9000 บาท) ก็จะได้ 4,500 ต่อเดือน อีกครึ่งหนึ่งเป็นของแม่เขาไป
ดังนั้น เมื่อเกษียณไปแล้ว 2 ปี หรือ อายุ 63 ปี ก็จะมีรายได้รวมที่ 19,500 ต่อเดือน.
หมายเหตุ ยังไม่รวมค่าโอกาศ ในพื้ชผัก ผลไม้ และ เพาะเห็ด ที่อาจจะมีการพัฒนาขึ้น เพราะมีเวลาว่างมากพอ ที่ทำให้มันงอกเงยขึ้น ในที่ดินร่วม 1 ไร่ 3 งาน. หรือปัดฝุ่น เอาโปรแกรมที่พัฒนา พัฒนาต่อยอดไปขายเป็นธุรกิจของตนเอง ในยามแก่แล้ว เพื่อลูกหลาน ที่สนใจทำธุรกิจของตนเอง.
ความคิดเห็นที่ 27
ถ้าตั้งเป้าไว้ว่า จะมีเงินใช้เดือนละสองสามหมื่นยามเกษียณแล้ว และคำนวณได้ว่าจะต้องมีเงินเก็บหลายสิบล้าน ก็คงจะยังไม่รู้สัจธรรมของชีวิต
พึ่งนั่งคุยกับปู่อายุ 70 ที่มานั่งขุดหลุมฝังเสาเข็มและเทคานก่อกำแพงอยู่เมื่อไม่กี่วันมานี้ รายได้แล้วแต่นายงานจะให้ ซึ่งนายงานก็เป็นลูกชายของปู่เอง ปู่นั่งกินข้าวหนึ่งชาม ข้าวคลุกน้ำพริกกับปลาย่างตัวเล็กๆ ปู่ดีใจที่ได้กาแฟกระป๋องจากคนจ้าง มาเป็นของหวาน และตบท้ายมื้อาหารด้วยใบจากมวนยาฉุน ซึ่งเป็นบุหรี่แบบที่อันตรายที่สุด แต่ปู่ก็สูบแบบนั้น เพราะไม่มีเงินจะซื้อบุหรี่ซองมีก้นกรองมาสูบ นับว่านโยบายภาษีบุหรี่มหาโหด ฆ่าพลเมืองชั้นยากจนของเราได้ดีเยี่ยม เพราะคนงานก่อสร้างสูบใบจากมวนยาฉุนกันทั้งนั้น เนื่องจากไม่มีปัญญาซื้อบุหรี่ราคาแพงสูบ
ปู่ไม่มีบำนาญ สมบัติก็มีเพียงที่ดินซึ่งปลูกบ้านอยู่กับลูกหลาน ทำงานทุกวัน 70 แล้วยังแบกปูนได้ทั้งลูก แข็งแรงกว่าคนพึ่งเกษียณที่มีเงินเก็บเป็นสิบล้าน ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่จ้างปู่มาทำงาน
คาดว่าปู่จะอยู่ได้นานกว่าคนเกษียณแล้วมีเงินสิบล้าน เพราะเห็นคนมีเงินแบบนั้นมีงานอดิเรกคือการไปหาหมอ และมีของหวานหลังอาหารคือยาหนึ่งกำมือ มีเงินพอจะซื้อของดีๆกินทุกมื้อ แต่กินเข้าไปไม่ได้ เพราะเป็นเบาหวาน ความดัน สารพัดโรค ขณะที่ปู่อายุ 70 ซัดเหล้าขาวแก้เมื่อยก่อนนอนวันละก๊งสองก๊ง ลูกชายแอบนินทาให้ฟังว่า เขามีอะไรกุ๊กกิ๊กๆของเขาได้ทุกวัน กุ๊กกิ๊กนี่หมายถึงเรื่องเหล้านะ ไม่ใช่เรื่องพรรณนั้น
ยังมีคนอายุเกิน 55 แล้วที่ผู้ตอบรู้จักมากมาย ไม่มีไอ้เงินสิบล้านนั่นหรอก และทุกคนก็อยู่ไปตามอัตภาพ จะว่าอดอยากหรือก็คงไม่ใช่ คนแก่แล้วกินอะไรไม่ได้มาก ไม่ว่าจะแก่รวยหรือแก่จน มันหมดวัยตะกละแล้ว และจะให้ไปท่องเที่ยว เศรษฐีที่รู้จัก บ่นให้ฟังว่าเหนื่อยเหลือเกิน ลูกหลานพาไปญี่ปุ่นเกาหลีปีละหนสองหน ไม่ได้อยากไปเลย แต่ลูกหลานเขากลัวจะถูกหาว่าอกตัญญู ไม่พาพ่อแม่เที่ยว เลยลากใส่รถเข็นไปฮอกไกโด ไปกินปูยักษ์ หนาวจะตายห่ะ อยากนั่งกินโจ๊กหมูอยู่ที่บ้าน ก็ทำไม่ได้ เผือกเกิดมารวย
คงอธิบายยาก แก่แล้วก็รู้เองล่ะน่า
พึ่งนั่งคุยกับปู่อายุ 70 ที่มานั่งขุดหลุมฝังเสาเข็มและเทคานก่อกำแพงอยู่เมื่อไม่กี่วันมานี้ รายได้แล้วแต่นายงานจะให้ ซึ่งนายงานก็เป็นลูกชายของปู่เอง ปู่นั่งกินข้าวหนึ่งชาม ข้าวคลุกน้ำพริกกับปลาย่างตัวเล็กๆ ปู่ดีใจที่ได้กาแฟกระป๋องจากคนจ้าง มาเป็นของหวาน และตบท้ายมื้อาหารด้วยใบจากมวนยาฉุน ซึ่งเป็นบุหรี่แบบที่อันตรายที่สุด แต่ปู่ก็สูบแบบนั้น เพราะไม่มีเงินจะซื้อบุหรี่ซองมีก้นกรองมาสูบ นับว่านโยบายภาษีบุหรี่มหาโหด ฆ่าพลเมืองชั้นยากจนของเราได้ดีเยี่ยม เพราะคนงานก่อสร้างสูบใบจากมวนยาฉุนกันทั้งนั้น เนื่องจากไม่มีปัญญาซื้อบุหรี่ราคาแพงสูบ
ปู่ไม่มีบำนาญ สมบัติก็มีเพียงที่ดินซึ่งปลูกบ้านอยู่กับลูกหลาน ทำงานทุกวัน 70 แล้วยังแบกปูนได้ทั้งลูก แข็งแรงกว่าคนพึ่งเกษียณที่มีเงินเก็บเป็นสิบล้าน ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่จ้างปู่มาทำงาน
คาดว่าปู่จะอยู่ได้นานกว่าคนเกษียณแล้วมีเงินสิบล้าน เพราะเห็นคนมีเงินแบบนั้นมีงานอดิเรกคือการไปหาหมอ และมีของหวานหลังอาหารคือยาหนึ่งกำมือ มีเงินพอจะซื้อของดีๆกินทุกมื้อ แต่กินเข้าไปไม่ได้ เพราะเป็นเบาหวาน ความดัน สารพัดโรค ขณะที่ปู่อายุ 70 ซัดเหล้าขาวแก้เมื่อยก่อนนอนวันละก๊งสองก๊ง ลูกชายแอบนินทาให้ฟังว่า เขามีอะไรกุ๊กกิ๊กๆของเขาได้ทุกวัน กุ๊กกิ๊กนี่หมายถึงเรื่องเหล้านะ ไม่ใช่เรื่องพรรณนั้น
ยังมีคนอายุเกิน 55 แล้วที่ผู้ตอบรู้จักมากมาย ไม่มีไอ้เงินสิบล้านนั่นหรอก และทุกคนก็อยู่ไปตามอัตภาพ จะว่าอดอยากหรือก็คงไม่ใช่ คนแก่แล้วกินอะไรไม่ได้มาก ไม่ว่าจะแก่รวยหรือแก่จน มันหมดวัยตะกละแล้ว และจะให้ไปท่องเที่ยว เศรษฐีที่รู้จัก บ่นให้ฟังว่าเหนื่อยเหลือเกิน ลูกหลานพาไปญี่ปุ่นเกาหลีปีละหนสองหน ไม่ได้อยากไปเลย แต่ลูกหลานเขากลัวจะถูกหาว่าอกตัญญู ไม่พาพ่อแม่เที่ยว เลยลากใส่รถเข็นไปฮอกไกโด ไปกินปูยักษ์ หนาวจะตายห่ะ อยากนั่งกินโจ๊กหมูอยู่ที่บ้าน ก็ทำไม่ได้ เผือกเกิดมารวย
คงอธิบายยาก แก่แล้วก็รู้เองล่ะน่า
ความคิดเห็นที่ 24
ช้อนหุ้นดังหลายตัวเมื่อปี 50 (set ประมาณ 1500>500) หลังจากนั้นก็ช้อนอีกเมื่อมีสภาวะด้านลบทำหุ้นตก ไม่ค่อยขายเท่าไรเวลาพุ่งเพราะเสียดายปันผล
ซื้อ rmf-ltf ตั้งแต่ปี 47 หยุดซื้อเมื่อปี 52 (เกษียณ) มองราคาหน่วยปัจจุบันแล้วสบายใจ สูงกว่าต้นทุนหลายเท่า เตรียมไว้ขายตอนเจ็บป่วยหนักจะได้ไม่เป็นเวรกรรมของลูกหลาน (แต่จริง ๆ ลูกหลานไม่คิดว่ามีพ่อแม่แล้วเป็นเวรกรรมที่ต้องเลี้ยงดูตอนแก่)
ออมไว้ในกองทุน pension ของหน่วยงานเดิม พอเกษียณก็ได้เงินออมกับผลประโยชน์ติดตัวออกมาด้วย
ซื้อกองทุนปิดระยะสั้น(10-12 ด.) ของแบงค์ใหญ่พอจบเทอม แบงค์ก็ออกใหม่อีก เราก็ซื้อต่อไปเรื่อย ๆ ตอนนี้หยุดแล้วเอาเงินไปลงที่หุ้น set
ซื้อหุ้นกู้ระดับ 3B+ ไปเรื่อย ๆ ไม่รีบ (อย่างหุ้นกู้ของ mint ที่จะออกมาขาย คงไม่ซื้อเพราะอีกไม่กี่ปีเราก็ม่องเท่งแล้ว)
หุ้นและเงินฝากใน coop.ของหน่วยงานที่เคยทำงานมา ได้ปันผลกับดอกเบี้ยเงินฝาก
ลงทุนไว้แค่นี้แหละ รวม ๆ แล้วมูลค่าปัจจุบันประมาณ 7-9 ล.บาท ตามสถานการณ์
รับปันผลกับดอกเบี้ยรวม ๆ ประมาณ 4-5 แสนต่อปี บวกค่าคืนภาษีและเครดิตภาษีอีกจิ๊บ ๆ (อายุ 65+ หักรายได้ออก 190,000 บาท)
เพียงพอแล้ว ไม่ต้องโลภไม่ต้องงกมากกว่านี้อีก ใช้ชีวิตชิลด์ ๆ สโลว์ไลฟ์ มองโลกได้สุนทรีย์ก่อนกลับไปสู่ธุลีดิน
ซื้อ rmf-ltf ตั้งแต่ปี 47 หยุดซื้อเมื่อปี 52 (เกษียณ) มองราคาหน่วยปัจจุบันแล้วสบายใจ สูงกว่าต้นทุนหลายเท่า เตรียมไว้ขายตอนเจ็บป่วยหนักจะได้ไม่เป็นเวรกรรมของลูกหลาน (แต่จริง ๆ ลูกหลานไม่คิดว่ามีพ่อแม่แล้วเป็นเวรกรรมที่ต้องเลี้ยงดูตอนแก่)
ออมไว้ในกองทุน pension ของหน่วยงานเดิม พอเกษียณก็ได้เงินออมกับผลประโยชน์ติดตัวออกมาด้วย
ซื้อกองทุนปิดระยะสั้น(10-12 ด.) ของแบงค์ใหญ่พอจบเทอม แบงค์ก็ออกใหม่อีก เราก็ซื้อต่อไปเรื่อย ๆ ตอนนี้หยุดแล้วเอาเงินไปลงที่หุ้น set
ซื้อหุ้นกู้ระดับ 3B+ ไปเรื่อย ๆ ไม่รีบ (อย่างหุ้นกู้ของ mint ที่จะออกมาขาย คงไม่ซื้อเพราะอีกไม่กี่ปีเราก็ม่องเท่งแล้ว)
หุ้นและเงินฝากใน coop.ของหน่วยงานที่เคยทำงานมา ได้ปันผลกับดอกเบี้ยเงินฝาก
ลงทุนไว้แค่นี้แหละ รวม ๆ แล้วมูลค่าปัจจุบันประมาณ 7-9 ล.บาท ตามสถานการณ์
รับปันผลกับดอกเบี้ยรวม ๆ ประมาณ 4-5 แสนต่อปี บวกค่าคืนภาษีและเครดิตภาษีอีกจิ๊บ ๆ (อายุ 65+ หักรายได้ออก 190,000 บาท)
เพียงพอแล้ว ไม่ต้องโลภไม่ต้องงกมากกว่านี้อีก ใช้ชีวิตชิลด์ ๆ สโลว์ไลฟ์ มองโลกได้สุนทรีย์ก่อนกลับไปสู่ธุลีดิน
ความคิดเห็นที่ 32
-ลงทุนไว้คล้ายๆ คคห.ที่ 24 มีทั้งหุ้น กองทุน เงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ แต่เป็นการลงทุนระยะยาวมาก
ลงทุนครั้งแรก set index แค่ 300 จุด ก็สะสมมาเรื่อย รวมแล้วเกือบ 30 ปี จะรู้ว่าได้ปันผลแค่ไหน ก็ตอนไป
ขอคืนภาษี ชีวิตบั้นปลายถ้าไม่ได้สะสมเอาไว้คงลำบากมาก ปีที่แล้ว คุณสามีเข้าๆ ออกๆ รพ.เอกชน ระยะ
ยาวที่สุด 2 เดือนกว่า อยู่ ไอซียูด้วย หมดไปล้านกว่าบาท กลับมาบ้านก็ยังคงมีการเข้าๆ ออกๆ ระยะสั้น ที
ละแสน ... ค่าพยาบาลที่มาช่วยดูแลที่บ้าน ก็เดือนละ 45.000 ยังมีต่าอุปกรณ์ ยา สรุปค่าใช้จ่าย ทั้งคนป่วย
คนดี เดือนละ แสนกว่าบาท ทั้งหมด คือมาจาก ปันผลหุ้น ค่ะ ต้นทุนอยู่ที่ 23 ล้าน++ ราคาตลาดอยู่ที่
34 ล้าน++ ....นี่คือ ทั้งหมดที่มีในชีวิต ลงทุนมา 30 กว่าปี ....
- ชีวิตไม่ได้ ชิล ชิล เพราะ คุณสามีป่วย มาตั้งแต่ อายุ 45 ปี เส้นเลือดในสมองตีบ ประคับประคองฟื้นตัว ทำงาน
จนเกษียณ จึงไม่ได้ไปเที่ยวมากนัก ด้วยร่างกายไม่แข็งแรง จึงออมเงินได้ค่อนข้างมาก วันนี้อายุ 79 ปี อยู่ใน
รพ. อีกแล้ว คุณหมอ เรียกไปคุย แนะนำว่า ให้รักษาประคับประคองตามอาการเท่านั้น ก็ตกลง ใบไม้คงต้องร่วง
เมื่อมันเหี่ยว แห้ง ตามวันเวลา ...
-เตือนกันไว้ อนาคตมันไม่แน่นอน เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้ พึงระมัดระวังไว้ด้วย
ทุน 23 ล้าน ถ้าอยู่ในพันธบัตร หรือ เงินฝากประจำ มันคือ 23 ล้าน คงไม่ใช่ 34 ล้าน ....แต่การลงทุนมีความเสี่ยง
ลงทุนครั้งแรก set index แค่ 300 จุด ก็สะสมมาเรื่อย รวมแล้วเกือบ 30 ปี จะรู้ว่าได้ปันผลแค่ไหน ก็ตอนไป
ขอคืนภาษี ชีวิตบั้นปลายถ้าไม่ได้สะสมเอาไว้คงลำบากมาก ปีที่แล้ว คุณสามีเข้าๆ ออกๆ รพ.เอกชน ระยะ
ยาวที่สุด 2 เดือนกว่า อยู่ ไอซียูด้วย หมดไปล้านกว่าบาท กลับมาบ้านก็ยังคงมีการเข้าๆ ออกๆ ระยะสั้น ที
ละแสน ... ค่าพยาบาลที่มาช่วยดูแลที่บ้าน ก็เดือนละ 45.000 ยังมีต่าอุปกรณ์ ยา สรุปค่าใช้จ่าย ทั้งคนป่วย
คนดี เดือนละ แสนกว่าบาท ทั้งหมด คือมาจาก ปันผลหุ้น ค่ะ ต้นทุนอยู่ที่ 23 ล้าน++ ราคาตลาดอยู่ที่
34 ล้าน++ ....นี่คือ ทั้งหมดที่มีในชีวิต ลงทุนมา 30 กว่าปี ....
- ชีวิตไม่ได้ ชิล ชิล เพราะ คุณสามีป่วย มาตั้งแต่ อายุ 45 ปี เส้นเลือดในสมองตีบ ประคับประคองฟื้นตัว ทำงาน
จนเกษียณ จึงไม่ได้ไปเที่ยวมากนัก ด้วยร่างกายไม่แข็งแรง จึงออมเงินได้ค่อนข้างมาก วันนี้อายุ 79 ปี อยู่ใน
รพ. อีกแล้ว คุณหมอ เรียกไปคุย แนะนำว่า ให้รักษาประคับประคองตามอาการเท่านั้น ก็ตกลง ใบไม้คงต้องร่วง
เมื่อมันเหี่ยว แห้ง ตามวันเวลา ...
-เตือนกันไว้ อนาคตมันไม่แน่นอน เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้ พึงระมัดระวังไว้ด้วย
ทุน 23 ล้าน ถ้าอยู่ในพันธบัตร หรือ เงินฝากประจำ มันคือ 23 ล้าน คงไม่ใช่ 34 ล้าน ....แต่การลงทุนมีความเสี่ยง
แสดงความคิดเห็น
คนที่อายุ 55 หรือ 60 ที่เกษียณแล้วมีเงินไม่ถึง 10 ล้าน ตอนนี้อยู่กันยังไง
1.มีบำนาญ
2.อาศัยรายได้จากบำนาญ ประกันสังคม เบี้ยคนชรา
3.อาศัยลูกทำมาหาเลี้ยง หรือให้เงิน
4.ลงทุนค้าขาย
5.หางานเป็นลูกจ้างที่เขายังจ้างคนวัยเกษียณ
6.อาศัยรายได้จากค่าเช่าอสังหา
7. อื่น ๆ
ขอคำตอบเฉพาะคนที่วัยเกษียณ 55-60ไปแล้วนะครับ
ขอคำตอบคนที่มีเงินเกษียณไม่ถึง 10 ล้าน ว่าอยู่กันยังไง
แล้วได้ไปเที่ยวไหนกันบ้างหรือเปล่า หรือต้องประหยัด