. คำแนะนำก่อนอ่านกะทู้ กรุณานึกถึงเนื้อเพลงดังของโจอี้ บอยในยุค 90 เพลงที่ท่อนฮุคมีเสียงคอรัสร้องว่า
“ร๊าก....ร๊าก เธอไม่มีหมด มากมาย ไม่มีหมด รับรอง ไม่มีหมด” ไปด้วยระหว่างอ่านกะทู้นี้ รับรองได้ว่าท่านจะมีอรรถรสในการอ่านเพิ่มมากขึ้น
สืบเนื่องจากกะทู้ก่อน ที่ผมดันเขียนสะท้อนความรู้สึกตัวเอง ที่ไม่สบอารมณ์กับการเล่นของนักเตะในทีมบางคน ซึ่งผลที่ได้ก็ออกมาตามคาด คือถูกกองเชียร์หงส์สายโลกสวย ผู้เต็มไปด้วยความรัก ความศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น ให้กับทุกคนในทีม พากันออกมาแสดงตัวปกป้อง ราวกับว่า สโลแกนที่มาจากเพลง you will never walk alone ที่แปลความหมายเป็นไทยตามบริบทของโลกฟุตบอล ก็จะได้ความว่า “ไม่ว่าชนะหรือแพ้ผ่าย เราก็จะไปกันจนสุดเส้นทาง” มาบัดนี้ได้เปลี่ยนไปใช้เนื้อเพลง
“ร๊าก....ร๊าก หงส์ไม่มีหมด มากมาย ไม่มีหมด รับรองไม่มีหมด” เสียแล้ว
ซึ่งไอ้ตัวผม ซึ่งก็พร้อมจะร้องเพลงนี้ร่วมไปกับทุกคนเช่นกัน แต่ดันติดที่ว่าอาศัยอยู่บนโลกนี้ โลกแห่งความเป็นจริงมาหลายสิบปี ก็พอจะรู้ว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยงาม ถึงไม่ได้เกิดและโตมาตามบ่อนหรือซ่อง และมีประสบการณ์ตรงในด้านดาร์คด้านมืดแต่อย่างใด แต่ก็รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มันมีสองด้าน
ดังนั้นการเลือกมองเพียงด้านเดียวก็เท่ากับยอมรับความจริงเพียงครึ่งเดียว และนั้นอาจทำให้มองข้ามบางอย่างไป กลายเป็น”จุดอ่อน”ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อไปในอนาคตก็ได้
ใครที่จำชื่อผมได้ เคยอ่านกะทู้ที่ผมเคยเขียน ก็จะรู้ว่าผมไม่ได้เป็น”
ไอ้เพี้ยน”ที่คิดจะเขียนด่าลิเวอร์พูลแต่อย่างเดียว เขียนอวยก็มีและเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมไม่ได้จำกัดตัวเอง ว่าจะต้องเขียนด้านเดียว หรือเขียนเพื่อหวังจะเอาแต่คำชื่นชมสรรเสริญจากแฟนบอลทีมเดียวแต่อย่างใด เพราะมันไม่”
เมคเซ้นต์” หรือสมเหตุสมผลเอาซะเลย หากต้องมาชื่นชมในวันที่ทีมเล่นไม่ดี หรือมี จุดอ่อน ที่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ แต่ไม่มีใครพูดถึง
เอาล่ะ พล่ามมายาวพอสมควรแล้ว เข้าเรื่องกันสักที กับ”
จุดอ่อน”ที่ทีมลิเวอร์พูลชุดนี้มีอยู่หลายจุด
จุดอ่อนแรก คือ บ่อน้ำมันทางด้านขวา ที่เทรน อาโนล ได้รับสิทธิ์ในการเปิดสัปทาน โดยไม่มีกระแสต่อต้าน เพราะได้รับการคุ้มครองด้วยคำว่า”ยังเด็ก” แน่นอนกระแสส่งเสริมดาวรุ่ง ผมก็ไม่ขัดแต่มันต้องวัดผล”
พัฒนาการ” ให้ได้ด้วย ซึ่งนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาสู่ชุดใหญ่ ที่ต้องยอมรับว่าแรกๆก็เห็นพัฒนาการอยู่บ้าง แต่หลังๆ เทรน เหมือนจะย้ายสัมมะโนครัวไปอยู่ย่านที่ใกล้เคียงพัฒนาการอย่างย่าน”
คลองตัน”แทน คือไม่มีความก้าวหน้าเลย เคยตกเป็นเป้าโดนโจมตีอย่างไรก็ยังโดนอยู่แบบนั้น ซึ่งรับรองได้ว่า ถ้าโมเรโน่ลงมาเล่นทางซ้าย แล้วตกเป็นบ่อโดนโจมตีเหมือนที่เทรนโดนตอนนี้ ป่านนี้โดนด่ากันเกลื่อนโซเชียลแล้ว หรือเทียบกับตัวจริงเหมือนกันอย่าง โรเบิร์ตสัน ซึ่งรายนั้น มีพัฒนาการของแท้ ไม่ว่ารุกหรือรับ อาโนลก็สู้ไม่ได้ ทั้งที่ช่วงเวลาที่ทั้งคู่ได้เป็นตัวเลือกหลักในทีมชุดนี้ ก็ใกล้เคียงกัน
จังหวะรับก็เป็นบ่อ จังหวะรุกก็เป็นตัวถ่วง ลูกครอสจากด้านข้างก็หวังผลได้ยาก ในขณะที่อีกฝาก โรเบิร์ตสันได้ไป 2 แอสชิตส์แล้ว
ไคล์นดีกว่าไหม หากว่าห่วงตัวใหม่อย่าง ฟาบินโญ่ จะยังปรับตัวไม่ได้ เพราะอย่างน้อยๆสองคนที่ว่า ก็น่าจะไม่มีอาการลนลานเวลาโดนกดดัน จนต้องเสียใบเหลืองแน่ๆ (เทรน 4 นัด 3 ใบเหลือง) หรือคงยังต้องเชียร์กันไป ปิดตาไว้ข้าง รวมพลังกันร้อง
“ร๊าก....ร๊าก เทรนไม่มีหมด มากมาย ไม่มีหมด รับรอง ไม่มีหมด”
จุดอ่อนที่สอง กองกลางยังยืดหยุ่นปรับตัวไม่ดีพอ เห็นในนัดล่าสุดกับเลสเตอร์ หากไม่มีเกอิต้า ก็ไม่ควรเอาไวนาดุมไปเล่นในตำแหน่งเบอร์ 8 ควบ เบอร์ 10 หรือตัวมิดฟิลด์ที่ต้องสนับสนุนเกมส์รุกเป็นหลัก ซึ่งต้องอธิบายก่อนว่า แผงมิดฟิลด์ในระบบ 4-3-3 ของคล้อปปีนี้ ทุกตำแหน่งต้องเล่นในบทบาทมิดฟิลด์ ทั้ง 3 ตำแหน่ง คือ เป็นเบอร์ 6 ที่คอยช่วยแนวรับ เป็นเบอร์ 8 ที่คอยเชื่อมเกมส์ระหว่างรุกกับรับ และพร้อมเป็นเบอร์ 10 เข้าทำหน้าที่สนับสนุนหรือทำสกอร์เองในเกมส์รุก เพียงแต่กำหนดบทบาทเน้นหนักของแต่ละคนต่างกัน แม้ต้องสวม 3 บทบาทเหมือนกัน ซึ่ง 3 นัดแรกตอนออกสตาร์ทซีซั่นค่อนข้างชัดเจน ว่าเกอิต้า จะเน้นรุก มิลเนอร์ จะคอยเชื่อม ไวนาดุม จะห้อยสุดท้ายเน้นรับ ถึงในเกมส์รับไม่ค่อยโดนบททดสอบมากนัก เพราะคู่แข่งเลือกจะถอยไปตั้งรับลึกเป็นส่วนใหญ่ แต่ทั้งสามคนก็ประสานงานกันได้เนียนตาเล่นทั้งรุกและรับกันทุกคน และมีสลับตำแหน่งกันบ้างในบ้างครั้ง เพื่อเพิ่มมิติในการเล่น
แต่พอใส่เฮนเดอร์สันเข้ามาเพื่อเน้นรับ ขยับ ไวนาดุมไปยืนสูงเพื่อเน้นรุกแทนเกอิต้า ก็กลายเป็นว่า บทบาทที่ต้องควบ สามหน้าที่ ก็กลายเป็น ทั้งมิดฟิลด์ที่ต้องเน้นรุกและเน้นรับ ก็ดันคิดแต่จะทำหน้าที่ตัวเองแค่บทบาทเดียวเท่านั้น เฮนเดอร์สันปักหลักหน้าคู่เซ้นเตอร์ไม่เคยคิดจะเติมเกมส์รุก ในขณะที่ไวนาดุมก็ลอยสูง ไม่ยอมมาช่วยในเกมส์รับ เหลือ มิลเนอร์คนเดียวที่วิ่งพล่าน ทำงาน 3 บทบาท ตามแผนที่คล้อปวางมาให้ ผลก็คือจากที่เคยครองเกมส์ในแดนกลางในสามนัดแรก ก็ตกเป็นรองในนัดล่าสุดอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนการปรับคืนสู่สภาพเดิม ทำได้ง่ายๆ ก็แค่ใช้ 3 คนที่เล่นในชุดออกสตาร์ท แต่คำถาม คือ แล้ว มิลเนอร์ เกอิต้า ไวนาดุม จะยืนระยะเล่นด้วยกันได้ในช่วงโปรแกรมหนักที่กำลังมาถึงทุกนัดหรือเปล่า คำตอบก็คงรู้ๆกันอยู่ และที่ดูจะเป็นหนทางออกที่ดีกว่า นอกจากการรวมพลังกันร้อง
“ร๊าก....ร๊าก ทุกคน(ที่ลง)ไม่มีหมด มากมาย ไม่มีหมด รับรอง ไม่มีหมด” คือฝึกซ้อมสร้างความเข้าใจในระบบการเล่นที่แตกต่างออกไปจากปีก่อนในแดนกลาง ให้กับทุกตัวเลือกในแดนกลางที่ทีมมีอยู่ตอนนี้ ที่ทุกคนต่างเชื่อว่าปีนี้ดีกว่าตัวเลือกในปีก่อนเยอะ ให้มีประสิทธิภาพ และต้องเล่นได้ทั้งรุกและรับ เล่นครบทุกบทบาทตามรูปแบบการเล่นนี้ ในยามที่ได้โอกาสลงสนาม
จุดอ่อนที่สาม จากแนวรุกสามประสานที่ลือลั่นในปีก่อน มาตอนนี้เหมือนมีสภาพกลายเป็น 1ประสาน 2 ประชัน ไปแล้ว เหลือแค่ เฟอร์มิโน่ ยังเป็น”
พ่อพระ”คนเดิมที่พร้อมจ่ายให้เพื่อนมากกว่าหวงบอลไว้เล่นเอง แต่ทั้งซาล่าห์ และมาเน่ นี้ดูยังไงๆอยู่ โดยเฉพาะซาล่าห์นี้อาการหนัก ดู”
หวงก้าง”จนจะกลายร่างเป็นสเตอริจสมัยก่อนแล้ว กลายเป็นว่าตัวปีกทั้งสองข้าง ก็ดันมากางปีกจะจิกตีกันเองเพื่อแย่งชิงความเด่นดังซะแล้ว ในจุดนี้ถ้าปรับทัศนะคติโดยเร็วไม่ได้ รับรองเป็นปัญหาใหญ่ในการฟันฝ่าพาทีมไปสู่ความสำเร็จแน่ๆ
ข้อสุดท้ายยอมรับว่าผมอาจจะคิดมากไป อาจไม่มีอะไรก็ได้ มันก็แค่จังหวะมันยังไม่ลงตัวเท่านั้น ซึ่งเพื่อป้องกันความผิดพลาด ก็ขอแหกปากร้อง
“ร๊าก....ร๊าก ซาล่าห์ไม่มีหมด มาเน่ ไม่มีหมด รับรอง ไม่มีหมด” เพื่อจะโดนด่าน้อยลง 55+
ปล.รองว่างี้ งด..ยังจะตามมาชูป้ายไฟเชียร์ไหม (เริ่มหาแนวร่วม 55+)
ลิเวอร์พูล กับจุดอ่อน...ที่...ร๊าก
. คำแนะนำก่อนอ่านกะทู้ กรุณานึกถึงเนื้อเพลงดังของโจอี้ บอยในยุค 90 เพลงที่ท่อนฮุคมีเสียงคอรัสร้องว่า “ร๊าก....ร๊าก เธอไม่มีหมด มากมาย ไม่มีหมด รับรอง ไม่มีหมด” ไปด้วยระหว่างอ่านกะทู้นี้ รับรองได้ว่าท่านจะมีอรรถรสในการอ่านเพิ่มมากขึ้น
สืบเนื่องจากกะทู้ก่อน ที่ผมดันเขียนสะท้อนความรู้สึกตัวเอง ที่ไม่สบอารมณ์กับการเล่นของนักเตะในทีมบางคน ซึ่งผลที่ได้ก็ออกมาตามคาด คือถูกกองเชียร์หงส์สายโลกสวย ผู้เต็มไปด้วยความรัก ความศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น ให้กับทุกคนในทีม พากันออกมาแสดงตัวปกป้อง ราวกับว่า สโลแกนที่มาจากเพลง you will never walk alone ที่แปลความหมายเป็นไทยตามบริบทของโลกฟุตบอล ก็จะได้ความว่า “ไม่ว่าชนะหรือแพ้ผ่าย เราก็จะไปกันจนสุดเส้นทาง” มาบัดนี้ได้เปลี่ยนไปใช้เนื้อเพลง “ร๊าก....ร๊าก หงส์ไม่มีหมด มากมาย ไม่มีหมด รับรองไม่มีหมด” เสียแล้ว
ซึ่งไอ้ตัวผม ซึ่งก็พร้อมจะร้องเพลงนี้ร่วมไปกับทุกคนเช่นกัน แต่ดันติดที่ว่าอาศัยอยู่บนโลกนี้ โลกแห่งความเป็นจริงมาหลายสิบปี ก็พอจะรู้ว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยงาม ถึงไม่ได้เกิดและโตมาตามบ่อนหรือซ่อง และมีประสบการณ์ตรงในด้านดาร์คด้านมืดแต่อย่างใด แต่ก็รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มันมีสองด้าน ดังนั้นการเลือกมองเพียงด้านเดียวก็เท่ากับยอมรับความจริงเพียงครึ่งเดียว และนั้นอาจทำให้มองข้ามบางอย่างไป กลายเป็น”จุดอ่อน”ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อไปในอนาคตก็ได้
ใครที่จำชื่อผมได้ เคยอ่านกะทู้ที่ผมเคยเขียน ก็จะรู้ว่าผมไม่ได้เป็น”ไอ้เพี้ยน”ที่คิดจะเขียนด่าลิเวอร์พูลแต่อย่างเดียว เขียนอวยก็มีและเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมไม่ได้จำกัดตัวเอง ว่าจะต้องเขียนด้านเดียว หรือเขียนเพื่อหวังจะเอาแต่คำชื่นชมสรรเสริญจากแฟนบอลทีมเดียวแต่อย่างใด เพราะมันไม่”เมคเซ้นต์” หรือสมเหตุสมผลเอาซะเลย หากต้องมาชื่นชมในวันที่ทีมเล่นไม่ดี หรือมี จุดอ่อน ที่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ แต่ไม่มีใครพูดถึง
เอาล่ะ พล่ามมายาวพอสมควรแล้ว เข้าเรื่องกันสักที กับ”จุดอ่อน”ที่ทีมลิเวอร์พูลชุดนี้มีอยู่หลายจุด
จุดอ่อนแรก คือ บ่อน้ำมันทางด้านขวา ที่เทรน อาโนล ได้รับสิทธิ์ในการเปิดสัปทาน โดยไม่มีกระแสต่อต้าน เพราะได้รับการคุ้มครองด้วยคำว่า”ยังเด็ก” แน่นอนกระแสส่งเสริมดาวรุ่ง ผมก็ไม่ขัดแต่มันต้องวัดผล”พัฒนาการ” ให้ได้ด้วย ซึ่งนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาสู่ชุดใหญ่ ที่ต้องยอมรับว่าแรกๆก็เห็นพัฒนาการอยู่บ้าง แต่หลังๆ เทรน เหมือนจะย้ายสัมมะโนครัวไปอยู่ย่านที่ใกล้เคียงพัฒนาการอย่างย่าน”คลองตัน”แทน คือไม่มีความก้าวหน้าเลย เคยตกเป็นเป้าโดนโจมตีอย่างไรก็ยังโดนอยู่แบบนั้น ซึ่งรับรองได้ว่า ถ้าโมเรโน่ลงมาเล่นทางซ้าย แล้วตกเป็นบ่อโดนโจมตีเหมือนที่เทรนโดนตอนนี้ ป่านนี้โดนด่ากันเกลื่อนโซเชียลแล้ว หรือเทียบกับตัวจริงเหมือนกันอย่าง โรเบิร์ตสัน ซึ่งรายนั้น มีพัฒนาการของแท้ ไม่ว่ารุกหรือรับ อาโนลก็สู้ไม่ได้ ทั้งที่ช่วงเวลาที่ทั้งคู่ได้เป็นตัวเลือกหลักในทีมชุดนี้ ก็ใกล้เคียงกัน
จังหวะรับก็เป็นบ่อ จังหวะรุกก็เป็นตัวถ่วง ลูกครอสจากด้านข้างก็หวังผลได้ยาก ในขณะที่อีกฝาก โรเบิร์ตสันได้ไป 2 แอสชิตส์แล้ว
ไคล์นดีกว่าไหม หากว่าห่วงตัวใหม่อย่าง ฟาบินโญ่ จะยังปรับตัวไม่ได้ เพราะอย่างน้อยๆสองคนที่ว่า ก็น่าจะไม่มีอาการลนลานเวลาโดนกดดัน จนต้องเสียใบเหลืองแน่ๆ (เทรน 4 นัด 3 ใบเหลือง) หรือคงยังต้องเชียร์กันไป ปิดตาไว้ข้าง รวมพลังกันร้อง “ร๊าก....ร๊าก เทรนไม่มีหมด มากมาย ไม่มีหมด รับรอง ไม่มีหมด”
จุดอ่อนที่สอง กองกลางยังยืดหยุ่นปรับตัวไม่ดีพอ เห็นในนัดล่าสุดกับเลสเตอร์ หากไม่มีเกอิต้า ก็ไม่ควรเอาไวนาดุมไปเล่นในตำแหน่งเบอร์ 8 ควบ เบอร์ 10 หรือตัวมิดฟิลด์ที่ต้องสนับสนุนเกมส์รุกเป็นหลัก ซึ่งต้องอธิบายก่อนว่า แผงมิดฟิลด์ในระบบ 4-3-3 ของคล้อปปีนี้ ทุกตำแหน่งต้องเล่นในบทบาทมิดฟิลด์ ทั้ง 3 ตำแหน่ง คือ เป็นเบอร์ 6 ที่คอยช่วยแนวรับ เป็นเบอร์ 8 ที่คอยเชื่อมเกมส์ระหว่างรุกกับรับ และพร้อมเป็นเบอร์ 10 เข้าทำหน้าที่สนับสนุนหรือทำสกอร์เองในเกมส์รุก เพียงแต่กำหนดบทบาทเน้นหนักของแต่ละคนต่างกัน แม้ต้องสวม 3 บทบาทเหมือนกัน ซึ่ง 3 นัดแรกตอนออกสตาร์ทซีซั่นค่อนข้างชัดเจน ว่าเกอิต้า จะเน้นรุก มิลเนอร์ จะคอยเชื่อม ไวนาดุม จะห้อยสุดท้ายเน้นรับ ถึงในเกมส์รับไม่ค่อยโดนบททดสอบมากนัก เพราะคู่แข่งเลือกจะถอยไปตั้งรับลึกเป็นส่วนใหญ่ แต่ทั้งสามคนก็ประสานงานกันได้เนียนตาเล่นทั้งรุกและรับกันทุกคน และมีสลับตำแหน่งกันบ้างในบ้างครั้ง เพื่อเพิ่มมิติในการเล่น
แต่พอใส่เฮนเดอร์สันเข้ามาเพื่อเน้นรับ ขยับ ไวนาดุมไปยืนสูงเพื่อเน้นรุกแทนเกอิต้า ก็กลายเป็นว่า บทบาทที่ต้องควบ สามหน้าที่ ก็กลายเป็น ทั้งมิดฟิลด์ที่ต้องเน้นรุกและเน้นรับ ก็ดันคิดแต่จะทำหน้าที่ตัวเองแค่บทบาทเดียวเท่านั้น เฮนเดอร์สันปักหลักหน้าคู่เซ้นเตอร์ไม่เคยคิดจะเติมเกมส์รุก ในขณะที่ไวนาดุมก็ลอยสูง ไม่ยอมมาช่วยในเกมส์รับ เหลือ มิลเนอร์คนเดียวที่วิ่งพล่าน ทำงาน 3 บทบาท ตามแผนที่คล้อปวางมาให้ ผลก็คือจากที่เคยครองเกมส์ในแดนกลางในสามนัดแรก ก็ตกเป็นรองในนัดล่าสุดอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนการปรับคืนสู่สภาพเดิม ทำได้ง่ายๆ ก็แค่ใช้ 3 คนที่เล่นในชุดออกสตาร์ท แต่คำถาม คือ แล้ว มิลเนอร์ เกอิต้า ไวนาดุม จะยืนระยะเล่นด้วยกันได้ในช่วงโปรแกรมหนักที่กำลังมาถึงทุกนัดหรือเปล่า คำตอบก็คงรู้ๆกันอยู่ และที่ดูจะเป็นหนทางออกที่ดีกว่า นอกจากการรวมพลังกันร้อง “ร๊าก....ร๊าก ทุกคน(ที่ลง)ไม่มีหมด มากมาย ไม่มีหมด รับรอง ไม่มีหมด” คือฝึกซ้อมสร้างความเข้าใจในระบบการเล่นที่แตกต่างออกไปจากปีก่อนในแดนกลาง ให้กับทุกตัวเลือกในแดนกลางที่ทีมมีอยู่ตอนนี้ ที่ทุกคนต่างเชื่อว่าปีนี้ดีกว่าตัวเลือกในปีก่อนเยอะ ให้มีประสิทธิภาพ และต้องเล่นได้ทั้งรุกและรับ เล่นครบทุกบทบาทตามรูปแบบการเล่นนี้ ในยามที่ได้โอกาสลงสนาม
จุดอ่อนที่สาม จากแนวรุกสามประสานที่ลือลั่นในปีก่อน มาตอนนี้เหมือนมีสภาพกลายเป็น 1ประสาน 2 ประชัน ไปแล้ว เหลือแค่ เฟอร์มิโน่ ยังเป็น”พ่อพระ”คนเดิมที่พร้อมจ่ายให้เพื่อนมากกว่าหวงบอลไว้เล่นเอง แต่ทั้งซาล่าห์ และมาเน่ นี้ดูยังไงๆอยู่ โดยเฉพาะซาล่าห์นี้อาการหนัก ดู”หวงก้าง”จนจะกลายร่างเป็นสเตอริจสมัยก่อนแล้ว กลายเป็นว่าตัวปีกทั้งสองข้าง ก็ดันมากางปีกจะจิกตีกันเองเพื่อแย่งชิงความเด่นดังซะแล้ว ในจุดนี้ถ้าปรับทัศนะคติโดยเร็วไม่ได้ รับรองเป็นปัญหาใหญ่ในการฟันฝ่าพาทีมไปสู่ความสำเร็จแน่ๆ
ข้อสุดท้ายยอมรับว่าผมอาจจะคิดมากไป อาจไม่มีอะไรก็ได้ มันก็แค่จังหวะมันยังไม่ลงตัวเท่านั้น ซึ่งเพื่อป้องกันความผิดพลาด ก็ขอแหกปากร้อง “ร๊าก....ร๊าก ซาล่าห์ไม่มีหมด มาเน่ ไม่มีหมด รับรอง ไม่มีหมด” เพื่อจะโดนด่าน้อยลง 55+
ปล.รองว่างี้ งด..ยังจะตามมาชูป้ายไฟเชียร์ไหม (เริ่มหาแนวร่วม 55+)