หลงเสน่ห์ฟูจิ บนเส้น Subashiri Trail

ภูเขาไฟฟูจิ…ที่ 3,776 เมตร คือภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
ภูเขาไฟฟูจิ...คือสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนในแดนอาทิตย์อุทัย
ภูเขาไฟฟูจิ...ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013

มีสำนวนในภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับภูเขาไฟฟูจิว่า 富士山に一度も登らぬバカ、二度登るバカ
“HE WHO CLIMBS MT. FUJI ONCE IS A WISE MAN; HE WHO CLIMBS IT TWICE IS A FOOL.”

หรือแปลไทยได้ว่า “คนที่ปีนขึ้นฟูจิหนึ่งครั้งคือคนฉลาด แต่คนที่ปีนสองครั้งคือคนเขลา”
เราจึงต้องไปพิสูจน์ว่าเราจะฉลาดขึ้นหลังได้ปีนหนึ่งครั้ง หรืออยากเขลาด้วยการไปปีนอีกหลายๆ ครั้ง อิอิ กะพริบตา


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



ขึ้นฟูจิด้วย Subashiri Trail กันไหม


(Credit: http://www.fujisan223.com/en/rule/)



หน้าร้อนที่ญี่ปุ่นนั้นอากาศร้อนตับแลบ มรสุมก็ชอบเข้าถี่ แต่เป็นฤดูที่นักท่องเที่ยวสายแอดเวนเจอร์รอคอยเพราะภูเขาไฟฟูจิเปิดอย่างเป็นทางการ ความจริงข้อมูลเกี่ยวกับการเดินขึ้นฟูจิมีเยอะมาก แถมมีเส้นทางขึ้นยอดตั้งสี่เส้น แต่เหตุผลที่เราเลือกเส้นสึบาชิริซึ่งได้รับความนิยมน้อย เพราะหลังศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบแล้วก็ชอบเส้นนี้ตรงที่:

1. เว็บทางการของฟูจิเตือนว่าวันที่ 12-13 สิงหาที่เราจะไปนั้นเป็นช่วงพีค เส้นโยชิดะและฟูจิโนะมิยะจะคนแน่นมาก เส้นโกเทมบะจะไม่แน่นเลยแต่ข้อเสียคือระยะทางไกลและจุดพักน้อย เส้นสึบาชิริจะไม่แน่นจนกว่าจะบรรจบกับโยชิดะตั้งแต่สถานีที่แปดขึ้นไป เนื่องจากทริปนี้เราไปคนเดียว และมีประสบการณ์ไต่ขึ้นคินาบาลูซึ่งคนเยอะมากมาแล้ว ไม่ค่อยชอบความรู้สึกกดดันเวลามีคนมาต่อหลังแล้วทางแคบจนหลบให้ไม่ได้ เลยคิดว่าไปเส้นที่คนไม่แน่นน่าจะเดินสบายกว่า

2. เส้นสึบาชิริอยู่ฝั่งตะวันออกของฟูจิ หมายความว่าเราไม่ต้องเดินฝ่าความมืดกลางดึกเพื่อขึ้นไปรอดูพระอาทิตย์บนยอด เพราะแค่ตื่นมานั่งหน้าบ้านพักช่วงตี 4-5 ก็เห็น จะได้นอนหลับเต็มอิ่มก่อนเดินต่อขึ้นยอดด้วย

3. เส้นสึบาชิริมีคนเลือกน้อยทั้งที่เดินง่าย ดังนั้นบ้านพักที่ต่ำกว่าสถานีที่แปดลงไป (ช่วงก่อนที่จะบรรจบกับเส้นโยชิดะ) ก็จะไม่แออัดหรือมีเสียงดังจากกรุ๊ปทัวร์ เวลาเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องรอคิวยาว ซึ่งสำหรับเราแล้วสำคัญมาก อมยิ้ม15


แผนที่เส้นทางทั้งสี่ในการขึ้นฟูจิ เส้นสีแดงก็คือเส้นสึบาชิริ จะเห็นว่าหันตรงไปทางตะวันออกเลย

(Credit: https://origami-book.com/column/course-en/1585)


เราเริ่มการเดินทางจากโตเกียวเช้าวันที่ 12 สิงหาด้วยรถไฟสายโอดะคิวจากชินจูกุ (780 เยน) นั่งประมาณชั่วโมงกว่าไปลงที่สถานีชินมัตสึดะ จากที่นั่นจะมีรถบัสวันละ 3-4 รอบไปลงสถานีที่ห้าของเส้นสึบาชิริซึ่งสูง 2,000 เมตรจากน้ำทะเล ตอนที่เราไปถึงก็ประมาณ 8.45 น. หมอกลงหนาพอควร และได้เห็นว่ามีทั้งคนที่กำลังเตรียมขึ้นเขาและคนที่ลงมาจากยอดแล้ว เราใช้เวลาตรงสถานีที่ห้านี้ประมาณหนึ่งชั่วโมงเพื่อปรับตัวกับระดับอ็อกซิเจนที่บางลง ก็นั่งกินข้าวเช้า ดูของที่ระลึก เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เริ่มเดินขึ้นเขาจริงๆ ประมาณ 9.40 น.

ปล. รูปอาจไม่ชัดปิ๊งเท่าไหร่เพราะถ่ายด้วยมือถืออย่างเดียว และส่วนมากใส่ไว้ในซองกันน้ำตอนถ่ายเพราะฝนตก เดินท่ามกลางหมอกไปยาวๆ



อุด้งเห็ดรวมมิตร ชามนี้ 1,100 เยน ราคาค่อนข้างแพงแต่ก็เป็นเห็ดป่าที่เจ้าของร้านเก็บมาเอง น้ำซุปข้นนิดๆ รสเค็มหน่อยๆ ช่วยเติมพลังได้ดีเลย


พ้นบริเวณร้านขายของไปจะพบป้ายอุทยานภูเขาไฟฟูจิ แล้วก็โต๊ะเก็บค่าบำรุงอุทยานคนละ 1,000 เยน เราจะได้รับของที่ระลึกเป็นเข็มกลัดพร้อมใบประทับตรา หลังเจอเช็กพ้อยต์แรกคือศาลเจ้า ทางเดินก็จะเริ่มเป็นสโลปทะลุป่าขึ้นไปเรื่อยๆ ความจริงทางไม่ได้ชันมาก แต่เราก็ยังต้องคอยชะลอจังหวะหรือหยุดเดินหลายครั้งให้เสียงหัวใจที่เต้นตึ้บๆๆ ช้าลงค่อยเดินต่อ เพราะการเดินเขาที่สูงนี่หัวใจจะทำงานหนักมาก




จากสถานีที่ห้ามาถึงสถานีที่หกซึ่งเป็นจุดพักแรกจะไกลพอสมควร เราจำได้ว่าใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ตอนไปถึงฝนก็เริ่มตกแล้ว ทุกคนที่มาถึงไล่เลี่ยกันเลยต้องรีบงัดชุดกันฝนมาใส่ หลังจากนี้ก็เจอฝนยาวอีกสามสี่ชั่วโมงเลย โชคดีว่าอ่านรีวิวมาก่อนเลยแพ็คของทุกอย่างในกระเป๋าในถุงซิปไว้ ไม่งั้นทุกอย่างในเป้เปียกชุ่มแน่ๆ  


หลังสถานีที่หกต้นไม้สูงๆ จะเริ่มน้อยลง ส่วนมากเป็นพุ่มวัชพืช ทางเดินก็มีทั้งหินและดินทรายภูเขาไฟปนกัน พอถึงจุดที่แยกเส้นทางสำหรับคนเดินขึ้นและลงเราจะไม่สวนกับใครแล้ว มีแต่คนที่เดินขึ้นเหมือนกันซึ่งอาจแซงเราไป หรือเราแซงเขาไป แต่ไม่ต้องกลัวหลงเพราะมีเชือกขึงเป็นแนวไว้ตลอดทาง



ความแปลกของจุดพักแต่ละสถานีบนเส้นสึบาชิริคือการนับเลขที่ซ้ำซ้อน เช่น จากสถานีที่เจ็ด > สถานีที่เจ็ดเดิม > สถานีที่แปด > สถานีที่แปดเดิม คาดว่าสมัยก่อนแต่ละสถานีคงอยู่ไกลกันมาก พอมีการสร้างสถานีเพิ่มก็ไม่อยากนับเลขใหม่ เลยเติมคำว่า Hon ที่แปลว่าดั้งเดิมให้กับสถานีที่สร้างมาก่อน ไม่งั้นถ้าเรียงเลขใหม่ ยอดฟูจิคงกลายเป็นสถานีที่สิบสองแทนที่จะเป็นสถานีที่สิบ

ตอนเราไปถึงสถานีที่เจ็ด (ความสูง 3,000 เมตร) ฝนเริ่มซาจนเหลือแค่ละอองฝอยๆ เราตัดสินใจนั่งพักกินข้าวเพราะเดินมา 4 ชั่วโมงแล้ว แต่ว่าไม่ได้อุดหนุนอาหารของที่นี่ เพราะอ่านรีวิวมาว่าอาหารบนฟูจิมีแค่ไม่กี่เมนู เช่นแกงกะหรี่ อุด้ง ราเมง ซึ่งให้ปริมาณน้อย แพงและไม่อร่อย เราก็เลยเตรียมการมาก่อนด้วยการซื้อเสบียงสิ่งที่อยากกินจากโตเกียวสำหรับทุกมื้อ เช่นสลัด แซนด์วิชเนื้อย่าง ขนมปังไส้ครีมถั่วแดง ข้าวปั้น แล้วก็ของขบเคี้ยวจุ๊กจิ๊กรวมถึงน้ำอีก 2.5 ลิตรที่กรอกใส่เป้น้ำไว้ คือหลังใช้แรงมาเหนื่อยๆ ก็ขอกินอะไรดีๆ เป็นรางวัลให้ตัวเองหน่อยเถอะ อมยิ้ม22


นั่งกินมื้อกลางวันไป ดูวิวหมอกไปท่ามกลางละอองฝนนี่ได้ฟีลชวนฝันจริงๆ




หลังกินมื้อกลางวันเสร็จ เรายัดขยะลงถุงพลาสติกที่เตรียมมาแล้วออกเดินต่อ บ้านพักที่เราจองไว้ชื่อมิฮาราชิคัง อยู่สถานีที่เจ็ดเดิมซึ่งก็คือสถานีถัดไปที่ความสูง 3,200 เมตร ใช้เวลาเกือบชั่วโมงเพราะไม่ต้องรีบแล้ว ตอนใกล้ๆ จะถึงก็ได้พบสิ่งที่รอคอยมานานตั้งแต่ออกจากโตเกียว คือแดด!! เย่ แดดออกแล้ว!!


ก้มดูนาฬิกาเห็นว่าบ่ายสามครึ่ง เราเดินเข้าบ้านพักไปเช็กอินกับสตาฟและจ่ายเงิน (เราเลือกนอนอย่างเดียวไม่เอาอาหาร แต่แค่นี้ก็ 6,200 เยน อมยิ้ม24) ทางสตาฟบอกว่ายังเตรียมที่นอนไม่เสร็จ ก็เลยออกมานั่งรอที่แคร่ด้านนอกแล้วอาศัยแดดที่กำลังเปรี้ยงได้ใจ ถอดเสื้อกันฝน ผ้าคลุมกระเป๋า รองเท้าและอื่นๆ ที่พอจะถอดได้ออกมาตากแดด ตอนนั้นใครจับจองพื้นที่ว่างตรงไหนได้ก็คลี่ตากกันใหญ่





แทบทุกเว็บที่เคยหาข้อมูลมา เส้นสึบาชิริจะถูกจัดความนิยมเป็นอันดับสามจากทั้งหมดสี่เส้น ซึ่งต้องยอมรับว่าตลอดทางนี้เราได้ยินภาษาต่างชาติน้อยมาก ภาษาไทยนี่ไม่ได้ยินเลย ที่เห็นหน้าแล้วนึกว่าคนไทยก็เป็นฟิลิปปินส์หรือเวียดนาม ฝรั่ง 2-3 คน(มากับคนญี่ปุ่น) จีน 3-4 คน ที่เหลือคือญี่ปุ่นล้วนๆ ที่อเมซิ่งอีกอย่างคือเจอคุณแม่พาลูกที่ยังเด็กๆ 8-10 ขวบมาเดินขึ้นฟูจิกันหลายบ้านเลย อารมณ์เหมือนปล่อยพ่อเฝ้าบ้านไป เดี๋ยวแม่พาเด็กๆ เที่ยวเอง เก๋มาก ถ้าจับพลัดจับผลูได้มีลูกจะพาไปเดินเขามั่ง เค้าล้อเล่น


ระหว่างนั่งปิ้งให้ตัวและเสื้อผ้าแห้งก็ชมบรรยากาศรอบตัวไปด้วย ทะเลเมฆหลังฝนตกดูนุ่มฟูมากๆ





สิ่งที่ชอบที่สุดของการเป็นแขกของบ้านพักก็คือสิทธิ์ใช้ห้องน้ำฟรี ไม่ต้องจ่ายสองร้อยเยนทุกครั้งที่อยากเข้า แถมบ้านพักแต่ละหลังของที่นี่จะคิดค่าใช้ห้องน้ำไม่เท่ากัน ขั้นต่ำคือ 200 เยน บางที่ 300 อย่างของสถานีก่อนหน้าที่เราแวะกินข้าว เห็นป้ายว่าค่าใช้ห้องน้ำ 500 เยนแล้วดีใจเลยที่ตอนนั้นไม่ปวดฉี่ o_O



เห็นแดดแล้วรู้สึกดีแม้จะร้อน เพราะเสื้อผ้าจะได้แห้ง (แต่ในรูปนี้เสื้อผ้าของใครก็ไม่รู้)



มาดูที่นอนกันบ้าง บ้านพักแต่ละหลังบนฟูจิจะรับแขกได้ไม่เท่ากัน ที่มิฮาราชิคังนี่รับได้ 120 คน มีบ้านหลังใหญ่กับหลังเล็ก เห็นว่าเขาใช้วิธีแยกแขกโดยถามว่าใครจะตื่นกลางดึกเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอด กับใครจะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นหน้าบ้านพัก ส่วนที่นอนก็เป็นถุงนอนเรียงกันแบบนี้ ในบ้านหลังใหญ่จะมีชั้นล่างกับชั้นบนสองแถว ไม่แยกชายหญิง ของเราโชคดีมากที่สตาฟจัดให้นอนชิดฝาผนังด้านในชั้นล่าง เพราะเราชอบตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ถ้าได้นอนชั้นสองแถมกลางคนอื่นด้วยคงเกรงใจแย่


อากาศช่วงเย็นค่อนข้างหนาว ประมาณสิบปลายๆ-ยี่สิบองศาต้นๆ ประมาณห้าโมงบางคนก็เริ่มเข้าถุงนอน ส่วนคนที่จองแพคเกจแบบมีอาหารด้วยก็ไปนั่งกินที่ห้องกินข้าว มีบางพวกที่ยังคุยกันจุ๊กจิ๊กหรือครอบครัวที่เด็กๆ ส่งเสียงดังอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความเหนื่อย ยังไม่ทันหกโมงเราก็ผล็อยหลับแล้ว แต่ประมาณตีหนึ่งก็รู้สึกตัวตื่นเพราะร้อนมากจนเหงื่อแตก ถึงขั้นต้องลุกมาถีบถุงนอน ถอดถุงเท้ากับเสื้อฟลีซออก เหลือแค่เสื้อกางเกงเบสเลเยอร์ถึงนอนต่อได้ ไม่รู้เพราะคนนอนเบียดกันเยอะและประตูหน้าต่างถูกปิดหมดหรือไงถึงได้ร้อนขนาดนั้น




เดี๋ยวมาต่อนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่