เริ่มแรกเราขอแนะนำตัวก่อน พอดีเราได้มีโอกาสมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น 1 ปี จึงทำให้ได้มารู้จักกับพวกพี่ๆที่เป็น DMO ให้แก่เมือง Kyoto และ Tango ถือเป็นความโชคดีของเรามากๆที่ได้รับเชิญมาร่วมทริปครั้งนี้ โดยต้องขอขอบคุณ Kiminojapan ที่ได้จัดทริปท่องเที่ยว Amanohashidate และ Tango ทำให้เราได้รู้จักกับสถานที่แห่งนี้ เพราะตั้งแต่อยู่มาส่วนใหญ่เรามักเคยไปแต่สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในเกียวโต เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักที่เที่ยวแห่งนี้เราตัดสินใจเขียนรีวิวค่า ไปติดตามชมกันเลยค่า
สำหรับใครที่กำลังวางแผนมาเที่ยวในเกียวโต คงจะต้องผ่านตากับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง วัดน้ำใส (kiyomizudera) วัดทอง (kinkakuji) หรือ ป่าไผ่ (Arashiyama) ซึ่งแน่นอนว่าความสวยงามของสถานที่เหล่านี้ก็แลกมาด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เยอะเช่นกัน แต่สำหรับใครที่ต้องการความแปลกใหม่และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไม่แน่นจนอึดอัดเกินไป วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ unseen ทางตอนเหนือของเกียวโตก็คือ Amanohashidate-Ine-Tango ซึ่งบอกได้เลยว่าควรรีบไปโดนมาก! เพราะนอกจากวิวทิวทัศน์อันสวยงามที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสาม Landscapeที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น อย่าง Amanohashidate ที่ได้เห็นจนทำให้เราลืมไม่ลง การได้ไปเดินชมหมู่บ้านชาวประมง Ine และการเก็บพีชสดๆจากสวนที่ Tango ก็เป็นประสบการณ์ที่เราประทับใจมากทีเดียว ว่าแล้วเราไปดูรีวิวกันดีกว่า
การเดินทาง
การเดินทางไปตอนเหนือของเกียวโต สามารถเดินทางได้ 2 แบบคือ โดยรถไฟ JR หรือ โดยรถบัส สำหรับทริปนี้เราเลือกใช้รถไฟ JR เพราะเวลาที่ใช้ในการเดินทางจากสถานีเกียวโต ถึงสถานี Amanohashidate กินเวลาเพียงแค่เวลา ประมาณ 2 ชม. ซึ่งถือว่าประหยัดเวลากว่าการนั่งรถบัส สำหรับนักท่องเที่ยวแนะนำว่า การซื้อบัตร JR KANSAI WIDE จะช่วยประหยัดค่าเดินทางไปเยอะมาก โดยถ้าหากสนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่
http://www.westjr.co.jp/global/en/ticket/pass/kansai_wide/
ตารางการเดินทาง
Day 1
สถานี Kyoto (JR Line)
ทุกคนนัดเจอกันที่ Kyoto Station เวลา 8:00 โมง จากนั้นนั่งรถไฟสาย Maizuru no.1 ไปลงที่ Nishi-Maizuru station ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที (ค่าเดินทาง: 3,350 เยน/ 1,005 บาท)
สถานี Nishi-Maizuru
เราเลือกลงที่สถานี Nishi-Maizuru เพื่อที่จะเปลี่ยนไปนั่งรถไฟสาย Akamatsu ไปลงที่สถานี Amanohashidate อีกที ใช้เวลาในการเดินทาง 4o นาที ซึ่งความ exclusive ของรถไฟสายนี้คือ บรรยากาศภายในตัวรถไฟที่ premium มาก ให้บรรยากาศการยกคาเฟ่มาไว้ในขบวนรถไฟโบราณ มีเคาน์เตอร์คาเฟ่ที่สามารถซื้อขนมและเครื่องดื่มมารับประทานระหว่างเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์เรียบทะเล นอกจากนี้ผู้โดยสารทุกคนจะได้รับกาแฟฟรีคนละ 1 แก้ว โดยรวมทำให้ 40 นาที ที่ใช้ในการเดินทางผ่านไปอย่างรวดเร็ว (ค่าเดินทาง: 540 เยน/ 162 บาท)
สำหรับการนั่งรถไฟสาย Akamatsu เราให้คะแนน 8/ 10 ขอหัก 2 คะแนนเพราะ ไต้ฝุ่นที่เกิดก่อนหน้านี้ ทำให้เราอดนั่งข้ามสะพานที่เห็นวิวทะเลในส่วนที่เราตั้งตารอที่สุด
สถานี Amanohashidate
หลังจากมาถึงสถานี Amanohashidate เราก็ได้เดินเล่นในตัวเมืองแถวนั้น และแวะรับประทานอาหารกลางวันเป็นโซบะเย็น และโมจิถั่วแดงของขึ้นชื่อของที่นี่ ที่ชาวบ้านเชื่อว่าหากได้กินแล้วจะทำให้สมองดี เพราะใช้ถั่วแดงที่ปลูกในศาลเจ้า Chion-Ji หลังจากอิ่มท้องพร้อมเดินทางต่อแล้ว เราก็เดินไปยังตัวเกาะ Amanohashidate ซึ่งเป็นเกาะสันทรายเชื่อมสองฝั่งเข้าด้วยกัน แน่นอนว่าหน้าร้อนแบบนี้ คนญี่ปุ่นก็พากันมาพักผ่อนเล่นน้ำในบริเวณเกาะ ให้บรรยากาศครื้นเครง สนุกสนานเลยทีเดียว ทีเด็ดระหว่างทางที่เรารู้สึกว่าโชคดีที่ได้ไปเห็นกับตาคือ การหมุนแบบ 90 องศาของ สะพานไคเซน ( Kaisenkyou ) ซึ่งถูกสร้างเพื่อเชื่อมระหว่างเกาะและตัวเมือง ส่วนสาเหตุที่สะพานถูกออกแบบมาให้หมุนได้ก็ เพื่อที่จะให้เรือที่มีขนาดใหญ่สามารถเคลื่อนที่ไปได้
( นี้คือสะพานไคเซนบอกเลยว่าโชคดีมากที่ได้เห็นช๊อตกำลังหมุนพอดีเลย )
สำหรับมื้อกลางวันและสะพานเราให้ 10 / 10 ไปเลยเพราะ เทมปูระที่เสิร์ฟมาร้อนๆ ก็สดสมเป็นเมืองทะเล และโมจิที่มาด้วยกันก็ไม่หวานจนเกินไป เคี้ยวง่ายไม่ติดฟัน และส่วนของสะพานเราประทับใจในความเป็นระเบียบของการจัดการระบบทางเท้าของญี่ปุ่นที่แม้ว่าจะมีคนสัญจรไปมาตลอดเวลา แต่พอเรือใหญ่มาปุ๊ป เจ้าหน้าที่ก็สามารถจัดการให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้ความเป็นระเบียบเรียบร้อย 10 10 10 ไปเลยจ้า
สำหรับน้ำทะเล ด้วยความที่เราไม่ได้คิดว่าจะมาเล่นน้ำทะเล และ ประกอบกับความเป็นหน้าร้อน อยากจะเม้าท์ตรงนี้เลยว่าแดดญี่ปุ่นนี่ก็สูสีกับแดดไทยมากนะคะ เรียกได้ว่าร้อนจนต้องดมยาดม ส่วนน้ำทะเลที่นั่นก็ยังสวย ใส ไม่เท่าทะเลใต้ไทย (แต่ไม่ได้สกปรกนะเธอ อย่าเข้าใจผิด) ส่วนตัวเราเลยขอหัก 3 คะแนนจากเรื่องความใสของน้ำทะเล และก็ความร้อนของชายหาดค่ะ
Chion-ji
จุดหมายต่อไปก่อนที่จะไป Amanohashidate view land เพื่อดูภาพมุมสูงของเกาะ Amanohashidate ที่เป็นจุดพีค เราคนไทยใจงามก็ขอเข้าวัดกันสักหน่อย ซึ่งวัดนี้ก็คือวัด Chion-Ji ที่ร้านอาหารกลางวันเขาบอกว่าได้ถั่วแดงมาทำไส้โมจิ ก็คือวัดนี้นี่เอง โดยวัดนี้มีชื่อเสียงท่ามกลางคนญี่ปุ่นในเรื่องการมาขอพรเรื่องการเรียน แน่นอนค่ะว่าเราก็ไม่มีพลาด อ่านหนังสืออย่างเดียวคงไม่พอ ขอพึ่งใบบุญให้สบายใจซะหน่อย โดยลักษณะเด่นของวัดนี้ คือ ที่บริเวณต้นสนรอบๆวัดจะถูกแขวนด้วย เครื่องรางรูปพัดขนาดเล็ก (Omikuji) เมื่อขอพรแล้วนำเครื่องรางไปแขวนที่ต้นสน มีความเชื่อว่าพรที่ขอจะเป็นจริง
สำหรับวัดนี้ หากใครมีเวลาเหลือก็แวะสักการะบูชาเทพเจ้าขอพรได้ค่ะ แต่ตัววัดไม่ใหญ่มาก รวมไปถึง Omikuji ที่มีชื่อเสียงก็มีเพียงเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่น อาจจะทำให้ไม่อินเท่าที่ควร ขอหักคะแนนเรื่องความสวยงามและเรื่องภาษา 1.5 คะแนน ให้ 8.5/10 ค่ะ
(ชอบOmikuji ของวัดนี้ ส่วนตัวเอากลับมาด้วย เพราะว่าน่ารัก อยากเก็บเอาไว้ 55555)
(HIGHLIGHT) Amanohashidate view land
และแล้วเราก็มาถึง Amanohashidate view land ค่ะ ซึ่งถือว่าไฮไลต์ของทริปค่ะ ถ้าพลาดจะถือว่ายังไม่ได้มาไม่ถึง Amohashidate โดยออกจากวัด chion-ji เดินมาไม่ไกลมาก ประมาณสัก 10 นาที ก็จะเจอจุดขึ้นไปที่ view land โดยจะมีกระเช้าให้เลือกนั่ง 2 แบบ คือแบบเดี่ยว หรือ แบบเคเบิ้ลคาร์ขึ้นเป็นกลุ่ม โดยทางเราสะดวกนั่งแบบเดี่ยวค่ะ พอขึ้นไปถึงข้างบนก็จะเห็นวิวทะเลที่ถูกขั้นกลางโดยเกาะ Amanohashidate ซึ่งอยู่ตรงกลาง แน่นอนค่ะว่าขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่น เขาไม่ได้มาเล่นๆ เขาต้องมีกิมมิค โดยเข้าบอกว่าหากมองลอดใต้หว่างขาแล้ว วิวที่ได้เห็นจะสวยงามขึ้น ก็เกร๋ๆกันไป ใครอยากได้รูปไปอัพโปรไฟล์ใหม่ ไม่ควรพลาดค่ะ นอกจากจุดชมวิวแล้ว ยังมีสวนสนุกเล็กๆ ส่วนตัวเราขอแนะนำให้เล่น cycle car ค่ะ ลักษณะเด่นของตัวเครื่องเล่นนี้คือ การปั่นจักรยานที่ถูกยกระดับเหนือพื้นดินไปตามรางเพื่อเพลิดเพลินกับวิวแบบ 360 องศา โดยเราเป็นคนบังคับจักรยานเอง เช่น ถ้าอยากหยุดชมวิวหรืออยากถ่ายรูปจุดไหน แค่เบรก สำหรับใครที่มากับคนรู้ใจ บอกเลยค่ะว่าโรแมนติกมากๆ ปั่นจักรยานลอยฟ้าพร้อมกับชมวิวหาดทรายขาว ท้องทะเลสีฟ้าคราม ต้นสนเขียว ประทับใจไม่รู้ลืมค่ะ
(อย่าลืมโพสท่าแบบนี้นะคะ บอกเลยได้รูปใบแบบฉบับไม่เหมือนใครแน่นอน)
(วิวคุณภาพหลักล้าน บอกเลยค่าต้องไปโดน!)
ไม่ต้องถามถึงคะแนน บอกเลยว่าพีคขนาดนี้แล้ว 9.5 / 10 ไปเลยค่ะ หลายคนคงร้องอ้าว! เราขอหัก 0.5 เพราะไม่ได้ปั่นกับแฟน มันก็จะเหงาๆนิดนึงนะคะ 5555555555TT55555555555555
สำหรับใครที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม :
http://www.viewland.jp/en/eigyou/ //
http://www.viewland.jp/en/shisetsu/
creadit: photo by Facebook.com/daadsong.foto (ตากล้องขี้อาย ไม่ชอบมาถ่ายร่วมเฟรมด้วย)
**ไว้เดี๋ยวมาต่อนะคะ ไปนอนก่อน **
Day 1 ยังไม่จบนะคะ
อยู่ตรงคอมเม้นด้านล่างของกระทู้นี้
ส่วน
Day 2 ถ้าใครที่อยากรู้ว่าพวกเราจะไปที่ไหน ไปทำอะไร ติดตามLinkนี้ได้เลยค่ะ :
https://ppantip.com/topic/38024575
[SR] บันทึกลับฉบับเกียวโต: รีวิวหนึ่งในสาม Landscape ที่สวยที่สุดในแดนอาทิตย์อุทัย (Amanohashidate-Ine-Tango)
สำหรับใครที่กำลังวางแผนมาเที่ยวในเกียวโต คงจะต้องผ่านตากับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง วัดน้ำใส (kiyomizudera) วัดทอง (kinkakuji) หรือ ป่าไผ่ (Arashiyama) ซึ่งแน่นอนว่าความสวยงามของสถานที่เหล่านี้ก็แลกมาด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เยอะเช่นกัน แต่สำหรับใครที่ต้องการความแปลกใหม่และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไม่แน่นจนอึดอัดเกินไป วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ unseen ทางตอนเหนือของเกียวโตก็คือ Amanohashidate-Ine-Tango ซึ่งบอกได้เลยว่าควรรีบไปโดนมาก! เพราะนอกจากวิวทิวทัศน์อันสวยงามที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสาม Landscapeที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น อย่าง Amanohashidate ที่ได้เห็นจนทำให้เราลืมไม่ลง การได้ไปเดินชมหมู่บ้านชาวประมง Ine และการเก็บพีชสดๆจากสวนที่ Tango ก็เป็นประสบการณ์ที่เราประทับใจมากทีเดียว ว่าแล้วเราไปดูรีวิวกันดีกว่า
การเดินทาง
การเดินทางไปตอนเหนือของเกียวโต สามารถเดินทางได้ 2 แบบคือ โดยรถไฟ JR หรือ โดยรถบัส สำหรับทริปนี้เราเลือกใช้รถไฟ JR เพราะเวลาที่ใช้ในการเดินทางจากสถานีเกียวโต ถึงสถานี Amanohashidate กินเวลาเพียงแค่เวลา ประมาณ 2 ชม. ซึ่งถือว่าประหยัดเวลากว่าการนั่งรถบัส สำหรับนักท่องเที่ยวแนะนำว่า การซื้อบัตร JR KANSAI WIDE จะช่วยประหยัดค่าเดินทางไปเยอะมาก โดยถ้าหากสนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ http://www.westjr.co.jp/global/en/ticket/pass/kansai_wide/
ตารางการเดินทาง
Day 1
สถานี Kyoto (JR Line)
ทุกคนนัดเจอกันที่ Kyoto Station เวลา 8:00 โมง จากนั้นนั่งรถไฟสาย Maizuru no.1 ไปลงที่ Nishi-Maizuru station ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที (ค่าเดินทาง: 3,350 เยน/ 1,005 บาท)
สถานี Nishi-Maizuru
เราเลือกลงที่สถานี Nishi-Maizuru เพื่อที่จะเปลี่ยนไปนั่งรถไฟสาย Akamatsu ไปลงที่สถานี Amanohashidate อีกที ใช้เวลาในการเดินทาง 4o นาที ซึ่งความ exclusive ของรถไฟสายนี้คือ บรรยากาศภายในตัวรถไฟที่ premium มาก ให้บรรยากาศการยกคาเฟ่มาไว้ในขบวนรถไฟโบราณ มีเคาน์เตอร์คาเฟ่ที่สามารถซื้อขนมและเครื่องดื่มมารับประทานระหว่างเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์เรียบทะเล นอกจากนี้ผู้โดยสารทุกคนจะได้รับกาแฟฟรีคนละ 1 แก้ว โดยรวมทำให้ 40 นาที ที่ใช้ในการเดินทางผ่านไปอย่างรวดเร็ว (ค่าเดินทาง: 540 เยน/ 162 บาท)
สำหรับการนั่งรถไฟสาย Akamatsu เราให้คะแนน 8/ 10 ขอหัก 2 คะแนนเพราะ ไต้ฝุ่นที่เกิดก่อนหน้านี้ ทำให้เราอดนั่งข้ามสะพานที่เห็นวิวทะเลในส่วนที่เราตั้งตารอที่สุด
สถานี Amanohashidate
หลังจากมาถึงสถานี Amanohashidate เราก็ได้เดินเล่นในตัวเมืองแถวนั้น และแวะรับประทานอาหารกลางวันเป็นโซบะเย็น และโมจิถั่วแดงของขึ้นชื่อของที่นี่ ที่ชาวบ้านเชื่อว่าหากได้กินแล้วจะทำให้สมองดี เพราะใช้ถั่วแดงที่ปลูกในศาลเจ้า Chion-Ji หลังจากอิ่มท้องพร้อมเดินทางต่อแล้ว เราก็เดินไปยังตัวเกาะ Amanohashidate ซึ่งเป็นเกาะสันทรายเชื่อมสองฝั่งเข้าด้วยกัน แน่นอนว่าหน้าร้อนแบบนี้ คนญี่ปุ่นก็พากันมาพักผ่อนเล่นน้ำในบริเวณเกาะ ให้บรรยากาศครื้นเครง สนุกสนานเลยทีเดียว ทีเด็ดระหว่างทางที่เรารู้สึกว่าโชคดีที่ได้ไปเห็นกับตาคือ การหมุนแบบ 90 องศาของ สะพานไคเซน ( Kaisenkyou ) ซึ่งถูกสร้างเพื่อเชื่อมระหว่างเกาะและตัวเมือง ส่วนสาเหตุที่สะพานถูกออกแบบมาให้หมุนได้ก็ เพื่อที่จะให้เรือที่มีขนาดใหญ่สามารถเคลื่อนที่ไปได้
( นี้คือสะพานไคเซนบอกเลยว่าโชคดีมากที่ได้เห็นช๊อตกำลังหมุนพอดีเลย )
สำหรับมื้อกลางวันและสะพานเราให้ 10 / 10 ไปเลยเพราะ เทมปูระที่เสิร์ฟมาร้อนๆ ก็สดสมเป็นเมืองทะเล และโมจิที่มาด้วยกันก็ไม่หวานจนเกินไป เคี้ยวง่ายไม่ติดฟัน และส่วนของสะพานเราประทับใจในความเป็นระเบียบของการจัดการระบบทางเท้าของญี่ปุ่นที่แม้ว่าจะมีคนสัญจรไปมาตลอดเวลา แต่พอเรือใหญ่มาปุ๊ป เจ้าหน้าที่ก็สามารถจัดการให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้ความเป็นระเบียบเรียบร้อย 10 10 10 ไปเลยจ้า
สำหรับน้ำทะเล ด้วยความที่เราไม่ได้คิดว่าจะมาเล่นน้ำทะเล และ ประกอบกับความเป็นหน้าร้อน อยากจะเม้าท์ตรงนี้เลยว่าแดดญี่ปุ่นนี่ก็สูสีกับแดดไทยมากนะคะ เรียกได้ว่าร้อนจนต้องดมยาดม ส่วนน้ำทะเลที่นั่นก็ยังสวย ใส ไม่เท่าทะเลใต้ไทย (แต่ไม่ได้สกปรกนะเธอ อย่าเข้าใจผิด) ส่วนตัวเราเลยขอหัก 3 คะแนนจากเรื่องความใสของน้ำทะเล และก็ความร้อนของชายหาดค่ะ
Chion-ji
จุดหมายต่อไปก่อนที่จะไป Amanohashidate view land เพื่อดูภาพมุมสูงของเกาะ Amanohashidate ที่เป็นจุดพีค เราคนไทยใจงามก็ขอเข้าวัดกันสักหน่อย ซึ่งวัดนี้ก็คือวัด Chion-Ji ที่ร้านอาหารกลางวันเขาบอกว่าได้ถั่วแดงมาทำไส้โมจิ ก็คือวัดนี้นี่เอง โดยวัดนี้มีชื่อเสียงท่ามกลางคนญี่ปุ่นในเรื่องการมาขอพรเรื่องการเรียน แน่นอนค่ะว่าเราก็ไม่มีพลาด อ่านหนังสืออย่างเดียวคงไม่พอ ขอพึ่งใบบุญให้สบายใจซะหน่อย โดยลักษณะเด่นของวัดนี้ คือ ที่บริเวณต้นสนรอบๆวัดจะถูกแขวนด้วย เครื่องรางรูปพัดขนาดเล็ก (Omikuji) เมื่อขอพรแล้วนำเครื่องรางไปแขวนที่ต้นสน มีความเชื่อว่าพรที่ขอจะเป็นจริง
สำหรับวัดนี้ หากใครมีเวลาเหลือก็แวะสักการะบูชาเทพเจ้าขอพรได้ค่ะ แต่ตัววัดไม่ใหญ่มาก รวมไปถึง Omikuji ที่มีชื่อเสียงก็มีเพียงเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่น อาจจะทำให้ไม่อินเท่าที่ควร ขอหักคะแนนเรื่องความสวยงามและเรื่องภาษา 1.5 คะแนน ให้ 8.5/10 ค่ะ
(ชอบOmikuji ของวัดนี้ ส่วนตัวเอากลับมาด้วย เพราะว่าน่ารัก อยากเก็บเอาไว้ 55555)
(HIGHLIGHT) Amanohashidate view land
และแล้วเราก็มาถึง Amanohashidate view land ค่ะ ซึ่งถือว่าไฮไลต์ของทริปค่ะ ถ้าพลาดจะถือว่ายังไม่ได้มาไม่ถึง Amohashidate โดยออกจากวัด chion-ji เดินมาไม่ไกลมาก ประมาณสัก 10 นาที ก็จะเจอจุดขึ้นไปที่ view land โดยจะมีกระเช้าให้เลือกนั่ง 2 แบบ คือแบบเดี่ยว หรือ แบบเคเบิ้ลคาร์ขึ้นเป็นกลุ่ม โดยทางเราสะดวกนั่งแบบเดี่ยวค่ะ พอขึ้นไปถึงข้างบนก็จะเห็นวิวทะเลที่ถูกขั้นกลางโดยเกาะ Amanohashidate ซึ่งอยู่ตรงกลาง แน่นอนค่ะว่าขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่น เขาไม่ได้มาเล่นๆ เขาต้องมีกิมมิค โดยเข้าบอกว่าหากมองลอดใต้หว่างขาแล้ว วิวที่ได้เห็นจะสวยงามขึ้น ก็เกร๋ๆกันไป ใครอยากได้รูปไปอัพโปรไฟล์ใหม่ ไม่ควรพลาดค่ะ นอกจากจุดชมวิวแล้ว ยังมีสวนสนุกเล็กๆ ส่วนตัวเราขอแนะนำให้เล่น cycle car ค่ะ ลักษณะเด่นของตัวเครื่องเล่นนี้คือ การปั่นจักรยานที่ถูกยกระดับเหนือพื้นดินไปตามรางเพื่อเพลิดเพลินกับวิวแบบ 360 องศา โดยเราเป็นคนบังคับจักรยานเอง เช่น ถ้าอยากหยุดชมวิวหรืออยากถ่ายรูปจุดไหน แค่เบรก สำหรับใครที่มากับคนรู้ใจ บอกเลยค่ะว่าโรแมนติกมากๆ ปั่นจักรยานลอยฟ้าพร้อมกับชมวิวหาดทรายขาว ท้องทะเลสีฟ้าคราม ต้นสนเขียว ประทับใจไม่รู้ลืมค่ะ
(อย่าลืมโพสท่าแบบนี้นะคะ บอกเลยได้รูปใบแบบฉบับไม่เหมือนใครแน่นอน)
(วิวคุณภาพหลักล้าน บอกเลยค่าต้องไปโดน!)
ไม่ต้องถามถึงคะแนน บอกเลยว่าพีคขนาดนี้แล้ว 9.5 / 10 ไปเลยค่ะ หลายคนคงร้องอ้าว! เราขอหัก 0.5 เพราะไม่ได้ปั่นกับแฟน มันก็จะเหงาๆนิดนึงนะคะ 5555555555TT55555555555555
สำหรับใครที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม :http://www.viewland.jp/en/eigyou/ // http://www.viewland.jp/en/shisetsu/
creadit: photo by Facebook.com/daadsong.foto (ตากล้องขี้อาย ไม่ชอบมาถ่ายร่วมเฟรมด้วย)
**ไว้เดี๋ยวมาต่อนะคะ ไปนอนก่อน **
Day 1 ยังไม่จบนะคะ อยู่ตรงคอมเม้นด้านล่างของกระทู้นี้
ส่วน Day 2 ถ้าใครที่อยากรู้ว่าพวกเราจะไปที่ไหน ไปทำอะไร ติดตามLinkนี้ได้เลยค่ะ : https://ppantip.com/topic/38024575
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม