หนังแอ็คชั่นทริลเลอร์เรื่องใหม่ล่าสุดของ ผู้กำกับสายแอ็คชั่น Peter Berg จาก The Rundown (2003), The Kingdom (2007), Hancock (2008), Battleship (2012) และผลงานกับนักแสดงคู่บุญ Mark Wahlberg สามผลงาน Lone Survivor (2013), Deepwater Horizon (2016), Patriots Day (2017) และนี่เป็นผลงานที่สี่ของทั้งคู่ Mile 22 (2018)
เรื่องราวของ หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร overwatch หน่วยทหารลับของ CIA ที่มีประสิทธิภาพสูง นำทีมโดย James Silva พี่มาร์คนั่นเอง ทีมนี้ได้ประจำการที่ประเทศอินโดคาร์ (ประเทศสมมุติ) แล้วจู่ๆพี่ ลี นัวร์ (Iko Uwais จาก The Raid 1-2) อดีตตำรวจท้องถิ่นของประเทศอินโดคาร์ได้มามอบตัวพร้อมฮาร์ดดิสก์ ที่มีข้อมูลลับบอกที่ตั้งของระเบิดหกที่ ที่ทีมโอเวอร์วอล์ซกำลังหัวปั่นในการตามหาเจ้าระเบิดนี้ ลี ไม่ยอมบอกรหัสเปิดฮาร์กดิสก์พร้อมตั้งรหัสเมื่อพยายามเปิดมันจะทำลายข้อมูลในฮาร์กดิสก์ โดยลีต่อรองให้เขาลี้ภัยไปอยู่ในอเมริกา พอถึงอเมริกาเขาจะมอบรหัสเปิดให้ โดยทีมของพี่มาร์คก็จัดเตรียมอาวุธยุทโธปากรณ์ และพรรคพวก พา ลี ไปที่สนามบิน เป็นระยะทาง 22 ไมล์ ระหว่างการเดินทางในขบวนรถลำเลียงได้มีกลุ่มรัฐบาลอินโดคาร์ส่งเหล่านักฆ่ามาชิงตัว ลี นัวร์ พวกเขาจะรอดหรือไม่...และทันขึ้นเครื่องหรือไม่ ติดตามในโรงภาพยนตร์
โดยส่วนตัวก่อนดูเรื่องนี้ ผมคาดหวังกับผลงานชิ้นนี้ เพราะ สามเรื่องที่ผ่านมาของทั้งคู่ทำได้ดีมาก โดยเฉพาะ Lone Survivor กับ Patriots Day ผมให้ 10/10 และ The Kingdom ที่สนุกใช้ได้ ส่วนผลงานอื่นๆของ Peter Berg ผมเฉยๆนะดูได้ไม่ถึงกับชอบมากมาย พอดูจบ หนังมันตัดต่อภาพงงมากๆ เวียนหัวมากๆ หนังตัดมุมกล้องไวมาก ฉากแอ็คชั่นดูดิบ โหด เลือดเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เหมือนหนังแอ็คชั่นทั่วๆไป หนังพยายามทำฉากแอ็คชั่นและมุมกล้องแบบ หนังตระกูล Jason Bourne, Taken 3, Jack Reacher Never Go Back คือ สามเรื่องนั่นตัดต่อฉากบู๊แบบ Handheld แต่ หนังตระกูลบอร์นทำได้ดีสุด ส่วน Taken 3 กับ Jack Reacher 2 ทำแล้วดูมึนเกินไป แต่ไม่หนักเท่า Mile 22 ส่ายไปส่ายมา ชวนอ้วกมาก
บทหนัง ของพระเอก Mark Wahlberg ดูน่ารำคาญ แกบ่นโวยวายทั้งเรื่อง ส่วนพี่ อิวโก้ คิดว่าจะบู๊มากกว่านี้ ออกมาไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร เหมือนกักไว้ เนื้อเรื่องมีความซับซ้อนนิดหน่อยตอนเฉลยปมท้ายเรื่อง หักมุมนิดๆ แต่พอเดาได้กลางๆเรื่อง ไม่ได้เซอร์ไพร์สอะไรมากมาย
หนังเหมือนเตรียมปูเนื้อเรื่องไปภาคต่อ แต่ถ้าจะทำ ... พอเหอะไม่ก็เปลี่ยนผู้กำกับกับมือเขียนบทเหอะ ไม่ไหวจริงๆ
เรื่องนี้ไม่มี End Credit นะจ๊ะ
โดยรวมหนังพอดูได้เพลินๆ เนื้อหาหนัก เครียด และฉากแอ็คชั่นชวนเวียนหัว 4/10 พอ
รีวิวโดย เจสัน
รีวิวหนัง Mile 22 4/10 พอ หวังไว้มากไป
เรื่องราวของ หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร overwatch หน่วยทหารลับของ CIA ที่มีประสิทธิภาพสูง นำทีมโดย James Silva พี่มาร์คนั่นเอง ทีมนี้ได้ประจำการที่ประเทศอินโดคาร์ (ประเทศสมมุติ) แล้วจู่ๆพี่ ลี นัวร์ (Iko Uwais จาก The Raid 1-2) อดีตตำรวจท้องถิ่นของประเทศอินโดคาร์ได้มามอบตัวพร้อมฮาร์ดดิสก์ ที่มีข้อมูลลับบอกที่ตั้งของระเบิดหกที่ ที่ทีมโอเวอร์วอล์ซกำลังหัวปั่นในการตามหาเจ้าระเบิดนี้ ลี ไม่ยอมบอกรหัสเปิดฮาร์กดิสก์พร้อมตั้งรหัสเมื่อพยายามเปิดมันจะทำลายข้อมูลในฮาร์กดิสก์ โดยลีต่อรองให้เขาลี้ภัยไปอยู่ในอเมริกา พอถึงอเมริกาเขาจะมอบรหัสเปิดให้ โดยทีมของพี่มาร์คก็จัดเตรียมอาวุธยุทโธปากรณ์ และพรรคพวก พา ลี ไปที่สนามบิน เป็นระยะทาง 22 ไมล์ ระหว่างการเดินทางในขบวนรถลำเลียงได้มีกลุ่มรัฐบาลอินโดคาร์ส่งเหล่านักฆ่ามาชิงตัว ลี นัวร์ พวกเขาจะรอดหรือไม่...และทันขึ้นเครื่องหรือไม่ ติดตามในโรงภาพยนตร์
โดยส่วนตัวก่อนดูเรื่องนี้ ผมคาดหวังกับผลงานชิ้นนี้ เพราะ สามเรื่องที่ผ่านมาของทั้งคู่ทำได้ดีมาก โดยเฉพาะ Lone Survivor กับ Patriots Day ผมให้ 10/10 และ The Kingdom ที่สนุกใช้ได้ ส่วนผลงานอื่นๆของ Peter Berg ผมเฉยๆนะดูได้ไม่ถึงกับชอบมากมาย พอดูจบ หนังมันตัดต่อภาพงงมากๆ เวียนหัวมากๆ หนังตัดมุมกล้องไวมาก ฉากแอ็คชั่นดูดิบ โหด เลือดเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เหมือนหนังแอ็คชั่นทั่วๆไป หนังพยายามทำฉากแอ็คชั่นและมุมกล้องแบบ หนังตระกูล Jason Bourne, Taken 3, Jack Reacher Never Go Back คือ สามเรื่องนั่นตัดต่อฉากบู๊แบบ Handheld แต่ หนังตระกูลบอร์นทำได้ดีสุด ส่วน Taken 3 กับ Jack Reacher 2 ทำแล้วดูมึนเกินไป แต่ไม่หนักเท่า Mile 22 ส่ายไปส่ายมา ชวนอ้วกมาก
บทหนัง ของพระเอก Mark Wahlberg ดูน่ารำคาญ แกบ่นโวยวายทั้งเรื่อง ส่วนพี่ อิวโก้ คิดว่าจะบู๊มากกว่านี้ ออกมาไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร เหมือนกักไว้ เนื้อเรื่องมีความซับซ้อนนิดหน่อยตอนเฉลยปมท้ายเรื่อง หักมุมนิดๆ แต่พอเดาได้กลางๆเรื่อง ไม่ได้เซอร์ไพร์สอะไรมากมาย
หนังเหมือนเตรียมปูเนื้อเรื่องไปภาคต่อ แต่ถ้าจะทำ ... พอเหอะไม่ก็เปลี่ยนผู้กำกับกับมือเขียนบทเหอะ ไม่ไหวจริงๆ
เรื่องนี้ไม่มี End Credit นะจ๊ะ
โดยรวมหนังพอดูได้เพลินๆ เนื้อหาหนัก เครียด และฉากแอ็คชั่นชวนเวียนหัว 4/10 พอ
รีวิวโดย เจสัน