มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า... "Don't marry someone you can live with, but do marry someone you cannot live without"

เราอยากจะเล่า เรื่องของเรา อาจจะใช้เป็น บทเรียนให้กับคนอื่น หรือ ให้เราได้ระบาย หรือเผื่อว่าจะมีใครแนะนำ ว่าเราควรทำยังไง หรือไม่ควรทำอะไรเลย

เราแต่งงานมาได้ เกือบ 12 ปีแล้ว แต่ไม่มีลูก สามีของเราเป็นคนดี คือเป็นคนที่มีจิตใจดี ขี้สงสารตามใจคนอื่น ถ้าไม่เคยขัดใจใคร โดยเฉพาะเรา ที่เราแต่งงานกับสามีเราก็คงเป็นเพราะความเป็นคนดีของเขา แต่จริงๆแล้วเราก็รู้มาตั้งแต่แรก ที่คบกับเขา จนถึงวันนี้ เราไม่ได้รู้สึกรักเขา ในแบบ ที่มีความ passion แบบที่เราเคยรู้สึกกับบางคนมาก่อน จนมาถึงวันนี้ ที่ทำให้เราเริ่มมีปัญหากับตัวเอง

ขอเล่าย้อนกลับไป เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ของเรา ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ เราเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้สวยมาก แต่ก็ไม่ขี้เหร่ ความจริงแล้ว อาจจะเรียกว่าสวยได้บ้าง แต่ไม่ใช่แบบที่หนุ่มๆไทยจะชอบ เราโตในประเทศไทยแทบไม่เคยได้ยินใครชมว่าเราสวย แถมยังถูกล้อเลียนบางที ในเรื่องสีผิวและอื่นๆ ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ค่อยมีความมั่นใจ มักจะเงียบๆกับคนที่ไม่คุ้นเคย คุยก็ไม่ค่อยเก่งมาก  อีกอย่างบุคลิกของเรา ก็ออกจากแข็งแข็งไม่ได้อ่อนหวาน ก็เลยคงดูไม่ค่อยมีเสน่ห์อีกต่างหาก แต่เราก็มีคนที่เราเเอบชอบอยู่เรื่อยๆ โดยไม่เคยกล้าบอกหรือทำให้เขารู้เลย ตอนนี้พอเรามองย้อนกลับไป ก็พอจะวิเคราะห์ได้ว่า เราชอบคนแบบไหน คนที่เราแอบชอบ ในตอนสมัยเรียนนั้น มักจะเป็นคนที่เก่ง เรียนเก่ง มีความเป็นผู้นำ เป็นคนอ่อนโยน เอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนอื่น รูปร่างหน้าตาก็จะมีลักษณะบางอย่างไปในทางเดียวกัน แต่ก็ไม่เสมอไป คือหลักๆแล้ว ความรู้สึกพิเศษ ที่จะเกิดเป็นความรักได้สำหรับเรา น่าจะเกิดจากความศรัทธา ความยกย่อง ในตัวผู้ชายที่เรารู้สึกว่าเขาเก่งกว่าเรา โดยเฉพาะในด้านความคิด

จนกระทั่งเราไปเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศ เราถึงเริ่มได้ยินคนต่างชาติ ชมว่าเราสวยน่ารักบ้าง ตอนแรก รู้สึกไม่เชื่อเอาซะเลย แต่ก็ค่อยๆชินมากขึ้น  และก็มีคนพยายามมาคุยด้วยบ้าง แต่ก็ยังคงไม่ได้ทำให้เราเป็นคนมั่นใจมากมายขนาดนั้น จนในที่สุด เราก็มีแฟนคนแรก เป็นคนต่างชาติ ซึ่งจริงๆแล้วคนนี้เราไม่ได้รู้สึก ถูกใจเขาในแง่ชื่นชมศรัทธา จนรู้สึกพิเศษแบบที่เคยรู้สึกกับคนก่อนๆ แต่คงเป็นเพราะความใจอ่อนของเรา รวมทั้ง จริงๆก็อยากจะมีประสบการณ์มีความรักกับเขาบ้าง ก็เลยคบกัน แต่สุดท้ายเขาก็ขอเลิกกับเราด้วยเหตุผลว่าคบแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ ตอนนั้นเราก็เสียใจนะ ร้องห่มร้องไห้ คงเป็นเพราะความเสียดายมากกว่า เพราะไม่นาน ก็หายและไม่ได้คิดถึงเขาอีก

ต่อมาเราได้คบกับคนต่างชาติอีกคนหนึ่ง คนนี้เรารู้สึกพิเศษกับเขามากๆ ไม่รู้เลยว่าทำไม รูปร่างหน้าตาของเขา ไม่ได้เป็นในแบบที่เราเคยชอบเลย นิสัยของเขา ก็ไม่ใช่คนแสนดี มีความ dark side อยู่พอสมควรเลย แต่มันมีบางอย่างในสายตาของเขา ที่ทำให้เรารู้สึก สนใจเขามากๆ (และเขาก็เป็นคนเก่งคนหนึ่ง การันตีได้จากที่ที่เขาเรียน) เราคบกับคนนี้ก็ไม่นาน แต่มันเป็นความรู้สึกพิเศษ เป็นpassion ที่ฝังใจมาก จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่เลิกกันเราร้องไห้หนักมาก เสียใจมากจริงๆ และยังคิดถึงเขาอยู่อีกพักใหญ่ แต่ในวันนี้ก็ไม่ได้คิดถึงอะไรขนาดนั้นแล้ว เรียกว่าลืมได้แล้วนั่นแหล่ะ

ทีนี้ก็มาถึงสามีคนปัจจุบันของเรา ซึ่งเป็นคนไทย เขาเริ่มเข้ามาตอนที่เราคบกับแฟนคนที่ 2 เรารู้จักเขาผ่านทางเพื่อน รู้ว่าเขาเป็นคนดีนิสัยดีสุภาพเรียนเก่ง เรียบร้อย เขามาจีบเราแบบเบาบางมากๆ จนแม้แต่เราเองยังรำคาญบางที ว่าทำไมไม่ทำอะไรให้ชัดเจน ขณะที่เราเลิกกับแฟนคนที่ 2 แล้ว เขาก็ยังไม่ได้รุกจีบแบบชัดๆซักที สุดท้ายเรานี่แหละต้องไปถาม ว่านี่จีบใช่ไหม เขาก็มีท่าทางเขิน เราก็เลยบอกไปว่า เรายังไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น แต่ก็ลองคุยกันไปก่อนก็ได้ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราแมนมาก ฮ่าๆๆ และที่เราตัดสินใจลองคบคบดูกับเขา ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนใหญ่เลยล่ะ คือเราคิดว่า ลองคบกับคนนิสัยดีมากๆดูสักครั้ง อาจจะไม่ต้องเสียใจอีก และก็เป็นไปดังคาด ด้วยเหตุที่เรากับเขา เป็นคน ประเภท compromise มักจะ ไม่ชอบขัดใจคนอื่น เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า ทั้งเราและเขาเป็นคนดี แบบนี้คงคบกันไปจนแต่งงานแน่ๆ และก็เป็นอย่างที่เพื่อนบอกจริงๆ ตลอด 5 ปีที่คบกัน มีหลายครั้งที่เรารำคาญเขา ด้วยเหตุที่ เขาดูไม่เป็นผู้นำ ไม่กล้าตัดสินใจ และบางครั้งรู้สึกเป็นเด็กกว่าเรา จริงๆแล้วอายุเราไล่เลี่ยกัน เขาอ่อนเดือนกว่าเรานิดหน่อย ตลอดเวลาที่คบกัน บอกได้เลยว่า เราไม่เคยรู้สึก วาบหวิว แบบที่ควรเป็นความรู้สึกของคนที่คบกันฉันท์ชู้สาว หรือที่ฝรั่งเรียกว่า "He gives me butterflies in my stomach" เราเคยบอกเขาเหมือนกัน เวลาที่รำคาญบางเรื่องและทะเลาะกันมากๆ เราบอกเขาว่าเราไม่ได้รู้สึกกับเขามากขนาดนั้น และเคยชวนให้เป็นเพื่อนกันดีกว่า แต่เขาก็จะง้อเราทุกครั้ง แล้วสักพักทุกอย่างก็ค่อยๆกลับมาเหมือนเดิม เพราะเราคบกับเขาแล้วก็สบายใจ เหมือนมีเพื่อนที่ดีที่คอยเอาอกเอาใจ เอาใจใส่เราดูแล ในเรื่องทางกาย เช่นถือของให้ ยกของให้ ขับรถให้ แม้แต่ช่วยทำความสะอาดห้องพัก ล้างจาน เดินตามถือของเวลา shopping ซึ่งเรารู้ว่าผู้ชายคนอื่นไม่ทำอะไรแบบนี้กันนัก เราก็รู้ว่าเราโชคดีมาก แต่ในทางกลับกัน เขาก็ไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางความคิดให้เราได้เลย เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้นำอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่ชอบ เพียงแต่เราทำได้ถ้าจำเป็น... หลายครั้งที่เรามีเรื่องกลุ้มใจต้องการคำปรึกษา ต้องการทางออกที่ดีกว่าที่เราจะคิดเองได้ เราก็ไม่เคยหาได้จากเขา สุดท้ายคือต้องปรึกษาเพื่อน รุ่นพี่หรือคนอื่นๆ แต่สิ่งที่เขาให้อีกอย่าง คือความน่ารักสดใสของชีวิต เขาเป็นคนกุ๊กกิ๊กมาก เหมือนเด็กๆ ทำให้เราซึ่งมีบุคลิกแข็งๆ ก็ปรับเปลี่ยนเป็นคนที่สดใสหัวเราะมากขึ้น กุ๊กกิ๊กมากขึ้น (น้องสาวที่โตมากับเราทั้งชีวิตเป็นคนสังเกตเห็นและบอกเรื่องนี้กับเรา) นอกจากนั้น การที่เขา รักเรามากขนาดนี้ เห็นคุณค่าเรา ก็ทำให้เราเป็นคนที่มั่นใจมากขึ้น ประกอบกับการอยู่ต่างประเทศหลายปี สังคมที่นั่น ก็ช่วยให้เรามั่นใจมากขึ้นเช่นกัน เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีปมใดๆอีก โดยรวมแล้ว ณ วันที่เราแต่งงานตอนอายุ 32 เรากลายเป็นผู้หญิงที่ต่างกับสมัยวัยรุ่นมาก คือมีความมั่นใจในตัวเองและรู้สึกว่าเราสวยในแบบของเรา เก่งในแบบของเรา

ดูแล้วเหมือนชีวิตควรจะดีใช่ไหม เราก็คิดว่าอย่างนั้น ตอนที่ตัดสินใจแต่งงาน ก็คิดว่ามันคงจะโอเคทุกอย่างแล้วล่ะ ถึงแม้ความรู้สึกที่มีกับเขามันก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไอ้ที่ว่าคบคบกันไปแล้วจะรักกันเอง ... มันก็รักนะ แต่มันเป็นความรัก แบบเย็นๆ เป็นความผูกพัน เห็นอกเห็นใจกันมากกว่า แต่ไม่เคยมีความรู้สึก ร้อนรุ่มในเชิงพิศวาสอะไรอย่างที่เคยรู้สึกกับแฟนคนที่ 2 หรือแม้แต่ความรู้สึกหวิวหวิวเวลาเจอหรือคุยกับคนที่เราแอบชอบในสมัยวัยรุ่น ก็ไม่เคยเกิดขึ้น ตี้งแต่วันแรกที่เราคบกับเขาเลยจนวันนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่