พระคาถาพ่อราหู
โอม อะสุรินทะราหู, วิชิตตะ พาโล, อะวะมงคล จะ, เอวัง โหนตุ, ศรีชัยยะ มาเรติ, ไมตรี กัลละยาณะมิตตะ, มุฑิตา นะ สะหาโย, ศานติ ศานติ สันติโอม นะมะฮา ๛ (8 จบ)
ลูกขอนอบน้อมคารวะสักการะบูชา พ่อราหู ด้วยจิตศรัทธา โองการจากมหาเทพทั้ง ๓ พ่อพรหม พ่อศิวะ พ่อวิษณุนารายณ์ ประทานพรให้เป็นเทพ ผู้ขจัดเคราะห์ภัย คุณไสยน์ มนต์ดำ อาถรรพ์เวทย์ พลังลบ พลังดำ ให้แก่มวลมนุษย์ ผี และเทวดา และช่วยเหลือให้ปลอดภัย ให้เป็นสิริมงคล ให้เกิดอยู่อย่างสันติ
บัดนี้ ลูกขอตั้งจิตอธิษฐาน เจริญมุฑิตาจิต ปลดทุกข์ บำรุงสุขให้กับชาวโลก ขจัดภัยทั้งหลาย บำรุงสุขทั้งปวง
บัดนี้ ลูกขอน้อมถวายของบูชา (ชื่อของถวาย...) ขอองค์พ่อโปรดเมตตารับ และขอบารมีองค์พ่อฯ โปรดเมตตาประทานพร ขจัดเคราะห์ภัย อันตรายทั้งปวง เป็นสิริมงคล ให้มีโชคลาภวาสนา ยศฐาบรรดาศักดิ์ สมหวังปรารถนา หนุนเสริมดวงชะตา พลิกจากร้ายกลายเป็นดี ค้าขายราบรื่น เหลือกินเหลือใช้ ปลอดโรค-ทุกข์-ภัย มีจิตมั่นคง รักสามัคคีในตน ครอบครัว สังคม และชาวโลก สุขสันติ สุขสันติ สันติสุข โอม๛
หัวใจของการบูชาพระราหู
ท่านพ่อราหูท่านได้รับโองการจากมหาเทพทั้ง ๓ พ่อพรหม พ่อศิวะ พ่อวิษณุนารายณ์ ให้ดูแล ขจัดเคราะห์ภัย ปลดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน
จุดมุ่งหมายในการบูชาพระราหู คือ ให้ท่านคลายความสว่างให้กับชีวิต เพื่อให้เกิดปัญญาแก่ตัวเรา ซึ่งลักษณะของพระราหู คือท่านจะอมพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ครึ่งหนึ่ง และอีกลักษณะหนึ่งท่านกำลังคลายพระอาทิตย์และพระจันทร์ออกมาได้ครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน เป็นปริศนาธรรมสื่อว่า ช่วงหนึ่งหรือห้วงหนึ่งของชีวิตเรา หรือดวงชะตาของเรา ตกชะตาราหู คือ เข้าสู่ความดำ ความมืดมน มองไม่เห็นเส้นทาง มืดแปดด้าน พบปัญหาอุปสรรคต่างๆ มารุมเร้า หาทางออกไม่เจอ ขาดสติปัญญา
ฉะนั้น เราจึงควรบูชาพระราหูเพื่อให้ท่านคลายแสงสว่างให้แก่ชีวิต คลายภาวะ โอกาสต่างๆ ให้กับเรา เพื่อให้เราพบปัญญา พบผู้รู้ นักปราชญ์ กัลยาณมิตร ให้กับเรา ในการชี้แนะแนวทาง สั่งสอน จูง นำ พา ส่งเราไปยังถึงอีกฟากฝั่งหนึ่ง ในการเกิดปัญญา แก้ไขขจัดปัญหาต่างๆ ได้ พบแสงสว่างแห่งปัญญาในชีวิต
หากจะมีคนถามว่า ทำไมพระราหูเป็นสัญลักษณ์ในความไม่ดี แต่ทำไมต้องบูชาท่าน เคารพนับถือท่าน เราควรพิจารณาอย่างนี้ อย่างเช่น ในอดีตประเทศจีน มีสำนักคุ้มกันภัย รับคุ้มกันสิ่งของ ส่งของจากเมืองนี้ไปยังเมืองโน้นได้โดยไม่ถูกโจรปล้นเอา ก็เพราะว่าสำนักคุ้มกันภัยรู้จักไม้อ่อนไม้แข็ง เคารพเจ้าที่เจ้าทาง หากที่แห่งนั้นเป็นเขตอาณาบริเวณของโจร เจ้าสำนักคุ้มกันภัยก็จะไปผูกมิตรไมตรี ผูกน้ำจิตน้ำใจกับโจรไว้ เมื่อเราเดินทางผ่านเขตของโจรกลุ่มนั้น เขารู้ว่าเป็นสำนักคุ้มกันภัยที่เป็นมิตรก็จะปล่อยผ่านไปไม่ปล้นแย่งชิงมา แต่ผิดกับราชสำนัก หรือพ่อค้าทั่วไป ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ ก็มักจะถูกโจรปล้นชิงสินค้าอยู่บ่อยๆ
ฉะนั้น เราไหว้พระราหู เพราะว่าพระราหูท่านรู้จักความชั่วต่างๆ ดี เพราะท่านก็เคยเป็น สัมผัสมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความโลภ โกรธ หลง ท่านรู้และเข้าใจดี แล้วเราบูชา ไหว้ เคารพนับถือท่าน ความชั่วร้ายต่างๆ ก็ย่อมรู้จักพระราหูดีก็ไม่กล้ามาตอแย เพราะจะทำสิ่งใดพระราหูก็จะรู้หมด เช่นเดียวกับเราบูชาพระราหู ถือว่าท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเรา เมื่อสิ่งชั่วร้ายต่างๆ จะมาทำร้ายเรา เห็นว่าเรามีผู้หลักผู้ใหญ่เป็นพระราหู สิ่งชั่วร้ายนั้นก็เกรงกลัวบารมีของพระราหู จากหนักก็ผ่อนเป็นเบา จากเบาก็จะหาย
ประวัติพระราหูจากคัมภีร์
เป็นพี่น้องของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ ทุกคนให้ความเคารพ แต่พระราหูเกิดมาท่อนล่างเป็นงู ที่นี้ถูกต่อว่าอยู่เรื่อยๆ จึงเเตองมารังแกอมพระอาทิตย์ พระจันทร์ แก้แค้นแทนแม่ พูดง่ายๆ แม่ท่านเป็นเมียน้อย ตามตำราเขาแต่ง ท่านก็มีฤทธิ์เดช และต่อมาก็ถูกพระนารายณ์ตัดหาง เพราะว่าดื้อพระนารายณ์บอกให้ปล่อยไม่ยอมปล่อย พระนารายณ์เลยปล่อยจักรไปตัด เหลือแต่หัว
เราไหว้พระราหู ท่านดำ เปรียเสมือนเงา เป็นเหงาของพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระราหูก็เปรียบเสมือนโรคก็มีโลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา อะไรต่างๆ พระราหูจะเป็นคนคอยควบคุม เพราะว่าท่านเคยผ่านโลกิยะจึงยกให้ท่านควบคุมดูแล
พระราหูองค์ดำกับองค์ทอง องค์ทองคือราหูที่กลับใจแล้วเป็นราหูที่ดีแล้ว พูดไปแล้วพระราหูก็เป็นลูกน้องของพระนารายณ์ เพราะตอนนั้นท่านเกเรเลยถูกตัด แล้วท่านก็พูดว่าทำไมต้องถูกท่านทำอย่างนั้น พระนารายณ์ก็บอกว่า พระราหูไม่ไปทะเลาะกันอีกก็จะประทานพรให้มีหน้าที่ในการดูและตรงนี้ ถ้าหากใครเคราะห์ไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ ต้องมาไหว้พระราหู แล้วพระราหูช่วยเขาได้ ให้ท่านมีตำแหน่งเทพ ตำแหน่งเทวดาเพื่อปลอบใจให้มีหน้าที่ ท่านจึงมีหน้าที่ตรงนี้
พอตรงนี้มีสัญลักษณ์สีดำ เงา ทางไม่ดี ที่นี้ท่านประทานพรให้ดีแล้ว คือสัญลักษณ์สีทอง
ตำนานประวัติของพระราหู
ตำนานที่ ๑ ราหูเกิดจากพระศิวะ
พระศิวะได้นำกระโหลกผีโขมด จำนวน ๑๒ หัว มาบดป่นเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีทอง บางแห่งก็บอกว่าห่อด้วยผ้าสีดำแล้วประพรมน้ำมนต์อมฤต จึงเกิดพระราหูขึ้น ซึ่งพระราหูจะมีหน้าตาเป็นแทตย์ (หน้าดุคล้ายยักษ์) มีครุฑเป็นพาหนะ
ตำนานที่ ๒ ทางไสยาศาสตร์
พระราหูเป็นบุตรของท้าววิประจิตติ กับนาง สิงหิกา เกิดมามีหางเป็นนาค มีมือสี่มือ บางตำราก็กล่าวว่า เป็นบุตรของพระพฤหัสบดีกับนางอสูร อยู่ในอากาศวิมานเป็นสีนิล นั่งเหนือเมฆหมอก มีกายสีทองสัมฤทธิ์ (ดำหลัว) มีสุวรรณ (ทอง) เป็นอาภรณ์ (เสื้อผ้า) มีท่อนหัวอยู่ครึ่งตัว
ตำนานที่ ๓ พระพุทธองค์โปรดอสุรินทราหู
ในสมัยหนึ่งพระพุทธองค์ประทับ ณ เชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ส่วนอสุรินทราหูอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
อสุรินทราหูได้ยินกิตติศัพท์พระพุทธองค์จากการแซ่ซ้องสรรเสริญของเหล่าเทวดาทั้งหลายว่า เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง อสุรินทราหูได้จึงมีความปรารถนาที่อยากจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ก็คิดว่าพระวรกายของพระพุทธเจ้าทรงเล็กเพียงนิดเดียวเมื่อเทียบกับเรา เราก็ต้องก้มตัวแลดูพระพุทธองค์ ซึ่งเราก็ทำได้ลำบากยากยิ่ง และอสุรินทราหูไม่เคยยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ
แต่ด้วยได้ยินเสียงเทวดาต่างๆ พูดมากขึ้นเรื่อยๆ อสุรินทราหูทนไม่ไหวจึงเหาะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทราบความว่าอสุรินทราหูจะเข้าเฝ้าพระองค์ พระพุทธองค์จึงได้ทรงเนรมิตรพระกายใหญ่กว่าอสุรินทราหูหลายเท่า และพระพุทธเจ้าได้ตัดสินพระทัยสำแดงอิริยาบถนอนตะแคงขวา (สีหไสยาสน์) พระบาทซ้ายทับพระบาทขวาเสมอกัน พระหัตถ์ทาบทอดไปตามพระกาย พระกัจฉะ (รักแร้) ทับบนพระเขนย อุ้งพระหัตถ์ขวาขึ้นประคองพระเศียรให้ตั้งขึ้น ให้อสุรินทราหูเห็น เพื่อกำหลาบทิฏฐิมานะ เมื่ออสุรินทราเข้ามาเห็นพระพุทธเจ้าซึ่งไม่เป็นไปตามที่ตนเองคิดไว้และอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมากที่พระกายของพระพุทธองค์ใหญ่กว่าตัวเองหลายเท่า เปรียบเสมือนทารกแหงนมองพระจันทร์ ฉันนั้น และมีพระพุทธลักษณะอันงดงาม พระพุทธองค์จึงทรงเทศนาโปรดอสุรินทราหูว่า
"บุคคลทั้งหลายเมื่อได้ทราบข่าวเล่าลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ หากยังไม่ได้เห็น ยังไม่พิจารณาให้ถ่องแท้แก่ใจตนเองแล้ว ไม่พึงติชมก่อน อสุรินทราหูท่านคงเข้าใจว่าท่านมีร่างกายใหญ่กว่าเทพยดาและอสูรทั้งหลาย จริงอยู่บรรดาพวกอสูรทั้งหลายในอสูรพิภพนั้นมีร่างกายเล็กกว่าท่าน แต่ท่าคิดหรือเปล่าว่า ในที่อื่นอาจมีผู้ที่มีร่างกายใหญ่กว่าท่าน เหมือนปลาใหญ่ในหนองคลองบึง มันอาจคิดว่าตัวมันโตกว่าปลาทั้งหลาย ไม่มีปลาตัวใดจะเสมอได้ เพราะมันยังไม่ได้ไปเห็นปลาในมหาสมุทร
อสุรินทราหู บรรดาพรหมทั้งหลายในพรหมโลกชั้นบนทั้งหมดล้วนมีร่างกายใหญ่กว่าท่าน ถ้าท่านมีวามปราถนาจะได้ดู ได้ชม ตถาคตจะพาไปดู"
เมื่ออสุรินทราหูได้ฟังเช่นนี้ก็อยากไปดูด้วยตาตนเอง พระพุทธองค์จึงได้ทรงนำอสุรินทราไปยังพรหมโลกประจักษ์แก่สายตาตนเอง และพูดกับตนเองว่า
"แม้มหาพรหมทั้งหลายจะมีร่างกายใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูตั้งร้อยเท่า พันเท่า แต่พระผู้มีพระภาคเจ้ากลับมีพระวรกายใหญ่กว่ามหาพรหมเหล่านั้นทั้งหมด แต่อสุรินทราหูกลับยังมีร่างกายเท่าเดิม มีความหวาดกลัวตัวสั่นเทา หลบอยู่หลังพระพุทธเจ้า ปรากฏเหมือนแมงมุมเกาะอยู่ที่ชายจีวรของพระพุทธเจ้าฉะนั้น"
ด้วยเหตุนี้ อสุรินทราหูจึงยอมลดมานะทิฏฐิของตน และเลื่อมใสพระพุทธองค์และเปล่งกล่าวปฏิญาณนับถือไตรสรณคมณ์เป็นสรณะ
สาเหตุพระราหูมีกายครึ่งตัว
ตำนานที่ ๑ มีจิตใจอยากเป็นใหญ่ พระราหูมีกายครึ่งตัวเกิดจากเห็นพระศิวะท่านประสาทพรได้ สาปใครเป็นอะไรก็ได้ ชุบชีวิตใครขึ้นมาก็ได้ พระราหูท่านก็อยากทำได้บ้าง จึงคิดพิจารณาไปมาคิดว่า น่าจะเกิดจากอ่างแก้วเก็บน้ำท้ายปรางค์ปราสาทของพระศิวะ พระราหูจึงบันดาลให้ฟ้ามืดมัวแล้วท่านก็เหาะลงไปอาบและดื่มน้ำนั้นอย่างสำราญใจ ฝ่ายเทวดา นางฟ้า เห็นท้องฟ้ามืดมัว อากาศวิปริตเช่นนั้นก็พากันร้องวีดว้าย พระศิวะทราบความจึงส่องข่ายพระญาณก็รู้ว่าพระราหูมาขโมยอาบน้ำและดื่มน้ำอมฤตนี้ พระศิวะจึงขว้างจักรไปถูกกายของพระราหูขาดเป็นสองท่อน
ตำนานที่ ๒ ช่วยเหลือเพื่อนผู้เดือดร้อน ทางโหราศาสตร์เกี่ยวกับเทวดานพเคราะห์ กล่าวว่าในอดีตกาลสมัยหนึ่งพระราหู พระเสาร์ พระอาทิตย์ พระพฤหัสบดี เป็นเพื่อนกัน พระเสาร์กำเนิดเป็นพญานาค รักษามหาสุมทร พระอาทิตย์เกิดเป็นพญาครุฑรักษาเขาสัตนาปริพันธ์ พระพฤหัสบดีเกิดเป็นพระอินทร์รักษาเขาพระสุเมรุ อยู่มาคราวหนึ่ง พญาครุฑอยากจะกินพญานาค พญาครุฑจึงจะจับพญานาคกินเอาดื้อๆ พญานาคสู้ไม่ได้จึงหนีไปขอความช่วยเหลือจากพระราหู พระราหูจึงออกมาต่อสู้กับพญาครุฑ พญาครุฑต่อสู้ไม่ได้ จึงไปขอความช่วยเหลือจากพระอินทร์ ฝ่ายพระราหูไล่ติดตามไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเกิดหิวน้ำขึ้นมา จึงแวะลงไปดื่มน้ำอมฤตในสระ พระอินทร์ซึ่งเป็นผู้เฝ้าดูแลสระน้ำนี้เห็นเข้าก็เกิดความพิโรธ ขว้างจักรเพชรถูกกายของพระราหูขาดเป็นสองท่อน
ตำนานที่ ๓ แอบดื่มน้ำอมฤตเพื่อนจับได้ เกิดจากพวกเทวดาและอสูรทั้งหลายร่วมกันตั้งพิธีกวนเกษียรสมุทรทำน้ำอมฤต ซึ่งอยู่ในปางที่ ๒ กูรมานวตาร ของพระนารายณ์ (ปางเกิดเป็นเต่า) พระราหูได้แปลงกายเป็นเทวดาเข้าร่วมในงานพิธีดื่มน้ำอมฤตครั้งนี้ด้วย พระอาทิตย์กับพระจันทร์เห็นพระราหูมีแต่เงาแอบมาดื่มน้ำอมฤต ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่พวกเทวดาแน่นอน เพราะเทวดาไม่มีเงา จึงฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์ก็กริ้วจัด ขว้างจักรถูกกายของพระราหูขาดเป็นสองท่อน แต่ไม่ตาย เพราะได้ดื่มน้ำอมฤตนี้แล้ว ท่อนหัวก็ลอยอยู่ในอากาศคอยจับกินพระอาทิตย์กับพระจันทร์เพราะแก้แค้น ส่วนหางนั้นได้กลายเป็นดาวพระเกตุ
ความเข้าใจ "พระราหู" ที่ถูกต้องในธรรม
พระคาถาพ่อราหู
โอม อะสุรินทะราหู, วิชิตตะ พาโล, อะวะมงคล จะ, เอวัง โหนตุ, ศรีชัยยะ มาเรติ, ไมตรี กัลละยาณะมิตตะ, มุฑิตา นะ สะหาโย, ศานติ ศานติ สันติโอม นะมะฮา ๛ (8 จบ)
ลูกขอนอบน้อมคารวะสักการะบูชา พ่อราหู ด้วยจิตศรัทธา โองการจากมหาเทพทั้ง ๓ พ่อพรหม พ่อศิวะ พ่อวิษณุนารายณ์ ประทานพรให้เป็นเทพ ผู้ขจัดเคราะห์ภัย คุณไสยน์ มนต์ดำ อาถรรพ์เวทย์ พลังลบ พลังดำ ให้แก่มวลมนุษย์ ผี และเทวดา และช่วยเหลือให้ปลอดภัย ให้เป็นสิริมงคล ให้เกิดอยู่อย่างสันติ
บัดนี้ ลูกขอตั้งจิตอธิษฐาน เจริญมุฑิตาจิต ปลดทุกข์ บำรุงสุขให้กับชาวโลก ขจัดภัยทั้งหลาย บำรุงสุขทั้งปวง
บัดนี้ ลูกขอน้อมถวายของบูชา (ชื่อของถวาย...) ขอองค์พ่อโปรดเมตตารับ และขอบารมีองค์พ่อฯ โปรดเมตตาประทานพร ขจัดเคราะห์ภัย อันตรายทั้งปวง เป็นสิริมงคล ให้มีโชคลาภวาสนา ยศฐาบรรดาศักดิ์ สมหวังปรารถนา หนุนเสริมดวงชะตา พลิกจากร้ายกลายเป็นดี ค้าขายราบรื่น เหลือกินเหลือใช้ ปลอดโรค-ทุกข์-ภัย มีจิตมั่นคง รักสามัคคีในตน ครอบครัว สังคม และชาวโลก สุขสันติ สุขสันติ สันติสุข โอม๛
หัวใจของการบูชาพระราหู
ท่านพ่อราหูท่านได้รับโองการจากมหาเทพทั้ง ๓ พ่อพรหม พ่อศิวะ พ่อวิษณุนารายณ์ ให้ดูแล ขจัดเคราะห์ภัย ปลดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน
จุดมุ่งหมายในการบูชาพระราหู คือ ให้ท่านคลายความสว่างให้กับชีวิต เพื่อให้เกิดปัญญาแก่ตัวเรา ซึ่งลักษณะของพระราหู คือท่านจะอมพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ครึ่งหนึ่ง และอีกลักษณะหนึ่งท่านกำลังคลายพระอาทิตย์และพระจันทร์ออกมาได้ครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน เป็นปริศนาธรรมสื่อว่า ช่วงหนึ่งหรือห้วงหนึ่งของชีวิตเรา หรือดวงชะตาของเรา ตกชะตาราหู คือ เข้าสู่ความดำ ความมืดมน มองไม่เห็นเส้นทาง มืดแปดด้าน พบปัญหาอุปสรรคต่างๆ มารุมเร้า หาทางออกไม่เจอ ขาดสติปัญญา
ฉะนั้น เราจึงควรบูชาพระราหูเพื่อให้ท่านคลายแสงสว่างให้แก่ชีวิต คลายภาวะ โอกาสต่างๆ ให้กับเรา เพื่อให้เราพบปัญญา พบผู้รู้ นักปราชญ์ กัลยาณมิตร ให้กับเรา ในการชี้แนะแนวทาง สั่งสอน จูง นำ พา ส่งเราไปยังถึงอีกฟากฝั่งหนึ่ง ในการเกิดปัญญา แก้ไขขจัดปัญหาต่างๆ ได้ พบแสงสว่างแห่งปัญญาในชีวิต
หากจะมีคนถามว่า ทำไมพระราหูเป็นสัญลักษณ์ในความไม่ดี แต่ทำไมต้องบูชาท่าน เคารพนับถือท่าน เราควรพิจารณาอย่างนี้ อย่างเช่น ในอดีตประเทศจีน มีสำนักคุ้มกันภัย รับคุ้มกันสิ่งของ ส่งของจากเมืองนี้ไปยังเมืองโน้นได้โดยไม่ถูกโจรปล้นเอา ก็เพราะว่าสำนักคุ้มกันภัยรู้จักไม้อ่อนไม้แข็ง เคารพเจ้าที่เจ้าทาง หากที่แห่งนั้นเป็นเขตอาณาบริเวณของโจร เจ้าสำนักคุ้มกันภัยก็จะไปผูกมิตรไมตรี ผูกน้ำจิตน้ำใจกับโจรไว้ เมื่อเราเดินทางผ่านเขตของโจรกลุ่มนั้น เขารู้ว่าเป็นสำนักคุ้มกันภัยที่เป็นมิตรก็จะปล่อยผ่านไปไม่ปล้นแย่งชิงมา แต่ผิดกับราชสำนัก หรือพ่อค้าทั่วไป ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ ก็มักจะถูกโจรปล้นชิงสินค้าอยู่บ่อยๆ
ฉะนั้น เราไหว้พระราหู เพราะว่าพระราหูท่านรู้จักความชั่วต่างๆ ดี เพราะท่านก็เคยเป็น สัมผัสมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความโลภ โกรธ หลง ท่านรู้และเข้าใจดี แล้วเราบูชา ไหว้ เคารพนับถือท่าน ความชั่วร้ายต่างๆ ก็ย่อมรู้จักพระราหูดีก็ไม่กล้ามาตอแย เพราะจะทำสิ่งใดพระราหูก็จะรู้หมด เช่นเดียวกับเราบูชาพระราหู ถือว่าท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเรา เมื่อสิ่งชั่วร้ายต่างๆ จะมาทำร้ายเรา เห็นว่าเรามีผู้หลักผู้ใหญ่เป็นพระราหู สิ่งชั่วร้ายนั้นก็เกรงกลัวบารมีของพระราหู จากหนักก็ผ่อนเป็นเบา จากเบาก็จะหาย
ประวัติพระราหูจากคัมภีร์
เป็นพี่น้องของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ ทุกคนให้ความเคารพ แต่พระราหูเกิดมาท่อนล่างเป็นงู ที่นี้ถูกต่อว่าอยู่เรื่อยๆ จึงเเตองมารังแกอมพระอาทิตย์ พระจันทร์ แก้แค้นแทนแม่ พูดง่ายๆ แม่ท่านเป็นเมียน้อย ตามตำราเขาแต่ง ท่านก็มีฤทธิ์เดช และต่อมาก็ถูกพระนารายณ์ตัดหาง เพราะว่าดื้อพระนารายณ์บอกให้ปล่อยไม่ยอมปล่อย พระนารายณ์เลยปล่อยจักรไปตัด เหลือแต่หัว
เราไหว้พระราหู ท่านดำ เปรียเสมือนเงา เป็นเหงาของพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระราหูก็เปรียบเสมือนโรคก็มีโลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา อะไรต่างๆ พระราหูจะเป็นคนคอยควบคุม เพราะว่าท่านเคยผ่านโลกิยะจึงยกให้ท่านควบคุมดูแล
พระราหูองค์ดำกับองค์ทอง องค์ทองคือราหูที่กลับใจแล้วเป็นราหูที่ดีแล้ว พูดไปแล้วพระราหูก็เป็นลูกน้องของพระนารายณ์ เพราะตอนนั้นท่านเกเรเลยถูกตัด แล้วท่านก็พูดว่าทำไมต้องถูกท่านทำอย่างนั้น พระนารายณ์ก็บอกว่า พระราหูไม่ไปทะเลาะกันอีกก็จะประทานพรให้มีหน้าที่ในการดูและตรงนี้ ถ้าหากใครเคราะห์ไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ ต้องมาไหว้พระราหู แล้วพระราหูช่วยเขาได้ ให้ท่านมีตำแหน่งเทพ ตำแหน่งเทวดาเพื่อปลอบใจให้มีหน้าที่ ท่านจึงมีหน้าที่ตรงนี้
พอตรงนี้มีสัญลักษณ์สีดำ เงา ทางไม่ดี ที่นี้ท่านประทานพรให้ดีแล้ว คือสัญลักษณ์สีทอง
ตำนานประวัติของพระราหู
ตำนานที่ ๑ ราหูเกิดจากพระศิวะ
พระศิวะได้นำกระโหลกผีโขมด จำนวน ๑๒ หัว มาบดป่นเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีทอง บางแห่งก็บอกว่าห่อด้วยผ้าสีดำแล้วประพรมน้ำมนต์อมฤต จึงเกิดพระราหูขึ้น ซึ่งพระราหูจะมีหน้าตาเป็นแทตย์ (หน้าดุคล้ายยักษ์) มีครุฑเป็นพาหนะ
ตำนานที่ ๒ ทางไสยาศาสตร์
พระราหูเป็นบุตรของท้าววิประจิตติ กับนาง สิงหิกา เกิดมามีหางเป็นนาค มีมือสี่มือ บางตำราก็กล่าวว่า เป็นบุตรของพระพฤหัสบดีกับนางอสูร อยู่ในอากาศวิมานเป็นสีนิล นั่งเหนือเมฆหมอก มีกายสีทองสัมฤทธิ์ (ดำหลัว) มีสุวรรณ (ทอง) เป็นอาภรณ์ (เสื้อผ้า) มีท่อนหัวอยู่ครึ่งตัว
ตำนานที่ ๓ พระพุทธองค์โปรดอสุรินทราหู
ในสมัยหนึ่งพระพุทธองค์ประทับ ณ เชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ส่วนอสุรินทราหูอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
อสุรินทราหูได้ยินกิตติศัพท์พระพุทธองค์จากการแซ่ซ้องสรรเสริญของเหล่าเทวดาทั้งหลายว่า เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง อสุรินทราหูได้จึงมีความปรารถนาที่อยากจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ก็คิดว่าพระวรกายของพระพุทธเจ้าทรงเล็กเพียงนิดเดียวเมื่อเทียบกับเรา เราก็ต้องก้มตัวแลดูพระพุทธองค์ ซึ่งเราก็ทำได้ลำบากยากยิ่ง และอสุรินทราหูไม่เคยยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ
แต่ด้วยได้ยินเสียงเทวดาต่างๆ พูดมากขึ้นเรื่อยๆ อสุรินทราหูทนไม่ไหวจึงเหาะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทราบความว่าอสุรินทราหูจะเข้าเฝ้าพระองค์ พระพุทธองค์จึงได้ทรงเนรมิตรพระกายใหญ่กว่าอสุรินทราหูหลายเท่า และพระพุทธเจ้าได้ตัดสินพระทัยสำแดงอิริยาบถนอนตะแคงขวา (สีหไสยาสน์) พระบาทซ้ายทับพระบาทขวาเสมอกัน พระหัตถ์ทาบทอดไปตามพระกาย พระกัจฉะ (รักแร้) ทับบนพระเขนย อุ้งพระหัตถ์ขวาขึ้นประคองพระเศียรให้ตั้งขึ้น ให้อสุรินทราหูเห็น เพื่อกำหลาบทิฏฐิมานะ เมื่ออสุรินทราเข้ามาเห็นพระพุทธเจ้าซึ่งไม่เป็นไปตามที่ตนเองคิดไว้และอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมากที่พระกายของพระพุทธองค์ใหญ่กว่าตัวเองหลายเท่า เปรียบเสมือนทารกแหงนมองพระจันทร์ ฉันนั้น และมีพระพุทธลักษณะอันงดงาม พระพุทธองค์จึงทรงเทศนาโปรดอสุรินทราหูว่า
"บุคคลทั้งหลายเมื่อได้ทราบข่าวเล่าลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ หากยังไม่ได้เห็น ยังไม่พิจารณาให้ถ่องแท้แก่ใจตนเองแล้ว ไม่พึงติชมก่อน อสุรินทราหูท่านคงเข้าใจว่าท่านมีร่างกายใหญ่กว่าเทพยดาและอสูรทั้งหลาย จริงอยู่บรรดาพวกอสูรทั้งหลายในอสูรพิภพนั้นมีร่างกายเล็กกว่าท่าน แต่ท่าคิดหรือเปล่าว่า ในที่อื่นอาจมีผู้ที่มีร่างกายใหญ่กว่าท่าน เหมือนปลาใหญ่ในหนองคลองบึง มันอาจคิดว่าตัวมันโตกว่าปลาทั้งหลาย ไม่มีปลาตัวใดจะเสมอได้ เพราะมันยังไม่ได้ไปเห็นปลาในมหาสมุทร
อสุรินทราหู บรรดาพรหมทั้งหลายในพรหมโลกชั้นบนทั้งหมดล้วนมีร่างกายใหญ่กว่าท่าน ถ้าท่านมีวามปราถนาจะได้ดู ได้ชม ตถาคตจะพาไปดู"
เมื่ออสุรินทราหูได้ฟังเช่นนี้ก็อยากไปดูด้วยตาตนเอง พระพุทธองค์จึงได้ทรงนำอสุรินทราไปยังพรหมโลกประจักษ์แก่สายตาตนเอง และพูดกับตนเองว่า
"แม้มหาพรหมทั้งหลายจะมีร่างกายใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูตั้งร้อยเท่า พันเท่า แต่พระผู้มีพระภาคเจ้ากลับมีพระวรกายใหญ่กว่ามหาพรหมเหล่านั้นทั้งหมด แต่อสุรินทราหูกลับยังมีร่างกายเท่าเดิม มีความหวาดกลัวตัวสั่นเทา หลบอยู่หลังพระพุทธเจ้า ปรากฏเหมือนแมงมุมเกาะอยู่ที่ชายจีวรของพระพุทธเจ้าฉะนั้น"
ด้วยเหตุนี้ อสุรินทราหูจึงยอมลดมานะทิฏฐิของตน และเลื่อมใสพระพุทธองค์และเปล่งกล่าวปฏิญาณนับถือไตรสรณคมณ์เป็นสรณะ
สาเหตุพระราหูมีกายครึ่งตัว
ตำนานที่ ๑ มีจิตใจอยากเป็นใหญ่ พระราหูมีกายครึ่งตัวเกิดจากเห็นพระศิวะท่านประสาทพรได้ สาปใครเป็นอะไรก็ได้ ชุบชีวิตใครขึ้นมาก็ได้ พระราหูท่านก็อยากทำได้บ้าง จึงคิดพิจารณาไปมาคิดว่า น่าจะเกิดจากอ่างแก้วเก็บน้ำท้ายปรางค์ปราสาทของพระศิวะ พระราหูจึงบันดาลให้ฟ้ามืดมัวแล้วท่านก็เหาะลงไปอาบและดื่มน้ำนั้นอย่างสำราญใจ ฝ่ายเทวดา นางฟ้า เห็นท้องฟ้ามืดมัว อากาศวิปริตเช่นนั้นก็พากันร้องวีดว้าย พระศิวะทราบความจึงส่องข่ายพระญาณก็รู้ว่าพระราหูมาขโมยอาบน้ำและดื่มน้ำอมฤตนี้ พระศิวะจึงขว้างจักรไปถูกกายของพระราหูขาดเป็นสองท่อน
ตำนานที่ ๒ ช่วยเหลือเพื่อนผู้เดือดร้อน ทางโหราศาสตร์เกี่ยวกับเทวดานพเคราะห์ กล่าวว่าในอดีตกาลสมัยหนึ่งพระราหู พระเสาร์ พระอาทิตย์ พระพฤหัสบดี เป็นเพื่อนกัน พระเสาร์กำเนิดเป็นพญานาค รักษามหาสุมทร พระอาทิตย์เกิดเป็นพญาครุฑรักษาเขาสัตนาปริพันธ์ พระพฤหัสบดีเกิดเป็นพระอินทร์รักษาเขาพระสุเมรุ อยู่มาคราวหนึ่ง พญาครุฑอยากจะกินพญานาค พญาครุฑจึงจะจับพญานาคกินเอาดื้อๆ พญานาคสู้ไม่ได้จึงหนีไปขอความช่วยเหลือจากพระราหู พระราหูจึงออกมาต่อสู้กับพญาครุฑ พญาครุฑต่อสู้ไม่ได้ จึงไปขอความช่วยเหลือจากพระอินทร์ ฝ่ายพระราหูไล่ติดตามไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเกิดหิวน้ำขึ้นมา จึงแวะลงไปดื่มน้ำอมฤตในสระ พระอินทร์ซึ่งเป็นผู้เฝ้าดูแลสระน้ำนี้เห็นเข้าก็เกิดความพิโรธ ขว้างจักรเพชรถูกกายของพระราหูขาดเป็นสองท่อน
ตำนานที่ ๓ แอบดื่มน้ำอมฤตเพื่อนจับได้ เกิดจากพวกเทวดาและอสูรทั้งหลายร่วมกันตั้งพิธีกวนเกษียรสมุทรทำน้ำอมฤต ซึ่งอยู่ในปางที่ ๒ กูรมานวตาร ของพระนารายณ์ (ปางเกิดเป็นเต่า) พระราหูได้แปลงกายเป็นเทวดาเข้าร่วมในงานพิธีดื่มน้ำอมฤตครั้งนี้ด้วย พระอาทิตย์กับพระจันทร์เห็นพระราหูมีแต่เงาแอบมาดื่มน้ำอมฤต ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่พวกเทวดาแน่นอน เพราะเทวดาไม่มีเงา จึงฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์ก็กริ้วจัด ขว้างจักรถูกกายของพระราหูขาดเป็นสองท่อน แต่ไม่ตาย เพราะได้ดื่มน้ำอมฤตนี้แล้ว ท่อนหัวก็ลอยอยู่ในอากาศคอยจับกินพระอาทิตย์กับพระจันทร์เพราะแก้แค้น ส่วนหางนั้นได้กลายเป็นดาวพระเกตุ