"เมื่อศรัทธาแห่งกฎหมายเสื่อมคลาย
อำนาจแห่งกฎหมู่ย่อมย่างกราย
และเมื่อนั้น...อาคมแห่งเสือร้ายจักครองแผ่นดิน"
สวัสดีครับทุกท่าน...ห่างหายไปนานน่าจะหลายปีแสงอยู่ แต่ยังพอจำได้ว่าตอนนั้นผมเคยตั้งกระทู้รวมของขลังจากขุนพันธ์ภาคแรกไป จากที่อยู่กับตัวท่านขุนเอง หรือแม้แต่อัลฮาวียะลู ที่ชื่อจริงตามประวัติศาสตร์คือ 'อะแวสะดอ' ก็จะได้เห็นทั้งของขลังฝั่งไทยและมาลายูมาเจอกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นผมได้ไปเห็นข้อสงสัยจากท่านหนึ่งในคอมเม้นต์ของยูทูปมาว่า
"ทำไมอาคมไหนเจอกริชต้องสลายหมด?"
เพราฉะนั้นก่อนจะไปเจอของใหม่ขอตอบของเก่าก่อนนะครับ...เพราะว่ากริชนั้นคืออาวุธที่ถูกสร้างขึ้นในทางพุทธคุณของแท้ ในขณะที่มีดหมอซึ่งหลายคนเข้าใจว่าน่าจะเป็นอาวุธตระกูลเดียวกันนั้น บางเล่มยังถูกหลอมขึ้นจากโลหะอวมงคลอย่างเช่น เหล็กยอดเจดีย์หัก สมบัติคนตาย หรือตะปูตอกโลงผี เพื่อใช้ในทางไสยคุณ ทำร้ายคนอื่น แต่กริชนั้นมีข้อบังคับว่าต้องหลอมขึ้นด้วยโลหะมงคล 9 ชนิดในเล่มเดียวคือ ทองคำ เงิน ทองแดง จ้าวน้ำเงิน เหล็กละลายตัว ชิน ตะกั่วน้ำนม ปรอท สังกะสี ส่วนด้ามกริชนั้นจะมีการฝังเครื่องรางพุทธคุณลงไปอีกที ตั้งแต่หมากจากพระสงฆ์ที่ได้รับการนับถือ ไปจนถึงพระเครื่อง เพื่อป้องกันไสยคุณทั้งมวลที่จะมาทำร้ายเจ้าของ และนอกจากนี้ กริชแต่ละเล่มนั้นยังมีการสลักสลายที่แตกต่างกันออกไป โดยลวดลายนั้น ช่างสลักจะออกแบบให้เข้ากับเจ้าของ ซึ่งเจ้าของที่ว่านั้นจำเป็นต้องถือยศขุนนาง เจ้าบ้านเจ้าเมืองขึ้นไป สืบทอดได้เพียงในวงศ์ตระกูลเท่านั้น (เหมือนดาบคาตะนะที่เป็นของประจำตระกูลของซามูไรหรือไดเมียวแต่ละนายนั่นเองครับ) นั่นแหละครับจึงทำให้ 'กริช' กลายเป็นทั้งเครื่องรางที่ทรงพลัง และอาวุธอันทรงเกียรติที่สุดในแถบมลายูครับ...จนกระทั่งอัลฮาวียะลูได้ไปครองหนึ่งเล่ม...
เอาล่ะครับ...มาถึงหัวข้อที่ทุกท่านที่หลงเข้ามารออ่านกันแล้ว...และก่อนจะไปทำความรู้จักกับเครื่องรางทั้งหลายในขุนพันธ์ 2 นี้...ทั้งนี้ทั้งนั้นผมยังยืนยันประโยคเดิมที่บอกไว้ก่อนอ่านแก่ทุกท่านตลอดมานะครับ...กรุณาใช้จักรยานในการอ่าน
ขุนพันธ์
ในส่วนของเครื่องรางของขลัง และคาถาประจำตัวท่านขุน ผมขอยกส่วนหนึ่งมาจากกระทู้ที่แล้วมารวมด้วยแล้วกันนะครับ...มาที่ชิ้นแรกเลยครับ... 'แหวนพิรอด'
คำว่า 'พิรอด' ใน 'แหวนพิรอด' ดัดแปลงมาจากภาษาสันสกฤตคือคำว่า 'วิรุทธ' หรือ 'พิรุทธ' แปลว่า 'ขัดกันอยู่' ซึ่งคำว่า 'พิรุทธ' นอกจากดัดแปลงไปเป็นพิรอดแล้ว ยังกลายมาเป็นคำว่า 'พิรุธ' ที่แปลว่ารู้สึกแปลกจนติดขัดอยู่ในใจนั่นแหละครับ โดยความหมายของคำว่าพิรอดที่แปลว่าขัดกัน ก็จะพ้องนิยามของการขัดขวางอันตรายต่างๆ นาๆ ครับ นอกจากนี้ คำว่า 'รอด' ในพิรอดนั้น ก็พ้องกับคำว่ารอดที่มาจากรอดพ้น รอดตาย นั่นเองครับ และแหวนพิรอดนั้นแบ่งออกได้อีกถึง 8 ชนิดครับ
1.แหวนพิรอดด้าย – ถักขึ้นจากผ้าฝ้ายดิบ นำมาถักกันด้วยเงื่อนพิรอด
2.แหวนพิรอดกระดาษ – ถักขึ้นจากกระดาษว่าว
3.แหวนพิรอดผ้า – จะคล้ายๆ กับพิรอดด้ายครับ แต่วัตถุดิบจะใช้ผ้าแดงลงยันต์ ผ้าจีวร ผ้าบังสุกุล หรือแม้แต่ผ้าห่อศพ
4.แหวนพิรอดเถาวัลย์ – จะใช้วัตถุดิบจากพืชเป็นหลักครับ เช่น หญ้าแพรก หรือเถาวัลย์ต้นไทร ฯลฯ แต่พิรอดเถาวัลย์นี้เอง ชาวเล หรือชาวใต้บางกลุ่มจะนิยมใช้กิ่งจาก 'กัลปังหา' หรือสัตว์ทะเลที่รูปร่างคล้ายปะการังมาถักครับ
5.แหวนพิรอดไม้ – ใช้วัตถุดิบจากต้นไม้ที่ได้รับการเคารพบูชา หรือยกย่องว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่น ตะเคียน กิ่งต้นโพธิ์ ฯลฯ
6.แหวนพิรอดหางช้าง – ใช้เส้นขนจากหางช้างมาถักครับ ซึ่งประสบการณ์สวมแหวนพิรอดของผมนั้น ก็คือการสวมแหวนพิรอดชนิดนี้ครับ
7.แหวนพิรอดหิน – อันนี้จะแตกต่างจากแหวนพิรอดทั่วๆ ไปตรงวัตถุดิบนี่แหละครับ เป็นการหล่อแม่พิมพ์แหวนจากโลหะ ทองเหลือง ทองคำแท้ โดยเว้นช่องว่างเอาไว้ให้ใส่นพเก้า หรืออัญมณีทั้ง 9 ชนิดมาไว้ด้วยกันในแหวนวงเดียว (เพชร หยก ทับทิม นิล ฯลฯ) ...ถุงมือดีดลบครึ่งจักรวาลชัดๆ
8.แหวนพิรอดโลหะ – เป็นการหล่อโลหะขึ้นมาให้อยู่ในรูปทรงเดียวกับแหวนพิรอด 6 ชนิดแรกที่มีการถักเลยครับ เรียกได้ว่า ไม่ต้องพึ่งการแฮนด์เมด ข้ามขั้นตอนนี้ไป เข้าแท่นหลอมแล้วปลุกเสกได้เลย
นอกจากแหวนพิรอดที่เราเคยเห็นมันสำแดงการหยุดกระสุนมาแล้ว อีกส่วนที่หลายคนน่าจะยังจดจำได้ดีจากภาคแรก...นั่นคือคาถาครับ
คาถาแรก: นิมิตบอกเหตุ
ตามจริงแล้วการอัญเชิญนิมิตมาประทับในดวงจิตให้เกิดภาพล่วงหน้าไม่ใช่เรื่องทางไสยศาสตร์ใดๆ หรอกครับ ตามความเชื่อสมัยก่อน ว่ากันว่าคนบางคนที่เคยบวชเรียน หรือศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นประจำ ฝึกฝนด้านสมาธิจนแก่กล้า ก็จะเกิด ‘ฌานญาณ’ หรือญาณที่ทำให้จิตแยกจากกายหยาบไปสำรวจรอบๆ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเพื่อให้รู้ถึงหนทางปลอดภัยแก่ตนเองได้ครับ
คาถาที่สอง: คาถาเรียกบริวาร
คาถานี้มีอยู่จริง แต่ต้องเกิดกับผู้ที่มีดวงจิตกล้าแข็งเท่านั้นที่จะสามารถยกตนเป็นนายแก่สรรพสัตว์ต่างๆ ให้มาเป็นบริวารได้ โดยคาถาบริวารจะมีบทสวดแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด ส่วนมากจะเป็น นก เพื่อใช้ส่งจดหมาย ม้า เพื่อเป็นพาหนะ และเสือ เพื่อไม่ให้มันกินเราครับ
คาถาที่สาม: คาถาบังตา
คาถานี้เรียกได้ว่าจอมขมังเวทย์สัญชาติไทยสมัยก่อนในช่วง ‘ยุคเสือ’ หลายๆ คนต้องเคยฝึกคาถานี้ไว้เป็นพื้นฐานเพื่อให้หลบหลีกจากเหล่าโจร หรือตำรวจ ที่เป็นศัตรูของตนครับ โดยจะใช้ใบไม้เขียวที่ร่วงลงมาโดยไม่มีใครเด็ดม้วนเป็นทรงกระบอกทัดหูไว้ แล้วบริกรรมคาถาเริ่มจากนะโมสามจบแล้วตามด้วยคาถาบังตาอีกสามจบ โดยคาถานี้ยังเป็นคาถาประจำตัวของ ‘เสือดำ’ จอมโจรชื่อดังในยุคเสือที่ใช้คาถานี้หลบหลีกตำรวจไม่ให้เจอราวกับล่องหนได้
คาถาสุดท้าย: ข่มจิตปลิดชะตา
นอกจากการสะกดจิตแล้ว ในหนังเรายังจะได้เห็นการ ‘ต่อสู้ทางจิต’ ด้วยครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว การต่อสู้ทางจิตจะไม่ทำให้ผู้แพ้นั้นตายทันที เป็นเพียงการยกตนข่มเพื่อให้คู่ต่อสู้เสียสมาธิ หรือตัดดวงชะตาให้คู่ต่อสู้มีอันถึงฆาต เพื่อที่ผู้ชนะทางจิตจะได้ทำการเข้าถึงตัวจริงของคู่ต่อสู้แล้วลงมือสังหารได้แบบชนะ 100% ครับ
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมเคยนำมาบอกเล่าไว้แล้วจากกระทู้รวมของขลังของภาคแรก...หลังจากนี้ไป เราจะได้เห็นกันมากขึ้นแล้วครับจากตัวอย่างในภาคสองว่าท่านขุนนั้นก็สักยันต์ไว้ไม่ใช่น้อยเลย เพราะฉะนั้นในกระทู้นี้เราจะมาดูกันครับว่ายันต์ของท่านขุนนั้นมีอะไรบ้าง...
1.ยันต์สิงห์
ยันต์สิงห์จะนำพาร่างสถิตให้กลายเป็นผู้ที่มีอำนาจ บารมี น่าเกรงขาม ไม่ว่าจะทำการสิ่งใดก็แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวงครับ
2.ยันต์เกราะเพชร
ป้องกันการกลั่นแกล้งจากคนที่คิดไม่ดีหรือทำไม่ดีกับเรา และท้ายที่สุดแล้วสิ่งไม่ดีนั้นจะสะท้อนกลับไปหาคนคิดไม่ดีกับตัวเราเองอีกด้วยครัย
3.ยันต์ควายธนู
ยันต์ควายธนูนี้จะคล้ายๆ กับยันต์เกราะเพชรครับ แต่ในขณะที่ยันต์เกราะเพชรนั้นต้องรอให้สิ่งนั้นถึงตัวแล้วสะท้อนกลับออกไป ยันต์ควายธนูนี้จะทำหน้าที่ในเชิงรุกกว่า คือทำร้ายมันก่อนเหมือนกุมารทองหรือหุ่นพยนต์ที่เฝ้าบ้านให้เราครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยันต์ควายธนูยังมีข้อเสียอยู่คือการที่ผู้ใช้อาคมจำเป็นต้องมีการถวายหญ้าและน้ำแก่ควายเพื่อเป็นการดูแลรักษาให้ควายเชื่องแก่ผู้ใช้ มิเช่นนั้นวันใดวันหนึ่งควายธนูอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายเราเสียเอง
4.ยันต์แปดทิศ
พ้องกับชื่อเลยครับ คือป้องกันอันตรายจากทุกทิศ ไม่ว่าท่านจะเดินทางไปทิศใดก็ตามก็จะเหมือนมีผู้ปกปักรักษาดูแลเราตลอดเวลา
5.ยันต์โสฬสมงคล
ในขณะที่ยันต์หลายๆ รูปจะป้องกันด้านกายภาพ อย่างเช่นการตีรันฟันแทง หรือการถูกยิง แต่ยันต์โสฬสมงคลนี้จะเน้นมาทางปกป้องจากอาถรรพ์ไสยคุณมากกว่าครับ
6.ยันต์มหาศิริมงคล
ยันต์นี้จะเน้นเสริมความสิริมงคลให้กับตัวเราครับ ให้ผลด้านโชคลาภบารมีมากกว่าด้านการต่อสู้อะไรทำนองนั้น
7.ยันต์ลิงลม
ยันต์นี้จะดลบันดาลให้เราเกิดความรู้สึกไหวพริบทันคนมากขึ้น เฉลียวฉลาดราวกับพญาวานร หลบหลีกภยันตรายได้คล่องแคล่วว่องไวยิ่งขึ้นครับ
8.ยันต์หมูทองแดง
ยันต์นี้จะคล้ายๆ กับยันต์มหาศิริมงคลครับ คือให้ผลด้านโชคลาภบารมี
9.ยันต์หงส์
ยันต์หงส์นี้จะยังอยู่ในประเภทเสริมสร้างบารมีครับ แต่ที่เพิ่มเติมมาอีกส่วนก็คือดลบันดาลให้เรากลายเป็นที่รักใครของผู้คนรอบข้างอีกด้วย
10.ยันต์เก้ายอด
ยันต์นี้คงเป็นที่คุ้นหูกันดี ไม่ว่าจะทั้งวงการผู้สนใจในพุทธคุณ ไสยคุณ หรือแม้แต่ในหนังหรือละคร แน่นอนว่ายันต์เก้ายอดขึ้นชื่อเรื่องความอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีใครสามารถทำอันตรายได้ รอดปลอดภัยจากศาสตราวุธอันตรายทั้งปวง
ทั้งหมดนี้คือยันต์ของท่านขุนที่เราอาจจะได้เห็นอย่างเต็มตาในหนังฉบับเต็มในฉาก 'พิธีชุบว่านมงคล' ครับ ซึ่งเป็นพิธีที่จะรวมว่านถึง 108 ชนิดไว้ในบ่อน้ำบ่อเดียว แล้วให้ผู้ใช้อาถรรพ์ลงไปแช่ เพื่อกระตุ้นให้อาคม หรืออาถรรพ์ใดๆ ที่ผู้ใช้นั้นๆ ถือครองอยู่ได้กลับมาทำงานเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง หรือหล่อเลี้ยงไม่ให้อาถรรพ์ด้านไสยคุณอันตรายที่หิวโหยเหยื่อต้องย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของเอง โดยในฝั่งพุทธคุณนั้นจะอันเชิญพระสงฆ์มาทำการบริกรรมคาถาเสริมสร้างอาคมในข่ายพิธีกรรมให้ เหมือนเพิ่มบุญบารมีให้ในตัว แต่ในฝั่งของไสยคุณนั้นเอง เพราะไม่ได้รับการยอมรับในวงศ์วานของผู้ใช้อาถรรพ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะพุทธคุณ หรือไสยคุณด้วยกันเองแล้ว ดังนั้น ผู้ใช้อาถรรพ์ฝั่งไสยคุณจึงต้องประกอบพิธีชุบว่านนี้เพียงลำพัง
และก็มาถึงชิ้นสุดท้ายในส่วนของท่านขุน ซึ่งเป็นชิ้นที่เรียกได้ว่าเป็นอาวุธไม้ตายของท่านขุนในภาคนี้เลยก็ว่าได้ครับ นั่นคือ... 'ดาบแดง'
"หากซามูไรยังมีคาตะนะ
เผ่าทะเลทรายยังมีดามัสกัส
นักรบไทยนี้เองก็มี 'เหล็กน้ำพี้'"
ในแง่ของวิทยาศาสตร์ ความพิเศษที่สอดคล้องกันระหว่างคาตะนะ ดามัสกัส และเหล็กน้ำพี้ซึ่งทำให้ดาบ 3 ชนิดนี้แตกต่างจากดาบทั่วๆ ไป คือชนิดของเหล็กที่มีการนำเหล็กหลายชนิดมารวมกัน ทำให้เกิดปฏิกริยาระหว่างธาตุจนส่งผลให้เหล็กที่กลายมาเป็นคมดาบนั้นมีความยืดหยุ่นสูง ยากที่จะหัก และแข็งแกร่งพอที่จะตัดได้แม้กระทั่งเหล็กด้วยกันเอง
ในส่วนของความเชื่อเกี่ยวกับดาบเหล็กน้ำพี้ของไทยนั้น เชื่อกันว่าเป็นดาบกระหายเลือด ยิ่งได้ดื่มเลือด ยิ่งทรงพลัง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดของผู้ใช้ก่อนทำศึก โดยผู้ใช้นั้นต้องกรีดเลือดตัวเองด้วยดาบ เพื่อความเชื่อที่ว่าจะเป็นการปลุกอาคมของดาบให้แก่กล้ายิ่งขึ้นจนคมกว่าดาบใดในศึกทั้งมวล และการสร้างดาบเหล็กน้ำพี้นั้นต้องสร้างขึ้นจากโลหะมงคลถึง 7 ชนิด หรือที่เรียกกันว่า 'สัตโลหะ' ประกอบไปด้วย เหล็ก ปรอท ทองแดง เงิน ทองคำ เจ้าน้ำเงิน และสังกะสี
แต่ดาบแดงของขุนพันธ์นั้นยิ่งพิเศษกว่าดาบเหล็กน้ำพี้อื่นใด เพราะดาบแดงนั้นมีเจ้าของคนแรกคือ 'พระยาพิชัยดาบหัก' ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อแผ่นดิน หากใครได้รับดาบแดงไว้ในครอบครอง ถือว่ามีเกียรติยิ่ง สมควรยอมรับในฐานะของผู้จงรักภักดีต่อแผ่นดิน
[SR] เปิดกรุสยอง | เปิดของขลัง 'ขุนพันธ์ 2' | DEVA HELLBLAZER
อำนาจแห่งกฎหมู่ย่อมย่างกราย
และเมื่อนั้น...อาคมแห่งเสือร้ายจักครองแผ่นดิน"
สวัสดีครับทุกท่าน...ห่างหายไปนานน่าจะหลายปีแสงอยู่ แต่ยังพอจำได้ว่าตอนนั้นผมเคยตั้งกระทู้รวมของขลังจากขุนพันธ์ภาคแรกไป จากที่อยู่กับตัวท่านขุนเอง หรือแม้แต่อัลฮาวียะลู ที่ชื่อจริงตามประวัติศาสตร์คือ 'อะแวสะดอ' ก็จะได้เห็นทั้งของขลังฝั่งไทยและมาลายูมาเจอกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นผมได้ไปเห็นข้อสงสัยจากท่านหนึ่งในคอมเม้นต์ของยูทูปมาว่า
เพราฉะนั้นก่อนจะไปเจอของใหม่ขอตอบของเก่าก่อนนะครับ...เพราะว่ากริชนั้นคืออาวุธที่ถูกสร้างขึ้นในทางพุทธคุณของแท้ ในขณะที่มีดหมอซึ่งหลายคนเข้าใจว่าน่าจะเป็นอาวุธตระกูลเดียวกันนั้น บางเล่มยังถูกหลอมขึ้นจากโลหะอวมงคลอย่างเช่น เหล็กยอดเจดีย์หัก สมบัติคนตาย หรือตะปูตอกโลงผี เพื่อใช้ในทางไสยคุณ ทำร้ายคนอื่น แต่กริชนั้นมีข้อบังคับว่าต้องหลอมขึ้นด้วยโลหะมงคล 9 ชนิดในเล่มเดียวคือ ทองคำ เงิน ทองแดง จ้าวน้ำเงิน เหล็กละลายตัว ชิน ตะกั่วน้ำนม ปรอท สังกะสี ส่วนด้ามกริชนั้นจะมีการฝังเครื่องรางพุทธคุณลงไปอีกที ตั้งแต่หมากจากพระสงฆ์ที่ได้รับการนับถือ ไปจนถึงพระเครื่อง เพื่อป้องกันไสยคุณทั้งมวลที่จะมาทำร้ายเจ้าของ และนอกจากนี้ กริชแต่ละเล่มนั้นยังมีการสลักสลายที่แตกต่างกันออกไป โดยลวดลายนั้น ช่างสลักจะออกแบบให้เข้ากับเจ้าของ ซึ่งเจ้าของที่ว่านั้นจำเป็นต้องถือยศขุนนาง เจ้าบ้านเจ้าเมืองขึ้นไป สืบทอดได้เพียงในวงศ์ตระกูลเท่านั้น (เหมือนดาบคาตะนะที่เป็นของประจำตระกูลของซามูไรหรือไดเมียวแต่ละนายนั่นเองครับ) นั่นแหละครับจึงทำให้ 'กริช' กลายเป็นทั้งเครื่องรางที่ทรงพลัง และอาวุธอันทรงเกียรติที่สุดในแถบมลายูครับ...จนกระทั่งอัลฮาวียะลูได้ไปครองหนึ่งเล่ม...
เอาล่ะครับ...มาถึงหัวข้อที่ทุกท่านที่หลงเข้ามารออ่านกันแล้ว...และก่อนจะไปทำความรู้จักกับเครื่องรางทั้งหลายในขุนพันธ์ 2 นี้...ทั้งนี้ทั้งนั้นผมยังยืนยันประโยคเดิมที่บอกไว้ก่อนอ่านแก่ทุกท่านตลอดมานะครับ...กรุณาใช้จักรยานในการอ่าน
ขุนพันธ์
ในส่วนของเครื่องรางของขลัง และคาถาประจำตัวท่านขุน ผมขอยกส่วนหนึ่งมาจากกระทู้ที่แล้วมารวมด้วยแล้วกันนะครับ...มาที่ชิ้นแรกเลยครับ... 'แหวนพิรอด'
คำว่า 'พิรอด' ใน 'แหวนพิรอด' ดัดแปลงมาจากภาษาสันสกฤตคือคำว่า 'วิรุทธ' หรือ 'พิรุทธ' แปลว่า 'ขัดกันอยู่' ซึ่งคำว่า 'พิรุทธ' นอกจากดัดแปลงไปเป็นพิรอดแล้ว ยังกลายมาเป็นคำว่า 'พิรุธ' ที่แปลว่ารู้สึกแปลกจนติดขัดอยู่ในใจนั่นแหละครับ โดยความหมายของคำว่าพิรอดที่แปลว่าขัดกัน ก็จะพ้องนิยามของการขัดขวางอันตรายต่างๆ นาๆ ครับ นอกจากนี้ คำว่า 'รอด' ในพิรอดนั้น ก็พ้องกับคำว่ารอดที่มาจากรอดพ้น รอดตาย นั่นเองครับ และแหวนพิรอดนั้นแบ่งออกได้อีกถึง 8 ชนิดครับ
1.แหวนพิรอดด้าย – ถักขึ้นจากผ้าฝ้ายดิบ นำมาถักกันด้วยเงื่อนพิรอด
2.แหวนพิรอดกระดาษ – ถักขึ้นจากกระดาษว่าว
3.แหวนพิรอดผ้า – จะคล้ายๆ กับพิรอดด้ายครับ แต่วัตถุดิบจะใช้ผ้าแดงลงยันต์ ผ้าจีวร ผ้าบังสุกุล หรือแม้แต่ผ้าห่อศพ
4.แหวนพิรอดเถาวัลย์ – จะใช้วัตถุดิบจากพืชเป็นหลักครับ เช่น หญ้าแพรก หรือเถาวัลย์ต้นไทร ฯลฯ แต่พิรอดเถาวัลย์นี้เอง ชาวเล หรือชาวใต้บางกลุ่มจะนิยมใช้กิ่งจาก 'กัลปังหา' หรือสัตว์ทะเลที่รูปร่างคล้ายปะการังมาถักครับ
5.แหวนพิรอดไม้ – ใช้วัตถุดิบจากต้นไม้ที่ได้รับการเคารพบูชา หรือยกย่องว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่น ตะเคียน กิ่งต้นโพธิ์ ฯลฯ
6.แหวนพิรอดหางช้าง – ใช้เส้นขนจากหางช้างมาถักครับ ซึ่งประสบการณ์สวมแหวนพิรอดของผมนั้น ก็คือการสวมแหวนพิรอดชนิดนี้ครับ
7.แหวนพิรอดหิน – อันนี้จะแตกต่างจากแหวนพิรอดทั่วๆ ไปตรงวัตถุดิบนี่แหละครับ เป็นการหล่อแม่พิมพ์แหวนจากโลหะ ทองเหลือง ทองคำแท้ โดยเว้นช่องว่างเอาไว้ให้ใส่นพเก้า หรืออัญมณีทั้ง 9 ชนิดมาไว้ด้วยกันในแหวนวงเดียว (เพชร หยก ทับทิม นิล ฯลฯ) ...ถุงมือดีดลบครึ่งจักรวาลชัดๆ
8.แหวนพิรอดโลหะ – เป็นการหล่อโลหะขึ้นมาให้อยู่ในรูปทรงเดียวกับแหวนพิรอด 6 ชนิดแรกที่มีการถักเลยครับ เรียกได้ว่า ไม่ต้องพึ่งการแฮนด์เมด ข้ามขั้นตอนนี้ไป เข้าแท่นหลอมแล้วปลุกเสกได้เลย
นอกจากแหวนพิรอดที่เราเคยเห็นมันสำแดงการหยุดกระสุนมาแล้ว อีกส่วนที่หลายคนน่าจะยังจดจำได้ดีจากภาคแรก...นั่นคือคาถาครับ
คาถาแรก: นิมิตบอกเหตุ
ตามจริงแล้วการอัญเชิญนิมิตมาประทับในดวงจิตให้เกิดภาพล่วงหน้าไม่ใช่เรื่องทางไสยศาสตร์ใดๆ หรอกครับ ตามความเชื่อสมัยก่อน ว่ากันว่าคนบางคนที่เคยบวชเรียน หรือศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นประจำ ฝึกฝนด้านสมาธิจนแก่กล้า ก็จะเกิด ‘ฌานญาณ’ หรือญาณที่ทำให้จิตแยกจากกายหยาบไปสำรวจรอบๆ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเพื่อให้รู้ถึงหนทางปลอดภัยแก่ตนเองได้ครับ
คาถาที่สอง: คาถาเรียกบริวาร
คาถานี้มีอยู่จริง แต่ต้องเกิดกับผู้ที่มีดวงจิตกล้าแข็งเท่านั้นที่จะสามารถยกตนเป็นนายแก่สรรพสัตว์ต่างๆ ให้มาเป็นบริวารได้ โดยคาถาบริวารจะมีบทสวดแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด ส่วนมากจะเป็น นก เพื่อใช้ส่งจดหมาย ม้า เพื่อเป็นพาหนะ และเสือ เพื่อไม่ให้มันกินเราครับ
คาถาที่สาม: คาถาบังตา
คาถานี้เรียกได้ว่าจอมขมังเวทย์สัญชาติไทยสมัยก่อนในช่วง ‘ยุคเสือ’ หลายๆ คนต้องเคยฝึกคาถานี้ไว้เป็นพื้นฐานเพื่อให้หลบหลีกจากเหล่าโจร หรือตำรวจ ที่เป็นศัตรูของตนครับ โดยจะใช้ใบไม้เขียวที่ร่วงลงมาโดยไม่มีใครเด็ดม้วนเป็นทรงกระบอกทัดหูไว้ แล้วบริกรรมคาถาเริ่มจากนะโมสามจบแล้วตามด้วยคาถาบังตาอีกสามจบ โดยคาถานี้ยังเป็นคาถาประจำตัวของ ‘เสือดำ’ จอมโจรชื่อดังในยุคเสือที่ใช้คาถานี้หลบหลีกตำรวจไม่ให้เจอราวกับล่องหนได้
คาถาสุดท้าย: ข่มจิตปลิดชะตา
นอกจากการสะกดจิตแล้ว ในหนังเรายังจะได้เห็นการ ‘ต่อสู้ทางจิต’ ด้วยครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว การต่อสู้ทางจิตจะไม่ทำให้ผู้แพ้นั้นตายทันที เป็นเพียงการยกตนข่มเพื่อให้คู่ต่อสู้เสียสมาธิ หรือตัดดวงชะตาให้คู่ต่อสู้มีอันถึงฆาต เพื่อที่ผู้ชนะทางจิตจะได้ทำการเข้าถึงตัวจริงของคู่ต่อสู้แล้วลงมือสังหารได้แบบชนะ 100% ครับ
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมเคยนำมาบอกเล่าไว้แล้วจากกระทู้รวมของขลังของภาคแรก...หลังจากนี้ไป เราจะได้เห็นกันมากขึ้นแล้วครับจากตัวอย่างในภาคสองว่าท่านขุนนั้นก็สักยันต์ไว้ไม่ใช่น้อยเลย เพราะฉะนั้นในกระทู้นี้เราจะมาดูกันครับว่ายันต์ของท่านขุนนั้นมีอะไรบ้าง...
1.ยันต์สิงห์
ยันต์สิงห์จะนำพาร่างสถิตให้กลายเป็นผู้ที่มีอำนาจ บารมี น่าเกรงขาม ไม่ว่าจะทำการสิ่งใดก็แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวงครับ
2.ยันต์เกราะเพชร
ป้องกันการกลั่นแกล้งจากคนที่คิดไม่ดีหรือทำไม่ดีกับเรา และท้ายที่สุดแล้วสิ่งไม่ดีนั้นจะสะท้อนกลับไปหาคนคิดไม่ดีกับตัวเราเองอีกด้วยครัย
3.ยันต์ควายธนู
ยันต์ควายธนูนี้จะคล้ายๆ กับยันต์เกราะเพชรครับ แต่ในขณะที่ยันต์เกราะเพชรนั้นต้องรอให้สิ่งนั้นถึงตัวแล้วสะท้อนกลับออกไป ยันต์ควายธนูนี้จะทำหน้าที่ในเชิงรุกกว่า คือทำร้ายมันก่อนเหมือนกุมารทองหรือหุ่นพยนต์ที่เฝ้าบ้านให้เราครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยันต์ควายธนูยังมีข้อเสียอยู่คือการที่ผู้ใช้อาคมจำเป็นต้องมีการถวายหญ้าและน้ำแก่ควายเพื่อเป็นการดูแลรักษาให้ควายเชื่องแก่ผู้ใช้ มิเช่นนั้นวันใดวันหนึ่งควายธนูอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายเราเสียเอง
4.ยันต์แปดทิศ
พ้องกับชื่อเลยครับ คือป้องกันอันตรายจากทุกทิศ ไม่ว่าท่านจะเดินทางไปทิศใดก็ตามก็จะเหมือนมีผู้ปกปักรักษาดูแลเราตลอดเวลา
5.ยันต์โสฬสมงคล
ในขณะที่ยันต์หลายๆ รูปจะป้องกันด้านกายภาพ อย่างเช่นการตีรันฟันแทง หรือการถูกยิง แต่ยันต์โสฬสมงคลนี้จะเน้นมาทางปกป้องจากอาถรรพ์ไสยคุณมากกว่าครับ
6.ยันต์มหาศิริมงคล
ยันต์นี้จะเน้นเสริมความสิริมงคลให้กับตัวเราครับ ให้ผลด้านโชคลาภบารมีมากกว่าด้านการต่อสู้อะไรทำนองนั้น
7.ยันต์ลิงลม
ยันต์นี้จะดลบันดาลให้เราเกิดความรู้สึกไหวพริบทันคนมากขึ้น เฉลียวฉลาดราวกับพญาวานร หลบหลีกภยันตรายได้คล่องแคล่วว่องไวยิ่งขึ้นครับ
8.ยันต์หมูทองแดง
ยันต์นี้จะคล้ายๆ กับยันต์มหาศิริมงคลครับ คือให้ผลด้านโชคลาภบารมี
9.ยันต์หงส์
ยันต์หงส์นี้จะยังอยู่ในประเภทเสริมสร้างบารมีครับ แต่ที่เพิ่มเติมมาอีกส่วนก็คือดลบันดาลให้เรากลายเป็นที่รักใครของผู้คนรอบข้างอีกด้วย
10.ยันต์เก้ายอด
ยันต์นี้คงเป็นที่คุ้นหูกันดี ไม่ว่าจะทั้งวงการผู้สนใจในพุทธคุณ ไสยคุณ หรือแม้แต่ในหนังหรือละคร แน่นอนว่ายันต์เก้ายอดขึ้นชื่อเรื่องความอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีใครสามารถทำอันตรายได้ รอดปลอดภัยจากศาสตราวุธอันตรายทั้งปวง
ทั้งหมดนี้คือยันต์ของท่านขุนที่เราอาจจะได้เห็นอย่างเต็มตาในหนังฉบับเต็มในฉาก 'พิธีชุบว่านมงคล' ครับ ซึ่งเป็นพิธีที่จะรวมว่านถึง 108 ชนิดไว้ในบ่อน้ำบ่อเดียว แล้วให้ผู้ใช้อาถรรพ์ลงไปแช่ เพื่อกระตุ้นให้อาคม หรืออาถรรพ์ใดๆ ที่ผู้ใช้นั้นๆ ถือครองอยู่ได้กลับมาทำงานเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง หรือหล่อเลี้ยงไม่ให้อาถรรพ์ด้านไสยคุณอันตรายที่หิวโหยเหยื่อต้องย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของเอง โดยในฝั่งพุทธคุณนั้นจะอันเชิญพระสงฆ์มาทำการบริกรรมคาถาเสริมสร้างอาคมในข่ายพิธีกรรมให้ เหมือนเพิ่มบุญบารมีให้ในตัว แต่ในฝั่งของไสยคุณนั้นเอง เพราะไม่ได้รับการยอมรับในวงศ์วานของผู้ใช้อาถรรพ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะพุทธคุณ หรือไสยคุณด้วยกันเองแล้ว ดังนั้น ผู้ใช้อาถรรพ์ฝั่งไสยคุณจึงต้องประกอบพิธีชุบว่านนี้เพียงลำพัง
และก็มาถึงชิ้นสุดท้ายในส่วนของท่านขุน ซึ่งเป็นชิ้นที่เรียกได้ว่าเป็นอาวุธไม้ตายของท่านขุนในภาคนี้เลยก็ว่าได้ครับ นั่นคือ... 'ดาบแดง'
เผ่าทะเลทรายยังมีดามัสกัส
นักรบไทยนี้เองก็มี 'เหล็กน้ำพี้'"
ในแง่ของวิทยาศาสตร์ ความพิเศษที่สอดคล้องกันระหว่างคาตะนะ ดามัสกัส และเหล็กน้ำพี้ซึ่งทำให้ดาบ 3 ชนิดนี้แตกต่างจากดาบทั่วๆ ไป คือชนิดของเหล็กที่มีการนำเหล็กหลายชนิดมารวมกัน ทำให้เกิดปฏิกริยาระหว่างธาตุจนส่งผลให้เหล็กที่กลายมาเป็นคมดาบนั้นมีความยืดหยุ่นสูง ยากที่จะหัก และแข็งแกร่งพอที่จะตัดได้แม้กระทั่งเหล็กด้วยกันเอง
ในส่วนของความเชื่อเกี่ยวกับดาบเหล็กน้ำพี้ของไทยนั้น เชื่อกันว่าเป็นดาบกระหายเลือด ยิ่งได้ดื่มเลือด ยิ่งทรงพลัง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดของผู้ใช้ก่อนทำศึก โดยผู้ใช้นั้นต้องกรีดเลือดตัวเองด้วยดาบ เพื่อความเชื่อที่ว่าจะเป็นการปลุกอาคมของดาบให้แก่กล้ายิ่งขึ้นจนคมกว่าดาบใดในศึกทั้งมวล และการสร้างดาบเหล็กน้ำพี้นั้นต้องสร้างขึ้นจากโลหะมงคลถึง 7 ชนิด หรือที่เรียกกันว่า 'สัตโลหะ' ประกอบไปด้วย เหล็ก ปรอท ทองแดง เงิน ทองคำ เจ้าน้ำเงิน และสังกะสี
แต่ดาบแดงของขุนพันธ์นั้นยิ่งพิเศษกว่าดาบเหล็กน้ำพี้อื่นใด เพราะดาบแดงนั้นมีเจ้าของคนแรกคือ 'พระยาพิชัยดาบหัก' ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อแผ่นดิน หากใครได้รับดาบแดงไว้ในครอบครอง ถือว่ามีเกียรติยิ่ง สมควรยอมรับในฐานะของผู้จงรักภักดีต่อแผ่นดิน
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้