โปรดจงพิจารณา
จะเรียนธรรมของพระพุทธเจ้าให้ได้สามัญผล ต้องตัดความสนใจจากเรื่อง ที่พระองค์ไม่ยินดีออกเสียก่อนจึงจะเป็นเหตุและผล ทำให้ได้ให้ถึงก่อน ค่อยว่ากันทีหลัง ทำไม่ได้ไม่ถึงมันจะขวางทางธรรมของตนเอง ไม่สามารถพิจารณาธรรม อันจักเจริญสูงขึ้นไปกว่านั้นได้
๙. ปฐมวัตถุกถาสูตร
ว่าด้วยกถาวัตถุ ๑๐ ประการ
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร
เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัย
นั้นแล ภิกษุเป็นอันมากกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุมกันที่
หอฉัน สนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชา เรื่อง
โจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องการรบ เรื่องข้าว เรื่อง
น้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน
เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องคนกล้าหาญ
เรื่องตรอก เรื่องทำนา เรื่องคนล่วงลับไปแล้ว เบ็ดเตล็ด เรื่องโลก
เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้น.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เสด็จ
เข้าไปยังหอฉัน ประทับนั่งบนอาสนะอันเขาตบแต่งไว้ ครั้นแล้ว จึงตรัส
ถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุม
สนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ก็แหละกถาอะไรที่เธอทั้งหลายสนทนาค้าง
ไว้ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระ-
วโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุม
กันที่หอฉัน สนทนาซึ่งดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชา
เรื่องโจร ฯลฯ เรื่องความเจริญและความเสื่อม พระเจ้าข้า พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายสนทนากันถึง
ดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชา เรื่องโจร ฯลฯ
เรื่องความเจริญและความเสื่อมนี้ ไม่สมควรแก่เธอทั้งหลายผู้เป็นกุลบุตร
ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาเลย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการเป็นไฉน
คือ อัปปิจฉกถา ๑ สันตุฏฐิกถา ๑ ปวิเวกกถา ๑ อสังสัคคกถา ๑ วิริยา
รัมภกถา ๑ สีลกถา ๑ สมาธิกถา ๑ ปัญญากถา ๑ วิมุตติกถา ๑ วิมุตติญาณทัสสนกถา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้แล ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย หากว่าเธอทั้งหลายยึดถือเอากถาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้
แล้ว กล่าวเป็นกถาไซร้ เธอทั้งหลายพึงครอบงำเดชแม้ของพระจันทร์
และพระอาทิตย์ผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ด้วยเดชได้ จะป่วยกล่าวไปไย
ถึงปริพาชกอัญญเดียรถีย์ทั้งหลายเล่า.
จบสูตรที่ ๙
เอาไปวางแล้วค้นหาความหมายแต่ละกถา แล้วศึกษาตามกาลก่อน แม้แต่เราเองก็จะต้องพิจารณาธรรมข้อนี้ศึกษาอย่างละเอียดอ่อนเหมือนกัน เพราะถ้าไม่เริ่มจากตรงนี้ก็ตีไม่แตก ย่อมไม่มีปัญญาแทงตลอดได้ จะเป็นคนกลวง มีข้างนอกแต่ไม่มีข้างใน
สำหรับเรื่องอื่น
ดูหัวข้อแล้วพิจารณาอ่านให้ถึงข้อความข้างใน ว่าเรื่องไปในแนวทางใด ออกจาก กถาวัตถุทั้ง ๑๐ หรือไม่ เรื่องของธรรมะไม่ใช่เงาะหรือลิ้นจี่กระป๋อง แซนวิช ที่จะมาสอดไส้ผสมปนเปกัน
พยายามตัดให้ขาด นั่งคิดนอนคิดเวลาว่างๆ ว่าชีวิตๆหนึ่งสมควรคิดพิจารณาในเรื่องที่หาประโยชน์ได้จริงๆ ซึ่งไม่ใช่ประโยชน์แห่งทรัพย์ภายนอก ควรเป็นประโยชน์อันเป็นที่มาแห่งทรัพย์ภายในให้เจริญงอกงามในตน จะอดตายหรือถูกทอดทิ้งก็ช่างมัน
ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ อย่ารีบ อย่าบีบคั้นตนเอง ไม่อย่างนั้น จะถูกสภาวะสังคมคนรอบข้าง บีบคั้นความรู้สึกตนเอง เมื่อไม่มีที่ยึด ศรัทธาไม่มั่นคง อาจเสื่อมถอยและเกิดความท้อแท้ใจ จนละทิ้งจากมรรคผลที่จะได้
ถ้อยคำที่ควรพูด ๑๐ อย่าง
๑. อัปปิจฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย
ตรงข้ามกับคำชักจูงให้เกิดความโลภโมโทสัน
๒. สันตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษ ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้
ตรงข้ามกับ คำชักนำให้เกิดการแสวงหา ในสิ่งที่สะสมกิเลส
๓. ปวิเวกกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัดกายสงัดใจ
ตรงข้ามกับ ถ้อยคำส่อเสียดนินทา เพ้อเจ้อ เหลวไหล
๔. อสังสัคคกถา ถ้อยคำที่ชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่
๕. วิริยารัมภกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ปรารถนาความเพียร
๖. สีลกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล
๗. สมาธิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้สงบ
๘. ปัญญากถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา
๙. วิมุตติกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส
๑๐. วิมุตติญาณทัสสนกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิด ความรู้เห็นในความที่ใจพ้นจากกิเลส
https://www.youtube.com/watch?v=n2v1iLbg63k
เชื่อไหม?ว่า ถ้าล๊อกอินเปิดหน้าเปิดตาแสดงชื่อเสียงเรียงนาม คนที่ยังพอมีสติสัมปัชชัญญะอยู่บ้าง จะพูดจาไร้สาระน้อยลง
จะเรียนธรรมของพระพุทธเจ้าให้ได้สามัญผล ต้องตัดความสนใจจากเรื่อง ที่พระองค์ไม่ยินดีออกเสียก่อนจึงจะเป็นเหตุและผล ทำให้ได้ให้ถึงก่อน ค่อยว่ากันทีหลัง ทำไม่ได้ไม่ถึงมันจะขวางทางธรรมของตนเอง ไม่สามารถพิจารณาธรรม อันจักเจริญสูงขึ้นไปกว่านั้นได้
๙. ปฐมวัตถุกถาสูตร
ว่าด้วยกถาวัตถุ ๑๐ ประการ
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร
เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัย
นั้นแล ภิกษุเป็นอันมากกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุมกันที่
หอฉัน สนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชา เรื่อง
โจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องการรบ เรื่องข้าว เรื่อง
น้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน
เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องคนกล้าหาญ
เรื่องตรอก เรื่องทำนา เรื่องคนล่วงลับไปแล้ว เบ็ดเตล็ด เรื่องโลก
เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้น.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เสด็จ
เข้าไปยังหอฉัน ประทับนั่งบนอาสนะอันเขาตบแต่งไว้ ครั้นแล้ว จึงตรัส
ถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุม
สนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ก็แหละกถาอะไรที่เธอทั้งหลายสนทนาค้าง
ไว้ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระ-
วโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุม
กันที่หอฉัน สนทนาซึ่งดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชา
เรื่องโจร ฯลฯ เรื่องความเจริญและความเสื่อม พระเจ้าข้า พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายสนทนากันถึง
ดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชา เรื่องโจร ฯลฯ
เรื่องความเจริญและความเสื่อมนี้ ไม่สมควรแก่เธอทั้งหลายผู้เป็นกุลบุตร
ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาเลย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการเป็นไฉน
คือ อัปปิจฉกถา ๑ สันตุฏฐิกถา ๑ ปวิเวกกถา ๑ อสังสัคคกถา ๑ วิริยา
รัมภกถา ๑ สีลกถา ๑ สมาธิกถา ๑ ปัญญากถา ๑ วิมุตติกถา ๑ วิมุตติญาณทัสสนกถา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้แล ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย หากว่าเธอทั้งหลายยึดถือเอากถาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้
แล้ว กล่าวเป็นกถาไซร้ เธอทั้งหลายพึงครอบงำเดชแม้ของพระจันทร์
และพระอาทิตย์ผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ด้วยเดชได้ จะป่วยกล่าวไปไย
ถึงปริพาชกอัญญเดียรถีย์ทั้งหลายเล่า.
จบสูตรที่ ๙
เอาไปวางแล้วค้นหาความหมายแต่ละกถา แล้วศึกษาตามกาลก่อน แม้แต่เราเองก็จะต้องพิจารณาธรรมข้อนี้ศึกษาอย่างละเอียดอ่อนเหมือนกัน เพราะถ้าไม่เริ่มจากตรงนี้ก็ตีไม่แตก ย่อมไม่มีปัญญาแทงตลอดได้ จะเป็นคนกลวง มีข้างนอกแต่ไม่มีข้างใน
สำหรับเรื่องอื่น
ดูหัวข้อแล้วพิจารณาอ่านให้ถึงข้อความข้างใน ว่าเรื่องไปในแนวทางใด ออกจาก กถาวัตถุทั้ง ๑๐ หรือไม่ เรื่องของธรรมะไม่ใช่เงาะหรือลิ้นจี่กระป๋อง แซนวิช ที่จะมาสอดไส้ผสมปนเปกัน
พยายามตัดให้ขาด นั่งคิดนอนคิดเวลาว่างๆ ว่าชีวิตๆหนึ่งสมควรคิดพิจารณาในเรื่องที่หาประโยชน์ได้จริงๆ ซึ่งไม่ใช่ประโยชน์แห่งทรัพย์ภายนอก ควรเป็นประโยชน์อันเป็นที่มาแห่งทรัพย์ภายในให้เจริญงอกงามในตน จะอดตายหรือถูกทอดทิ้งก็ช่างมัน
ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ อย่ารีบ อย่าบีบคั้นตนเอง ไม่อย่างนั้น จะถูกสภาวะสังคมคนรอบข้าง บีบคั้นความรู้สึกตนเอง เมื่อไม่มีที่ยึด ศรัทธาไม่มั่นคง อาจเสื่อมถอยและเกิดความท้อแท้ใจ จนละทิ้งจากมรรคผลที่จะได้
ถ้อยคำที่ควรพูด ๑๐ อย่าง
๑. อัปปิจฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย
ตรงข้ามกับคำชักจูงให้เกิดความโลภโมโทสัน
๒. สันตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษ ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้
ตรงข้ามกับ คำชักนำให้เกิดการแสวงหา ในสิ่งที่สะสมกิเลส
๓. ปวิเวกกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัดกายสงัดใจ
ตรงข้ามกับ ถ้อยคำส่อเสียดนินทา เพ้อเจ้อ เหลวไหล
๔. อสังสัคคกถา ถ้อยคำที่ชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่
๕. วิริยารัมภกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ปรารถนาความเพียร
๖. สีลกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล
๗. สมาธิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้สงบ
๘. ปัญญากถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา
๙. วิมุตติกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส
๑๐. วิมุตติญาณทัสสนกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิด ความรู้เห็นในความที่ใจพ้นจากกิเลส
https://www.youtube.com/watch?v=n2v1iLbg63k