ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนะคะ ว่าเราอายุ 29 แต่งงานกับแฟนอายุ 27 มาแล้ว 2 ปีกว่า มีลูกสาว 1 คน อายุ ใกล้จะ 2 ขวบ และกำลังตั้งท้องลูกคนที่ 2 อยู่ค่ะ
ตอนคบกันจนแต่งงานก็ไม่เคยรู้ว่าเค้าชอบหรือรักใน Big Bike มาก่อน รู้แต่ว่าตอนสมัยมัธยมเคยขี่อยู่พักนึง
ด้วยความที่เรา 2 คนเริ่มต้นสร้างครอบครัวแบบค่อนข้างก้าวกระโดด ไม่ใช่แบบค่อยเป็นค่อยไป
คือมีทั้งบ้าน และรถยนต์อีก 2 คัน เนื่องจากแยกกันทำงานคนละที่จึงจำเป็นต้องมีรถ 2 คัน ซึ่งต้องผ่อนหมดทุกอย่าง
ด้วยรายได้ 2 คนรวมกันประมาณ 100K/เดือน
บ้าน ประมาณ 20,000/เดือน
รถ 2 คัน 25,000/เดือน
เงินกู้ตอนเริ่มสร้างครอบครัวอีกประมาณ 400,000 บาท ผ่อนอยู่ประมาณ 14,000/เดือน
หนี้บัตรเครดิตอีกประมาณ 10,000/เดือน
ยังไม่รวมค่าพี่เลี้ยงลูก นม ของใช้ ค่ากินอยู่จิปาถะ
เดือนๆนึงก็ค่อนข้างแน่นค่ะ แทบไม่มีเงินเก็บกันเลย
เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อต้นปีแฟนไปออกรถ Big Bike มาโดยไม่ได้บอกเราเลย คือเรารู้ว่าเค้าอยากได้มาพักนึงแล้ว เพราะแฟนเคยมาคุยด้วย
แต่เราก็เคยบอกไปว่าอย่าเพิ่งซื้อตอนนี้เลย เรามีภาระหนี้สินอีกเยอะ ไหนจะต้องเก็บเงินไว้ให้ลูกอีก
รอผ่อนรถหมดซักคันค่อยซื้อก็ยังได้ เราก็คิดว่าแฟนจะเข้าใจและเชื่อในสิ่งที่เราพูด
เราคุยกันว่าจะกู้เงินมาปิดหนี้บัตรเครดิต เพื่อจะได้ผ่อนจ่ายด้วยเงินที่น้อยกว่า และจ่ายที่เดียวไม่ต้องวุ่นวาย
เรามีหนี้บัตรเครดิตอยู่ 60,000 บาท คือคิดว่าถ้าแฟนกู้ซัก 100,000 ก็คงพอ
แต่ที่ไหนได้เค้าไปทำเรื่องกู้มา 200,000
วันที่รู้ว่าเค้าไปวางเงินดาวน์ และออกรถมาคือเราโกรธมาก เพราะเค้ามัดมือชก และเหมือนเป็นการโกหก
จริงๆแล้วเค้าเอาเงินกู้ 100,000 บาทไปดาวน์รถ Big Bike แล้วต้อง ผ่อนอีกค่างวดอีกเดือนละ 14,000 บาท
รถที่เค้าซื้อมันเป็นตัวท็อป 1,000 CC ราคาเต็มประมาณ 700,000 บาท
ณ ตอนนั้นคือเราแบบว่า โกรธจนร้องไห้ พูดกับแฟนว่าแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาผ่อน
คือแฟนเราคิดแค่ว่าเงินเดือนเค้าพอผ่อนรถ 3 คันได้ แต่ในคำว่าได้คือ เงินเดือนออกมาก็หมดเลย ไม่เหลือใช้ ไม่เหลือเก็บ
แล้วเราก็ต้องมารับภาระผ่อนเงินดาวน์ที่ไปกู้มาอีก กลายเป็นว่าภาระค่าใช้จ่ายอย่างอื่นตกมาเป็นของเราคนเดียว ซึ่งมันเดือนชนเดือนกันเลยทีเดียว
หลังจากทะเลาะกันอยู่พักใหญ่ เราก็พยายามทำใจ เพราะคิดว่ายังไงเค้าก็ซื้อไปแล้ว
แต่ความกังวลใจหลังจากนั้นคือ พอมีรถ ก็ต้องเข้ากลุ่ม เข้าสังคม Big Bike
เดี๋ยวก็มี Meeting เดี๋ยวก็มีออกทริป
สิ่งที่ตามมาคือ แทนที่จะเอาเวลามาช่วยกันดูลูก ดูแลครอบครัว เนื่องจากเราเลี้ยงลูกกันเองค่ะ กลางวันจ้างพี่เลี้ยงเอา เพราะต้องทำงานกันทั้งคู่
แฟนก็ต้องแบ่งเวลาไปให้สังคม Big Bike
มันยิ่งทำให้เรารู้สึกอคติกับมันมากขึ้น
แล้วยังไม่นับรวมกับผญ.ที่จะเข้าหาเพราะความเท่ของคนที่ขับ Big Bike อีก ถึงแม้ว่าเราจะพยายามเชื่อใจแฟน
แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะจากที่เคยสัมผัสกับเพื่อนๆในกลุ่มเค้า มีหลายคนมากที่มีเรื่องผญ.เข้ามาเกี่ยว เปลี่ยนผญ.เป็นว่าเล่น
ออกทริปนึงก็พาคนนึงไป พออีกทริปก็พาอีกคนไป เราเคยไปด้วยครั้งนึงรู้สึกได้เลยว่าสังคมมันไม่โอเคเลยสำหรับคนที่มีครอบครัวแล้ว
นอกจากปัญหาที่พูดมา ทุกวันที่เค้าออกไปขี่รถ มันก็มีแต่ความกังวลใจ ความป็นห่วง
เพราะแฟนชอบออกไปกินเหล้ากับเพื่อนแล้วขี่ Big Bike ไป ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขี่ Big Bike ถ้ากินเหล้า
ไอเรานอนรออยู่ที่บ้านก็กังวล เป็นห่วงอยู่ตลอด เคยคุยกันหลายครั้งแล้ว เค้าก็รับปากว่าจะขับขี่อย่างปลอดภัย
แต่คำว่าอุบัติเหตุใครมันจะไปคาดเดาได้ถูกมั๊ยคะ
ก็จริงที่บอกว่าขับขี่รถอะไรก็เกิดอุบัติเหตุได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่นี่มันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงขึ้นมาอีก
หนักใจและเหนื่อยใจมากค่ะ
บางทีก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง คิดยังไง มันถึงจะดีกับเราทั้งคู่
ใครมีประสบการ์แบบนี้ และผ่านมันมาได้ด้วยดี มาแชร์กันบ้างนะคะ
คนที่เป็นภรรยาจะบริหารจัดการยังไงกับเรื่องการขี่ Big Bike ของผู้ชาย
ตอนคบกันจนแต่งงานก็ไม่เคยรู้ว่าเค้าชอบหรือรักใน Big Bike มาก่อน รู้แต่ว่าตอนสมัยมัธยมเคยขี่อยู่พักนึง
ด้วยความที่เรา 2 คนเริ่มต้นสร้างครอบครัวแบบค่อนข้างก้าวกระโดด ไม่ใช่แบบค่อยเป็นค่อยไป
คือมีทั้งบ้าน และรถยนต์อีก 2 คัน เนื่องจากแยกกันทำงานคนละที่จึงจำเป็นต้องมีรถ 2 คัน ซึ่งต้องผ่อนหมดทุกอย่าง
ด้วยรายได้ 2 คนรวมกันประมาณ 100K/เดือน
บ้าน ประมาณ 20,000/เดือน
รถ 2 คัน 25,000/เดือน
เงินกู้ตอนเริ่มสร้างครอบครัวอีกประมาณ 400,000 บาท ผ่อนอยู่ประมาณ 14,000/เดือน
หนี้บัตรเครดิตอีกประมาณ 10,000/เดือน
ยังไม่รวมค่าพี่เลี้ยงลูก นม ของใช้ ค่ากินอยู่จิปาถะ
เดือนๆนึงก็ค่อนข้างแน่นค่ะ แทบไม่มีเงินเก็บกันเลย
เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อต้นปีแฟนไปออกรถ Big Bike มาโดยไม่ได้บอกเราเลย คือเรารู้ว่าเค้าอยากได้มาพักนึงแล้ว เพราะแฟนเคยมาคุยด้วย
แต่เราก็เคยบอกไปว่าอย่าเพิ่งซื้อตอนนี้เลย เรามีภาระหนี้สินอีกเยอะ ไหนจะต้องเก็บเงินไว้ให้ลูกอีก
รอผ่อนรถหมดซักคันค่อยซื้อก็ยังได้ เราก็คิดว่าแฟนจะเข้าใจและเชื่อในสิ่งที่เราพูด
เราคุยกันว่าจะกู้เงินมาปิดหนี้บัตรเครดิต เพื่อจะได้ผ่อนจ่ายด้วยเงินที่น้อยกว่า และจ่ายที่เดียวไม่ต้องวุ่นวาย
เรามีหนี้บัตรเครดิตอยู่ 60,000 บาท คือคิดว่าถ้าแฟนกู้ซัก 100,000 ก็คงพอ
แต่ที่ไหนได้เค้าไปทำเรื่องกู้มา 200,000
วันที่รู้ว่าเค้าไปวางเงินดาวน์ และออกรถมาคือเราโกรธมาก เพราะเค้ามัดมือชก และเหมือนเป็นการโกหก
จริงๆแล้วเค้าเอาเงินกู้ 100,000 บาทไปดาวน์รถ Big Bike แล้วต้อง ผ่อนอีกค่างวดอีกเดือนละ 14,000 บาท
รถที่เค้าซื้อมันเป็นตัวท็อป 1,000 CC ราคาเต็มประมาณ 700,000 บาท
ณ ตอนนั้นคือเราแบบว่า โกรธจนร้องไห้ พูดกับแฟนว่าแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาผ่อน
คือแฟนเราคิดแค่ว่าเงินเดือนเค้าพอผ่อนรถ 3 คันได้ แต่ในคำว่าได้คือ เงินเดือนออกมาก็หมดเลย ไม่เหลือใช้ ไม่เหลือเก็บ
แล้วเราก็ต้องมารับภาระผ่อนเงินดาวน์ที่ไปกู้มาอีก กลายเป็นว่าภาระค่าใช้จ่ายอย่างอื่นตกมาเป็นของเราคนเดียว ซึ่งมันเดือนชนเดือนกันเลยทีเดียว
หลังจากทะเลาะกันอยู่พักใหญ่ เราก็พยายามทำใจ เพราะคิดว่ายังไงเค้าก็ซื้อไปแล้ว
แต่ความกังวลใจหลังจากนั้นคือ พอมีรถ ก็ต้องเข้ากลุ่ม เข้าสังคม Big Bike
เดี๋ยวก็มี Meeting เดี๋ยวก็มีออกทริป
สิ่งที่ตามมาคือ แทนที่จะเอาเวลามาช่วยกันดูลูก ดูแลครอบครัว เนื่องจากเราเลี้ยงลูกกันเองค่ะ กลางวันจ้างพี่เลี้ยงเอา เพราะต้องทำงานกันทั้งคู่
แฟนก็ต้องแบ่งเวลาไปให้สังคม Big Bike
มันยิ่งทำให้เรารู้สึกอคติกับมันมากขึ้น
แล้วยังไม่นับรวมกับผญ.ที่จะเข้าหาเพราะความเท่ของคนที่ขับ Big Bike อีก ถึงแม้ว่าเราจะพยายามเชื่อใจแฟน
แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะจากที่เคยสัมผัสกับเพื่อนๆในกลุ่มเค้า มีหลายคนมากที่มีเรื่องผญ.เข้ามาเกี่ยว เปลี่ยนผญ.เป็นว่าเล่น
ออกทริปนึงก็พาคนนึงไป พออีกทริปก็พาอีกคนไป เราเคยไปด้วยครั้งนึงรู้สึกได้เลยว่าสังคมมันไม่โอเคเลยสำหรับคนที่มีครอบครัวแล้ว
นอกจากปัญหาที่พูดมา ทุกวันที่เค้าออกไปขี่รถ มันก็มีแต่ความกังวลใจ ความป็นห่วง
เพราะแฟนชอบออกไปกินเหล้ากับเพื่อนแล้วขี่ Big Bike ไป ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขี่ Big Bike ถ้ากินเหล้า
ไอเรานอนรออยู่ที่บ้านก็กังวล เป็นห่วงอยู่ตลอด เคยคุยกันหลายครั้งแล้ว เค้าก็รับปากว่าจะขับขี่อย่างปลอดภัย
แต่คำว่าอุบัติเหตุใครมันจะไปคาดเดาได้ถูกมั๊ยคะ
ก็จริงที่บอกว่าขับขี่รถอะไรก็เกิดอุบัติเหตุได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่นี่มันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงขึ้นมาอีก
หนักใจและเหนื่อยใจมากค่ะ
บางทีก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง คิดยังไง มันถึงจะดีกับเราทั้งคู่
ใครมีประสบการ์แบบนี้ และผ่านมันมาได้ด้วยดี มาแชร์กันบ้างนะคะ