บทที่ 2 – นิทานของซอนคิส
“ไง” ผมเอื้อมมือแตะหลังแมทที่โต๊ะประจำเวลาข้าวเที่ยง “บทคัดย่อเป็นไงมั้ง”
“ก็ดี แต่ฉันว่านายน่าจะทำได้ดีกว่านั้นนะ” แมทบ่น
“อ๋อ เมื่อวานมีเรื่องวุ่นวายใจนิดหน่อย”
“แต่เอาเถอะ” แมทยักไหล่ “อาจารย์สวันน่ากับผู้เชียวชาญก็ไม่ได้ว่าอะไร…ว่าแต่ อะไรล่ะที่ทำให้นายวุ่นวายใจเมื่อวาน”
ผมเขี่ยอาหารบนจาน “ก็เรื่อง...”
“ถ้าฉันอยากให้นายมานั่งที่นี่ ฉันคงจับนายมัดไว้ที่นี่แทนที่จะเป็นที่ห้องน้ำนะ เทเลอร์”
เสียงของมาเฟียขาใหญ่ของโรงเรียนดังขึ้น ลูกัสพร้อมลูกสมุนนักกีฬาเดินกร่างเข้ามาในโรงอาหาร เขารวยและรวยมาก อีกทั้งพ่อก็ยังเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ให้กับสมาคมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียน เลยไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งด้วย แต่เขาซะมากกว่าที่ชอบวุ่นวายและรังแกคนอื่น มาว่าด้วยลักษณะเขากันดีกว่า คุณลองนึกภาพตามผมนะ ลูกัสเป็นเด็กตัวใหญ่ที่สุดในชั้น ผมว่าใหญ่ที่สุดในโรงเรียนเลยก็ว่าได้ เขามีผมสีทองกับกระบนใบหน้าที่ทำให้ผมนึกถึงกลุ่มดาวบนท้องฟ้ายามไร้แสงจันทร์ ผ้าเช็ดหน้าจะถูกผูกอยู่บนศีรษะเหมือนพวกนักร้องเพลงร็อคยุค 80 หรือไม่ก็ข้อมือขวา พุงน้อย ๆ ของเขาที่ยื่นออกมาทำให้เสื้อขนาด XXL ดูเล็กลงไปถนัดตา โซ่สำหรับล่ามช้าง เขาคล้องมันระหว่างกระเป๋ากางเกงกับเข็มขัด นี่แหละคือสิ่งที่เขาคิดว่ามันช่างลงตัวเหลือเกิน และถ้าคุณเคยไปทัศนศึกษากับเขาและเราแวะพักทานข้าวกลางวันกันที่ภัตตาคารชื่อดัง คุณจะเห็นยีนส์เด่นของเขาในระยะไม่ถึงหนึ่งเมตรและอยากรู้สึกอาเจียนเพราะนั่นมันน่าหดหู่มากกว่าคุณดูรายการเฟียแฟ็คเตอร์ตอนกินแมลงวันแฮมเบอร์เกอร์ซะอีก นี่ยังไม่นับความโดดเด่นที่หามีไม่ในด้านกีฬาของเขานะ เงินมันทำได้ทุกอย่างจริง ๆ
“เอิ่ม นายมีปัญหาอะไรหนักหนา ลูกัส!..” ผมเสียงดัง “ย้ายก้นอวบ ๆ ของนายกลับไปที่โต๊ะหรือใช้เวลาของนายไปวิ่งรอบสนาม ทำให้โรงเรียนได้แชมป์บ้างเถอะ”
แม้ว่าคำตอบผมดูไม่ควรมากนัก แต่มันก็ทำให้โรงอาหารเงียบกริบ และวินาทีนี้ผมบอกได้เลย ผมไม่ได้กังวลกับการต่อล้อต่อเถียงนี้ เพราะแมทสามารถป้องปกผมได้ในระดับหนึ่ง
ลูกัสขยับคอซ้ายขวา สูดหายใจลึกเหมือนพยายามเก็บอาการปะทุของภูเขาไฟ และก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาใกล้ผม แมทเท้าตัวยืนขึ้นและหันไปจ้องหน้าแบบไม่เกรงกลัว หลาย ๆ โรงเรียนมีแต่การรังแก และผมเชื่อว่า คุณคงเลี่ยงการปะทะที่อาจทำให้ตายได้แบบนี้ แต่ผมโชคดีที่ในบางครั้ง ผมจะมีฝีปากในตอนที่มีคนปกป้องผมได้ ลูกัสไม่ได้ทำอะไร เขาแค่มองหน้าและใช้สองนิ้วชี้หน้าผมเสมือนว่าเขามองดูผมอยู่นะ และเสียงในโรงอาหารก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“นายไม่ควรพูดแบบนั้นนะ” เสียงของหญิงสาวผมน้ำตาลดังขึ้นห่างจากโต๊ะด้านหลัง “นายถ้าไม่เจ็บตัว นายก็อาจมีเรื่อง ซึ่งมีผลต่อรายงานความประพฤติในการเข้ามหาวิทยาลัย”
หญิงสาวผมน้ำตาลคนนี้คือ เทรซี่ เธอเคยเรียนห้องเดียวกับผมตอนเกรดแปด เธอเป็นคนเรียนเก่งครับ แต่เรามีเรื่องผิดใจกันเล็กน้อยจนทำให้พักหลังไม่ค่อยสุงสิงกัน อย่างไรก็ตามเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา เธอกลับมาคุยกับผมเหมือนจะปกติ แต่ทุกครั้งที่กลับมา เธอมักจะติเตียนเรื่องต่าง ๆ จนทำให้ผมรู้สึกพิลึกพิลั่น
“ขอบคุณ เทรซ”
“อาจารย์สวันน่าเรียกหานะ เห็นอาจารย์บอกว่าเขาสนใจในสิ่งที่เธอทำ” เธอพูดห้วน กอดหนังสือแล้วลุกจากโต๊ะ...
แม้ว่าบทสนทนาจะดูเรียบปกติ แต่ผมก็รู้สึกแปลก ๆ ว่าอะไรถูกอกถูกใจอาจารย์สวันน่าถึงกับต้องตามหาตัวผมเพราะในบ่ายวันนี้ ผมก็มีเรียนกับเธออยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในวิชาเรียนของอาจารย์สวันน่า เธอไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตามหาผมเลย และผมก็ไม่มีโอกาสที่จะถามว่าทำไม จวบจนกระทั่งออดดัง ผมจึงตามอาจารย์เดินไปที่พัก
“คุณตามฉันมาทำไม คุณบรู๊ค” อาจารย์ใคร่รู้ผ่านแว่นตา
ผมหยุดและไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร “คือว่า...เทรซี่บอกว่าอาจารย์ต้องการพบผม”
อาจารย์ขมวดคิ้วจนเห็นรอยย่นบนหน้าผาก เธอทำท่าคิดหลายวินาทีก่อนที่จะพูดว่า “น่าจะเป็นผู้เชียวชาญนะที่อยากอ่านบทคัดย่อของเธอมากกว่า คุณบรู๊ค”
เธอเหลียวตัวและชี้ไปยังห้องพักอาจารย์ของเธอ
“แต่ผมยังไม่ได้ทำเลยครับ อาจารย์”
“แต่เธอก็น่าจะเตรียมตัวมาแล้วบ้าง ใช่ไหม” อาจารย์พยักพเยิด
แหม่ ปฏิเสธไม่ได้เลย ได้แต่พยักหน้าคล้อยตามเธอไป
ชายร่างท้วมนั่งในห้องกับสูทสีกรมท่า แว่นตาที่สวมใส่แสดงถึงความภูมิฐานและเชี่ยวชาญในองค์ความรู้ที่มีพอตัว เขาไม่ได้ตกใจเมื่อเห็นผมเข้าไปในห้องแต่กลับยิ้มอย่างเป็นมิตร เขาผายมือเชิญให้ผมนั่งบนเก้าอี้ แต่ผมยังรู้สึกกระอักกระอ่วนพิกล อาจจะเป็นเพราะนักเรียนเกรดสี่ล้วนแบบผมไม่ได้เตรียมตัวมา แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยปาก เช่น ไหนเอาบทคัดย่อมาดูสิ หรือ คุณได้นำเอกสารอะไรมาไหม ผมต้องชิงจังหวะนี้ก่อน
“สวัสดีครับ ผู้เชี่ยวชาญ…” ผมหยุดหายใจ “...ฟรานซิส?”
“เรียกผม ศาสตราจารย์แฟรงค์” เขายิ้ม
“โอเคครับ…ด้วยความที่มันค่อนข้างกระชั้นชิด ทำให้ผมไม่ได้เตรียมเอกสารมาเลยครับ แต่ผมก็พอมีความรู้ในเรื่องที่ผมต้องการนำเสนออยู่บ้าง ผมสามารถอธิบายแบบปากเปล่าได้ไหมครับ
ศาสตราจารย์พยักหน้า
“ผมเทเลอร์ บรู๊ค ผมสนใจเรื่อง อาณาจักรแอตแลนติส”
เขาฉีกยิ้มบนใบหน้า แลดูสนใจใคร่รู้กับสิ่งที่ผมเพิ่งบอกไป
“อาณาจักรแอตแลนติส ค่อนข้างน่าสนใจนะ แต่คุณรู้ใช่ไหม นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องนี้กันเท่าที่ควรเพราะพวกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เพลโตสร้างขึ้นจากจินตนาการโดยเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาสองเรื่องคือทีเมอุสและครีทีอัส” เขาพูดพลางหันหลังไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งในกระเป๋า
“นั่นคือเหตุผลที่ผมพยายามทำรายงานเรื่องนี้ครับ ถ้าผมสามารถพิสูจน์สมมุติฐานให้เป็นจริงได้”
ศาสตราจารย์แฟรงค์ชำเลืองผมผ่านเลนส์แว่น
“คุณคิดแบบนั้นเหรอ”
ผมยังไม่ทันจะตอบ อันที่จริงผมไม่คิดที่จะตอบเลยด้วยซ้ำ เขาก็พูดขึ้นว่า
“จริง ๆ นะ คุณบรู๊ค คุณทำให้ผมคิดถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ ที่สนใจในเรื่อง ลึกลับ และเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมสนใจตอนที่ผมอายุเท่าคุณหรืออาจจะน้อยกว่าคุณ ผมมีความฝันอยากเป็นนักโบราณคดี ขุดพบแหล่งอารยธรรมโบราณที่หายไป”
“อ๋อ ครับ”
“แต่ผมล้มเลิกความตั้งใจเมื่อผมได้เจอหนังสือเล่มนี้ของปู่”
เขาวางหนังสือเล่มหนึ่งบนโต๊ะหนังสือซึ่งหุ้มด้วยปกหนังสัตว์ ดูโบราณมากกว่าหนังสือที่ผมจะได้มาจากห้องสมุด
“หนังสืออะไรครับ”
“คุณก็ลองทายดูสิ” ศาสตราจารย์แฟรงค์เอนตัวไปพิงเก้าอี้ มือประสานกันที่หน้าอก รอชื่นชมกับคำตอบของผมพอตัว
“เออ...ไม่รู้สิครับ ผมคิดไม่ออก”
เขาชักสีหน้า ขยับแว่นตาเล็กน้อยและนั่งตัวตรง “นี่คือส่วนเต็มจากเรื่องที่เพลโตเขียน” แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบหรือนั่นอาจจะจบประโยคแล้วก็ได้ ผมก็แทรกด้วยอาการตื่นตูมว่า
“ศาสตราจารย์กำลังหมายความว่านี่คือ...”
“เรื่องเต็ม ๆ ของทีเมอุสและครีทีอัสที่เกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส” เขาต่อประโยคจบ
ความไม่เข้าใจวิ่งเข้าสู่สมอง และเวลาเหมือนจะหยุดลงไปดื้อ ๆ แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่สงสัยก็กลับพลั่งพรูราวกับขุดเจอบ่อน้ำมัน คำถามนับร้อยเบียดเสียดผ่านลำคอทำให้น้ำลายแห้งผาก
“แต่ผมอ่านบทสนทนาเต็มของเรื่องนี้มาหมดแล้ว มันจะมีอะไรที่ซ่อนอยู่อีกละครับ”
“ไหนลองเล่าเรื่องที่คุณรู้มาสิ คุณบรู๊ค”
ศาสตราจารย์แฟรงค์ยิ้มแต่มันทำให้ผมไม่ค่อยชอบใจมากนัก ผมสูดอากาศและพยายามตั้งสติกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้ เพราะมันค่อนข้างดูสับสนเล็กน้อย
“เพลโตบอกว่าเขาฟังเรื่องนี้มาจากลุงของเขาอีกทีซึ่งมันเกี่ยวข้องกับโซลอน นักบัญญัติกฎหมายชาวกรีกที่ได้ยินเรื่องแอตแลนติสมาจากพระชาวอียิปต์ โซลอนเล่าเรื่องนี้ให้โดรพิเดสฟัง”
ผมหยุดพักหายใจ
“และโดรพิเดสก็เล่าเรื่องนี้ให้ผู้เฒ่าครีทีอัสฟัง หลังจากนั้นผู้เฒ่าครีทีอัสก็เล่าเรื่องนี้ให้หลานที่ชื่อ ครีทีอัส ฟังอีกทอดซึ่งครีทีอัสคนนี้เป็นลุงของเพลโต”
ศาสตราจารย์แฟรงค์ลืมตาหลังจากหลับได้สักพัก เขากระพริบตาช้า ๆ ไปหนึ่งครั้งเพื่อลำดับความคิดตามผมอยู่
“จากพระชาวอียิปต์ที่มีชื่อว่าซอนคิสเล่าให้โซลอน...”
“เดี๋ยวครับ” ผมทักท้วงเสียงดัง “เพลโตไม่ได้บอกเลยว่าพระชาวอียิปต์ชื่ออะไร”
เขาทำทำหน้าฉงน “ถามได้ดีมากคุณบรู๊ค” ศาสตราจารย์แฟรงค์ยกมือขึ้นประสานบนโต๊ะ
“คุณพูดถูกเพลโตไม่ได้เอ่ยถึงชื่อพระชาวอียิปต์คนนั้น แต่ถ้าเรามาศึกษาหนังสือ วิถีของโซลอน (Life of Solon) และหนังสือ เทพไอซิสและโอซิริส (On Isis and Osiris) พลูทาร์กได้ให้รายละเอียดเล็กน้อยเกี่ยวกับนักปรัชญาชาวกรีกที่เดินทางไปศึกษาที่อียิปต์ ในช่วงเวลานั้นพระชาวอียิปต์ผู้สอนโซลอนก็คือ ซอนคิส มันจึงไม่แปลกที่ซอนคิสจะเล่าเรื่องนี้ให้โซลอนฟัง”
“แต่เราก็สรุปไม่ได้นะครับว่าเขาคือซอนคิส โซลอนอาจจะไปได้ยินเรื่องนี้มาจากคนอื่นก็ได้”
“แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นแบบนั้น แต่การที่โซลอนเอาเรื่องนี้มาพูดมันต้องมีมูลความจริง ผมไม่คิดว่าโซลอนจะเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังถ้ามันมาจากคนที่ไม่ใช่อาจารย์ของเขา” ศาสตราจารย์แย้ง
แม้ว่าผมจะไม่เต็มใจกับคำอธิบายมากนัก แต่ผมก็ต้องพยักหน้ารับ เพื่อให้เรื่องดำเนินไปต่อ
“ซอนคิส โซลอน โดรพิเดส ผู้เฒ่าครีทีอัส ครีทีอัสและท้ายสุด เพลโต หลายต่อเลยสินะ แค่ผมคิดเล่น ๆ นี่มันดูเหลือเชื่อมากนะคุณบรู๊คที่เรื่องราวกว่าเก้าพันห้าร้อยปีจะผ่านปากต่อปากโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อหา แค่สมมุติฐานข้อเดียว มันก็สามารถบอกได้ว่าเรื่องราวจริง ๆ คงเปลี่ยนไปหมดแล้ว และเราก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริง หรือแค่จินตนาการ” ศาสตราจารย์อธิบาย
ผมคิดตาม มันก็มีเหตุผลแต่…
“ถ้านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง เพลโตก็ต้องอ้างอิงสิครับว่ามันเป็นตำนานหรือเขาต้องใส่ความคิดเห็นของตนเองลงไปเพื่อสื่อว่าเมืองนี้ไม่มีอยู่จริง เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่ทรงคุณธรรมคนหนึ่งของกรีกนะครับ เขาคงไม่โกหกเรื่องแบบนี้หรอก”
“จริง ๆ แล้วผมคิดว่าเพลโตไม่ได้โกหกเราแม้แต่น้อย เพียงแต่สิ่งที่เพลโตเล่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง หรือ ส่วนที่เพลโตรู้มาเท่านั้น” เขาตอบ
“ยังไงครับ”
มีต่อ...
อัศวินเทเลอร์กับอาณาจักรแอตแลนติส...บทที่ 2 – นิทานของซอนคิส
“ไง” ผมเอื้อมมือแตะหลังแมทที่โต๊ะประจำเวลาข้าวเที่ยง “บทคัดย่อเป็นไงมั้ง”
“ก็ดี แต่ฉันว่านายน่าจะทำได้ดีกว่านั้นนะ” แมทบ่น
“อ๋อ เมื่อวานมีเรื่องวุ่นวายใจนิดหน่อย”
“แต่เอาเถอะ” แมทยักไหล่ “อาจารย์สวันน่ากับผู้เชียวชาญก็ไม่ได้ว่าอะไร…ว่าแต่ อะไรล่ะที่ทำให้นายวุ่นวายใจเมื่อวาน”
ผมเขี่ยอาหารบนจาน “ก็เรื่อง...”
“ถ้าฉันอยากให้นายมานั่งที่นี่ ฉันคงจับนายมัดไว้ที่นี่แทนที่จะเป็นที่ห้องน้ำนะ เทเลอร์”
เสียงของมาเฟียขาใหญ่ของโรงเรียนดังขึ้น ลูกัสพร้อมลูกสมุนนักกีฬาเดินกร่างเข้ามาในโรงอาหาร เขารวยและรวยมาก อีกทั้งพ่อก็ยังเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ให้กับสมาคมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียน เลยไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งด้วย แต่เขาซะมากกว่าที่ชอบวุ่นวายและรังแกคนอื่น มาว่าด้วยลักษณะเขากันดีกว่า คุณลองนึกภาพตามผมนะ ลูกัสเป็นเด็กตัวใหญ่ที่สุดในชั้น ผมว่าใหญ่ที่สุดในโรงเรียนเลยก็ว่าได้ เขามีผมสีทองกับกระบนใบหน้าที่ทำให้ผมนึกถึงกลุ่มดาวบนท้องฟ้ายามไร้แสงจันทร์ ผ้าเช็ดหน้าจะถูกผูกอยู่บนศีรษะเหมือนพวกนักร้องเพลงร็อคยุค 80 หรือไม่ก็ข้อมือขวา พุงน้อย ๆ ของเขาที่ยื่นออกมาทำให้เสื้อขนาด XXL ดูเล็กลงไปถนัดตา โซ่สำหรับล่ามช้าง เขาคล้องมันระหว่างกระเป๋ากางเกงกับเข็มขัด นี่แหละคือสิ่งที่เขาคิดว่ามันช่างลงตัวเหลือเกิน และถ้าคุณเคยไปทัศนศึกษากับเขาและเราแวะพักทานข้าวกลางวันกันที่ภัตตาคารชื่อดัง คุณจะเห็นยีนส์เด่นของเขาในระยะไม่ถึงหนึ่งเมตรและอยากรู้สึกอาเจียนเพราะนั่นมันน่าหดหู่มากกว่าคุณดูรายการเฟียแฟ็คเตอร์ตอนกินแมลงวันแฮมเบอร์เกอร์ซะอีก นี่ยังไม่นับความโดดเด่นที่หามีไม่ในด้านกีฬาของเขานะ เงินมันทำได้ทุกอย่างจริง ๆ
“เอิ่ม นายมีปัญหาอะไรหนักหนา ลูกัส!..” ผมเสียงดัง “ย้ายก้นอวบ ๆ ของนายกลับไปที่โต๊ะหรือใช้เวลาของนายไปวิ่งรอบสนาม ทำให้โรงเรียนได้แชมป์บ้างเถอะ”
แม้ว่าคำตอบผมดูไม่ควรมากนัก แต่มันก็ทำให้โรงอาหารเงียบกริบ และวินาทีนี้ผมบอกได้เลย ผมไม่ได้กังวลกับการต่อล้อต่อเถียงนี้ เพราะแมทสามารถป้องปกผมได้ในระดับหนึ่ง
ลูกัสขยับคอซ้ายขวา สูดหายใจลึกเหมือนพยายามเก็บอาการปะทุของภูเขาไฟ และก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาใกล้ผม แมทเท้าตัวยืนขึ้นและหันไปจ้องหน้าแบบไม่เกรงกลัว หลาย ๆ โรงเรียนมีแต่การรังแก และผมเชื่อว่า คุณคงเลี่ยงการปะทะที่อาจทำให้ตายได้แบบนี้ แต่ผมโชคดีที่ในบางครั้ง ผมจะมีฝีปากในตอนที่มีคนปกป้องผมได้ ลูกัสไม่ได้ทำอะไร เขาแค่มองหน้าและใช้สองนิ้วชี้หน้าผมเสมือนว่าเขามองดูผมอยู่นะ และเสียงในโรงอาหารก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“นายไม่ควรพูดแบบนั้นนะ” เสียงของหญิงสาวผมน้ำตาลดังขึ้นห่างจากโต๊ะด้านหลัง “นายถ้าไม่เจ็บตัว นายก็อาจมีเรื่อง ซึ่งมีผลต่อรายงานความประพฤติในการเข้ามหาวิทยาลัย”
หญิงสาวผมน้ำตาลคนนี้คือ เทรซี่ เธอเคยเรียนห้องเดียวกับผมตอนเกรดแปด เธอเป็นคนเรียนเก่งครับ แต่เรามีเรื่องผิดใจกันเล็กน้อยจนทำให้พักหลังไม่ค่อยสุงสิงกัน อย่างไรก็ตามเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา เธอกลับมาคุยกับผมเหมือนจะปกติ แต่ทุกครั้งที่กลับมา เธอมักจะติเตียนเรื่องต่าง ๆ จนทำให้ผมรู้สึกพิลึกพิลั่น
“ขอบคุณ เทรซ”
“อาจารย์สวันน่าเรียกหานะ เห็นอาจารย์บอกว่าเขาสนใจในสิ่งที่เธอทำ” เธอพูดห้วน กอดหนังสือแล้วลุกจากโต๊ะ...
แม้ว่าบทสนทนาจะดูเรียบปกติ แต่ผมก็รู้สึกแปลก ๆ ว่าอะไรถูกอกถูกใจอาจารย์สวันน่าถึงกับต้องตามหาตัวผมเพราะในบ่ายวันนี้ ผมก็มีเรียนกับเธออยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในวิชาเรียนของอาจารย์สวันน่า เธอไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตามหาผมเลย และผมก็ไม่มีโอกาสที่จะถามว่าทำไม จวบจนกระทั่งออดดัง ผมจึงตามอาจารย์เดินไปที่พัก
“คุณตามฉันมาทำไม คุณบรู๊ค” อาจารย์ใคร่รู้ผ่านแว่นตา
ผมหยุดและไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร “คือว่า...เทรซี่บอกว่าอาจารย์ต้องการพบผม”
อาจารย์ขมวดคิ้วจนเห็นรอยย่นบนหน้าผาก เธอทำท่าคิดหลายวินาทีก่อนที่จะพูดว่า “น่าจะเป็นผู้เชียวชาญนะที่อยากอ่านบทคัดย่อของเธอมากกว่า คุณบรู๊ค”
เธอเหลียวตัวและชี้ไปยังห้องพักอาจารย์ของเธอ
“แต่ผมยังไม่ได้ทำเลยครับ อาจารย์”
“แต่เธอก็น่าจะเตรียมตัวมาแล้วบ้าง ใช่ไหม” อาจารย์พยักพเยิด
แหม่ ปฏิเสธไม่ได้เลย ได้แต่พยักหน้าคล้อยตามเธอไป
ชายร่างท้วมนั่งในห้องกับสูทสีกรมท่า แว่นตาที่สวมใส่แสดงถึงความภูมิฐานและเชี่ยวชาญในองค์ความรู้ที่มีพอตัว เขาไม่ได้ตกใจเมื่อเห็นผมเข้าไปในห้องแต่กลับยิ้มอย่างเป็นมิตร เขาผายมือเชิญให้ผมนั่งบนเก้าอี้ แต่ผมยังรู้สึกกระอักกระอ่วนพิกล อาจจะเป็นเพราะนักเรียนเกรดสี่ล้วนแบบผมไม่ได้เตรียมตัวมา แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยปาก เช่น ไหนเอาบทคัดย่อมาดูสิ หรือ คุณได้นำเอกสารอะไรมาไหม ผมต้องชิงจังหวะนี้ก่อน
“สวัสดีครับ ผู้เชี่ยวชาญ…” ผมหยุดหายใจ “...ฟรานซิส?”
“เรียกผม ศาสตราจารย์แฟรงค์” เขายิ้ม
“โอเคครับ…ด้วยความที่มันค่อนข้างกระชั้นชิด ทำให้ผมไม่ได้เตรียมเอกสารมาเลยครับ แต่ผมก็พอมีความรู้ในเรื่องที่ผมต้องการนำเสนออยู่บ้าง ผมสามารถอธิบายแบบปากเปล่าได้ไหมครับ
ศาสตราจารย์พยักหน้า
“ผมเทเลอร์ บรู๊ค ผมสนใจเรื่อง อาณาจักรแอตแลนติส”
เขาฉีกยิ้มบนใบหน้า แลดูสนใจใคร่รู้กับสิ่งที่ผมเพิ่งบอกไป
“อาณาจักรแอตแลนติส ค่อนข้างน่าสนใจนะ แต่คุณรู้ใช่ไหม นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องนี้กันเท่าที่ควรเพราะพวกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เพลโตสร้างขึ้นจากจินตนาการโดยเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาสองเรื่องคือทีเมอุสและครีทีอัส” เขาพูดพลางหันหลังไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งในกระเป๋า
“นั่นคือเหตุผลที่ผมพยายามทำรายงานเรื่องนี้ครับ ถ้าผมสามารถพิสูจน์สมมุติฐานให้เป็นจริงได้”
ศาสตราจารย์แฟรงค์ชำเลืองผมผ่านเลนส์แว่น
“คุณคิดแบบนั้นเหรอ”
ผมยังไม่ทันจะตอบ อันที่จริงผมไม่คิดที่จะตอบเลยด้วยซ้ำ เขาก็พูดขึ้นว่า
“จริง ๆ นะ คุณบรู๊ค คุณทำให้ผมคิดถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ ที่สนใจในเรื่อง ลึกลับ และเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมสนใจตอนที่ผมอายุเท่าคุณหรืออาจจะน้อยกว่าคุณ ผมมีความฝันอยากเป็นนักโบราณคดี ขุดพบแหล่งอารยธรรมโบราณที่หายไป”
“อ๋อ ครับ”
“แต่ผมล้มเลิกความตั้งใจเมื่อผมได้เจอหนังสือเล่มนี้ของปู่”
เขาวางหนังสือเล่มหนึ่งบนโต๊ะหนังสือซึ่งหุ้มด้วยปกหนังสัตว์ ดูโบราณมากกว่าหนังสือที่ผมจะได้มาจากห้องสมุด
“หนังสืออะไรครับ”
“คุณก็ลองทายดูสิ” ศาสตราจารย์แฟรงค์เอนตัวไปพิงเก้าอี้ มือประสานกันที่หน้าอก รอชื่นชมกับคำตอบของผมพอตัว
“เออ...ไม่รู้สิครับ ผมคิดไม่ออก”
เขาชักสีหน้า ขยับแว่นตาเล็กน้อยและนั่งตัวตรง “นี่คือส่วนเต็มจากเรื่องที่เพลโตเขียน” แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบหรือนั่นอาจจะจบประโยคแล้วก็ได้ ผมก็แทรกด้วยอาการตื่นตูมว่า
“ศาสตราจารย์กำลังหมายความว่านี่คือ...”
“เรื่องเต็ม ๆ ของทีเมอุสและครีทีอัสที่เกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส” เขาต่อประโยคจบ
ความไม่เข้าใจวิ่งเข้าสู่สมอง และเวลาเหมือนจะหยุดลงไปดื้อ ๆ แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่สงสัยก็กลับพลั่งพรูราวกับขุดเจอบ่อน้ำมัน คำถามนับร้อยเบียดเสียดผ่านลำคอทำให้น้ำลายแห้งผาก
“แต่ผมอ่านบทสนทนาเต็มของเรื่องนี้มาหมดแล้ว มันจะมีอะไรที่ซ่อนอยู่อีกละครับ”
“ไหนลองเล่าเรื่องที่คุณรู้มาสิ คุณบรู๊ค”
ศาสตราจารย์แฟรงค์ยิ้มแต่มันทำให้ผมไม่ค่อยชอบใจมากนัก ผมสูดอากาศและพยายามตั้งสติกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้ เพราะมันค่อนข้างดูสับสนเล็กน้อย
“เพลโตบอกว่าเขาฟังเรื่องนี้มาจากลุงของเขาอีกทีซึ่งมันเกี่ยวข้องกับโซลอน นักบัญญัติกฎหมายชาวกรีกที่ได้ยินเรื่องแอตแลนติสมาจากพระชาวอียิปต์ โซลอนเล่าเรื่องนี้ให้โดรพิเดสฟัง”
ผมหยุดพักหายใจ
“และโดรพิเดสก็เล่าเรื่องนี้ให้ผู้เฒ่าครีทีอัสฟัง หลังจากนั้นผู้เฒ่าครีทีอัสก็เล่าเรื่องนี้ให้หลานที่ชื่อ ครีทีอัส ฟังอีกทอดซึ่งครีทีอัสคนนี้เป็นลุงของเพลโต”
ศาสตราจารย์แฟรงค์ลืมตาหลังจากหลับได้สักพัก เขากระพริบตาช้า ๆ ไปหนึ่งครั้งเพื่อลำดับความคิดตามผมอยู่
“จากพระชาวอียิปต์ที่มีชื่อว่าซอนคิสเล่าให้โซลอน...”
“เดี๋ยวครับ” ผมทักท้วงเสียงดัง “เพลโตไม่ได้บอกเลยว่าพระชาวอียิปต์ชื่ออะไร”
เขาทำทำหน้าฉงน “ถามได้ดีมากคุณบรู๊ค” ศาสตราจารย์แฟรงค์ยกมือขึ้นประสานบนโต๊ะ
“คุณพูดถูกเพลโตไม่ได้เอ่ยถึงชื่อพระชาวอียิปต์คนนั้น แต่ถ้าเรามาศึกษาหนังสือ วิถีของโซลอน (Life of Solon) และหนังสือ เทพไอซิสและโอซิริส (On Isis and Osiris) พลูทาร์กได้ให้รายละเอียดเล็กน้อยเกี่ยวกับนักปรัชญาชาวกรีกที่เดินทางไปศึกษาที่อียิปต์ ในช่วงเวลานั้นพระชาวอียิปต์ผู้สอนโซลอนก็คือ ซอนคิส มันจึงไม่แปลกที่ซอนคิสจะเล่าเรื่องนี้ให้โซลอนฟัง”
“แต่เราก็สรุปไม่ได้นะครับว่าเขาคือซอนคิส โซลอนอาจจะไปได้ยินเรื่องนี้มาจากคนอื่นก็ได้”
“แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นแบบนั้น แต่การที่โซลอนเอาเรื่องนี้มาพูดมันต้องมีมูลความจริง ผมไม่คิดว่าโซลอนจะเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังถ้ามันมาจากคนที่ไม่ใช่อาจารย์ของเขา” ศาสตราจารย์แย้ง
แม้ว่าผมจะไม่เต็มใจกับคำอธิบายมากนัก แต่ผมก็ต้องพยักหน้ารับ เพื่อให้เรื่องดำเนินไปต่อ
“ซอนคิส โซลอน โดรพิเดส ผู้เฒ่าครีทีอัส ครีทีอัสและท้ายสุด เพลโต หลายต่อเลยสินะ แค่ผมคิดเล่น ๆ นี่มันดูเหลือเชื่อมากนะคุณบรู๊คที่เรื่องราวกว่าเก้าพันห้าร้อยปีจะผ่านปากต่อปากโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อหา แค่สมมุติฐานข้อเดียว มันก็สามารถบอกได้ว่าเรื่องราวจริง ๆ คงเปลี่ยนไปหมดแล้ว และเราก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริง หรือแค่จินตนาการ” ศาสตราจารย์อธิบาย
ผมคิดตาม มันก็มีเหตุผลแต่…
“ถ้านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง เพลโตก็ต้องอ้างอิงสิครับว่ามันเป็นตำนานหรือเขาต้องใส่ความคิดเห็นของตนเองลงไปเพื่อสื่อว่าเมืองนี้ไม่มีอยู่จริง เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่ทรงคุณธรรมคนหนึ่งของกรีกนะครับ เขาคงไม่โกหกเรื่องแบบนี้หรอก”
“จริง ๆ แล้วผมคิดว่าเพลโตไม่ได้โกหกเราแม้แต่น้อย เพียงแต่สิ่งที่เพลโตเล่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง หรือ ส่วนที่เพลโตรู้มาเท่านั้น” เขาตอบ
“ยังไงครับ”
มีต่อ...