อาจจะช้าไปสักนิดสำหรับรีวิวเพราะผมเพิ่งว่างจากเรื่องวุ่นๆของงานเลยเพิ่งมีโอกาสได้ดูครับ
พอดูก็อินและนั่งเรียบเรียงความคิดนิดนึงก่อนแล้วมาเขียนรีวิวครับ
"จงหมั่นถามตัวเองอยู่เสมอว่า ณ จุดสตาร์ทอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เราเลือกทำสิ่งนี้ตั้งแต่แรก"
ประโยคของแทนไทนักลงทุนที่ผมมองว่ามันคือสาระสำคัญมากเลยไม่เฉพาะกับหนัง
แต่มันสำคัญสำหรับคนทุกๆคนที่คิดว่าจะอยากลุกมาทำอะไรสักอย่างเลยล่ะครับ
หนังเริ่มเรื่องจากงานประกวด start up ที่ทั้งทีมพระเอกกับทีมนางเอกได้มาเจอกัน
ทั้งคู่ต่างก็เป็นทีมที่ตกรอบต่อเนื่องมาตลอดเหมือนๆกัน กับหลายๆไอเดียที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆทุกครั้ง
ที่เข้ามาประกวด พอตกรอบก็เปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ มานำเสนอเรื่อยๆ
ซึ่งสิ่งนี้มันสะท้อนความจริงในวงการ Start up ได้ดีครับ
"คุณอยากทำสิ่งๆนั้นเพราะอะไร เพราะคุณรักมันหรือคุณแค่อยากรวยจากมัน"
สองอย่างนี้ต่างกันมากครับเพราะถ้าคุณไม่ได้รักในสิ่งที่คุณกำลังทำจริงๆ
คุณจะขาดความมุ่งมั่นและอดทนต่ออุปสรรคที่เข้ามา มันสะท้อนได้จากการที่ทั้งบอมและจูน
เปลี่ยนไอเดียไปเรื่อยๆในทุกๆครั้งที่ประกวด Start up ซึ่งหนังไม่ได้อธิบายไว้ชัดเจน
แต่มันสะท้อนจากบอมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นในการขึ้นไปร่วมพูดบนเวทีคู่กับบิ้ว
แต่เมื่อบอมได้เจอกับจูนและจูนได้เจอกับบอม (ทำไมพูดวกวนมีเหตุผลครับ) ทั้งสองฝ่าย
ต่างรู้สึกเหมือนกันว่านี่คือคนที่ใช่แม้ว่าอาจจะยังไม่เป้นคำพูดที่ชัดเจนในหัว
แต่ความรู้สึกนี้มันสร้างบางอย่างให้เกิดขึ้นกับทั้งคู่นั่นคือ
"Strong Passion"
บอมและจูนเกิดแรงบันดาลใจเหมือนๆกัน ในเวลาเดียวกัน และเป็นแรงบันดาลใจที่แรง
จนทำให้ทั้งคู่ทำแอพเหมือนๆกัน ซึ่งแอพ Inviter และ Amjoin คงไม่เกิดขึ้นในโลกนี้เลย
ถ้าคืนนั้นบอมกดแอดไอดีไลน์ของจูน แล้วทั้งสองคนไม่ต้องจากกันโดยไม่ได้ติดต่อกันอีก
บอมและจูนก็คงไม่มีแรงบันดาลใจทำแอพ Inviter และ Amjoin แน่นอน
ถ้าเป็นหนังสักเรื่องช่วงนี้มันควรจะต้องมีเพลงซึ่งๆ ค่อยดังขึ้นแล้วจริงมั้ยครับ
อยากจะพบอีกสักครั้ง อยากให้คืนนั้นย้อนคืนมาใหม่ และในคราวนี้จะไม่ยอมฉันจะไม่ยอมให้เธอจากไป
อยากจะพบอีกสักครั้ง อยากให้คืนนั้นย้อนคืนมาใหม่ และในคราวนี้จะไม่ยอมฉันจะไม่ยอมให้เธอจากไป
อยากรู้ตอนนี้เธอ อยากรู้ตอนนี้เธอ "อยู่ไหน"
เอ้าเพลงมาครับเปิดฟังไปด้วยแล้วนึกถึงภาพในหนังหลายคนน่าจะยิ่งอินนะครับ
ซึ่งสังเกตุว่าเมื่อบอมและจูนมีแรงบันดาลที่แน่วแน่แล้วก็ไม่มีความสับสนไขว้เขว
ในการทำอะไรสักอย่างอีก ลงทุนปั้นแอพ Inviter และ Amjoin ให้เป็นจริงขึ้นมา
ซึ่งแน่นอนการทำงานจริงมันต้องมีอุปสรรคแน่นอน แต่ในหนังคงไม่มีเวลามากพอที่จะเล่า
แต่ทั้งสองทีมก็ไม่ยอมแพ้และทำมันเป็นจริงขึ้นมาได้
"Startup ทุกคนมักคิดว่าไอเดียตัวเองเจ๋งสุด โลกธุรกิจจึงต้องมีนักดับฝัน"
นี่คือความเป็นจริงครับร้อยทั้งร้อย คนที่กระโดดเข้ามาทำ Start up
จะต้องคิดว่าไอเดียตัวเองจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน
แต่ถ้าเป็นได้แบบนี้ในทุกๆโปรเจคคนคงรวยกันไปทั้งโลกแล้ว
แต่ความจริงที่เกิดคือ 90% เจ๊ง 8% หนีตาย มีแค่ 2% ประสบความสำเร็จ
จริงๆผมเองก็จัดว่าอยู่ในกลุ่ม Start up เหมือนกันนะครับ เพียงแต่รูปแบบของผม
จะต่างจากในหนังครับ ผมเลือกลุยทำสิ่งที่ผมรักด้วยทุนผมเอง มากกว่าขอทุนคนอื่น
เพราะรู้ว่าขอทุนไปก็ไม่มีใครให้ทุนกับไอเดียนี้ เลยค่อยๆพัฒนามันสลับกับการรับงาน
หารายได้เลี้ยงชีพไปด้วย แต่อีกไม่นานเท่าใหร่มันจะเปิดตัวและเปิดให้ทุกๆคนได้ใช้แล้วล่ะครับ
สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงของ Start up แต่ไม่ถูกพูดถึงในหนังนั่นคือ
"คุณจะทำเงินได้อย่างไรกับไอเดียของคุณ"
โลกนี้ไม่มีนักลงทุนคนไหนเค้าจะให้เงินคุณฟรีๆ โดยไม่มีผลกำไรกลับคืนมาหรอกครับ
บทบาทของแทนไทในหนังจึงเข้ามาตอกย้ำในเรื่องนี้ ผมชมบทของแทนไทนะครับแสดงดีถึงบางจุดจะเล่นใหญ่ไปนิด
แต่ตอกย้ำภาพของนักลงทุนได้ดีระดับนึง เชื่อผมเถอะผมเห็นผ่านการได้นั่งคุยกับนักลงทุนแบบส่วนตัวมาแล้ว
ความจริงที่โหดร้ายมีมากกว่าในหนังเยอะครับ แต่ในโลกธุรกิจจำเป็นต้องมีนักดับฝันด้วยการคอมเมนท์แรงๆ
กับไอเดียที่คนมักคิดแต่ในแง่ดีว่ามันจะต้องสำเร็จๆแน่ๆ โดยไม่มองมุมกลับว่าแล้วถ้ามันไม่เป็นแบบนั้นจะวางแผนรับมือกับมันยังไง
ภาพของทีมบอมที่ใช้เงิน 2 ล้านแรกที่ได้จากนักลงทุนไปจนเกือบหมดกับภาพ office อย่างดี สะท้อนความจริงในข้อนี้ได้ครับ
หลายๆ Start up ที่พังมันไม่ใช่ว่าไอเดียคุณไม่ดีแต่เพราะคุณบริหารงานและบริหารเงินยังไม่เป็น มีหลายรายเป็นแบบนี้จริงๆ
กับภาพลักษณ์สำนักงานที่ดูเหมือนถอดมาจาก magazine ทั้งที่ธุรกิจของคุณก็ยังลูกผีลูกคนอยู่
"Strong Passion ไม่พอ Strong team ก็ต้องมา"
ในหนังมันชัดเจนอยู่แล้วครับกับการที่ทีมจูนไม่สามารถดันตัวเองไปถึงฝันก็ความสามารถทีมไม่ถึง
ในขณะที่ทีมบอมมีความเทพของของทั้งบอมและไต๋อยู่ แต่ขาดฝีมือการบริหารแบบที่จูนมี
มันจริงครับที่ถ้าสองทีมนี้รวมตัวกันได้มันจะ perfect มากแต่ก็จริงอย่างที่แทนไทได้พูดในหนังนั่นคือ
"ผมเข้าใจดีมันเลยจุดๆนั้นไปแล้ว"
"หลายๆครั้งคนที่ใช่ก็มาในเวลาที่มันไม่ใช่ ธุรกิจก็เช่นกัน"
ในหนังเราจะเห็นการมาของสิ่งที่ใช่ในเวลาที่ไม่ใช่ในหลายๆฉาก ฉากแรกบอมจูนรู้จักกันตอนที่จูนมีแฟนแล้ว ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้รวมทีมกัน ผมไม่โทษบอมนะที่นอยจนไม่แอดไลน์จูน เอาตรงๆหนุ่มๆหลายคนที่เจอสาวที่ตัวเองชอบอย่างจริงใจแล้วแห้วเพราะเธอมีแฟนแล้วเนี่ยจะให้ทำใจร่วมงานกันโดยไม่คิดอะรได้เลยนี่ยากนะครับ ฉากต่อมาได้เจอกันอีกครั้งก็กลายเป็นว่าต้องมาเป็นคู่แข่งกัน
ฉากสุดท้ายคือบอมลดอีโก้ตัวเองใช้แอพ Amjoin เพื่อตามหาจูนผมรู้ทำไมบอมเลือกใช้แอพของจูนเพื่อตามหาจูน
เพื่อลุ้นว่าจูนจะเห็นว่าบอมกำลังตามหาตัวเธออยู่ แต่จูนก็ไม่อยู่ในอารมณ์อยากอัพเดตโลกโซเชี่ยลพอดี ทั้งคู่เลยต้องพลัดพรากจากกันอีกรอบ
และในความจริงของธุรกิจมันไม่ง่ายขนาดนั้นที่โอเคเรามาจับมือรวมทีมกันเถอะ ทั้งในเรื่องการบริหารทุนที่ต้องเพิ่มขึ้น
การเจรจากับนักลงทุนรายเดิม ซึ่งถ้าเป็นแบบในหนังมันไม่ยากนะครับเพราะให้ก้อนเดียวโครมลงมาแล้ว
ทีมบอมจะจ้างใครมาเพิ่มไม่เกี่ยวกัน แต่ความภาคภูมิใจของจูนล่ะ กับการต้องก้มหน้ามาทำงานกับทีมที่ตัวเองเพิ่งแพ้มาหยกๆ
แต่จากที่ดูในหนังก็ไม่ใช่ว่าจะยากมากจนเป็นไปไม่ได้ แต่มันเกิดจากปัญหาในการสื่อสารของบอมเป็นหลักเลยในเรื่อง
บอมเป็นคนที่มีปัญหาในการสื่อสารกับผู้คนจนในช่วงท้ายๆของหนังเราถึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบอมได้
"App war ในมุมมองจัดเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ที่ดี แต่ยังสับสนและขาดความมั่นใจในตัวเองว่ามีดีตรงไหนอยู่"
เท่าที่ฟังจากเสียงตอบรับก็จะเห็นว่าหลายเสียงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฉากโรแมนติกและซีนอารมณ์ของเรื่องนี้เอาอยู่จริงๆ
และผมพอได้เข้าไปดูบ้างก็ยอมรับว่าจริงเอาอยู่จริงๆ ครับ ทั้งการแสดงมุมภาพยกนิ้วโป้งให้เลย
ไม่บ่อยที่เราจะได้เห็นกรุงเทพดูสวยแบบนี้
แต่หนัง App war ก็ไม่ต่างจากแอพ Inviter ครับนั่นคือ UI (User Interface) ไม่โดนไม่น่าสนใจไม่มีจุดดึงดูดใจแต่พอได้ลองดูแล้วชอบ
เชื่อมั้ยครับผมไปดูหนังเรื่องนี้เพราะผมเป็นแฟนคลับคุณวิสูตร พูลวรลักษณ์เจ้าของค่ายผมอยากเอาใจช่วยหนังไทยแค่นั้นเองจริงๆครับ
ตอน oversize ก็เหตุผลเดียวกัน หนัง App war ผมไม่ได้เข้าไปดูเพราะ Key Art visual ของหนังเลยแม้แต่นิดเดียว ตัวอย่างหนังก็ไม่โดนเลยจริงครับ โปสเตอร์ก็งั้นๆ การเล่นกระแสข่าวในโลกโซเชี่ยลก็เงียบกริบ มันชวนให้ผมนึกถึงฉากที่บอมกับมายด์คุยกันมากครับว่า
"หนูเคยเล่นแอพหาเพื่อนหลายแอพแล้ว เจอแต่พวกมาหาอย่างว่าแต่พอโลหดแอพ Inviter มาแล้วไม่เจอเลยค่ะ"
"ไม่เจอพวกอย่างว่า???"
"เปล่าค่ะหนูไม่เจอใครเลย"
สิ่งที่ผมเห็นคือตัวหนังเองและการโปรโมทสะเปะสปะมาก คือคุณจะเป็นอะไรกันแน่จะเป็นฮาคอมเมดี้ หรือโรแมนติกหรือเชือกเฉือนเกมกัน
จะเป็นอะไรกันแน่เอาให้มันชัดๆ หน่อย อารมณ์เหมือนอยากโรแมนติกนะแต่กลัวไม่แมสต์เลยต้องพยายามหาอะไรแมสต์ใส่ลงไปบ้างเพื่อ
หวังกวาดกลุ่มคนดูกว้างขึ้น แต่กลายเป็นภาพมันสะเปะสปะแทน ตัวหนังผมยังชมว่าถึงมีความสะเปะสปะบ้างแต่ไม่มากครับ ยังคุมโทนได้ดี
แต่การโปรโมทนี่สิชัดเจนว่าไม่โดนใจคนดู ซึ่งสิ่งนี้มันก็สะท้อนในหนังชัดเจนแล้วว่าคนก็พูดว่าแอพ Inviter ดูไม่น่าโหลดเลย
อีกอย่างที่ชัดเจนว่าหนังเรื่องนี้ขาดซึ่งเป้นสิ่งที่ถูกจริตคนไทยคือเพลงประกอบหนังโดนๆ
สำคัญครับเพราะสำหรับหนังโรแมนติกโดนๆ เนี่ยมันคือตัวบอกธีมหนังได้เป็นอย่างดีเลยครับ
ยกตัวอย่างเพื่อนสนิท , Fan day นี่เพลงช่วยเยอะมาก หรืออย่าง I'm fine thank you มาด้วยเพลงแดนซ์แต่ก็ตบด้วยเพลงซึ่งกินใจอย่าง
Walk you home ที่เรียกว่าสาวๆออกจากโรงมาแล้วฟินได้อีก ต้องไปเปิดฟังในยูทูปแล้วแชร์ต่อในเฟซ
กับ app war ก่อนเข้าโรงก็ไม่เคยได้ยินเพลงเลย ออกจากโรงก็ยัง blank blank กับเพลงประกอบอยู่ดีครับ
คือไม่ติดหัว มันไม่จุ๊บเข้าไปในสมองเลยครับ ส่วนตัวผมนะถ้าหนังโฟกัสโปรโมทที่ความโรแมนติกในเรื่องราวของความรัก
ที่มักมาในเวลาที่ไม่ใช่และต้องอยู่บนความขัดแย้งในใจอาจจะโดนใจกลุ่มสาวๆที่จะต้องบังคับให้แฟนพาไปดูก็ได้ครับ
แต่การโปรโมทช่วงแรกไม่มีการเทไปทางโรแมนติกเลยซะงั้น เห็นปล่อยมุขแป๊กยิงไม่โดนอยู่เรื่อย
"ความเรียลที่โรแมนติก"
ส่วนดีของหนังเรื่องนี้ที่ผมชมคือทุกอย่างในหนังในจุดโรแมนติกดูเรียลหมดไม่มีโดดสักฉาก
การเจอกันกินข้าว เดินด้วยกัน ไปโน่นไปนี่ มันตรงกันชีวิตชนชั้นกลางของไทยมาก
ซึ่งกับหนังไทยหลายๆเรื่องมักชอบมีฉากแฟนตาซีเกินจริงที่ตัวเอกได้ไปอยู่ในสถานการณ์
ยากจะเกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนบังคับจับยัดให้มี moment พิเศษภาคบังคับ แต่ในหนังเรื่องนี้
ทุก moment พิเศษมันคือสิ่งธรรมดาๆ ร้านธรรมดาไม่หรูหรา ข้างถนน ข้างตึกแต่กลับ
ทำให้โรแมนติกได้แบบเรียบๆดีชอบมากครับ
[CR] App war ความรัก ความฝัน และกับดัก Start up สปอยเยอะครับ
อาจจะช้าไปสักนิดสำหรับรีวิวเพราะผมเพิ่งว่างจากเรื่องวุ่นๆของงานเลยเพิ่งมีโอกาสได้ดูครับ
พอดูก็อินและนั่งเรียบเรียงความคิดนิดนึงก่อนแล้วมาเขียนรีวิวครับ
"จงหมั่นถามตัวเองอยู่เสมอว่า ณ จุดสตาร์ทอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เราเลือกทำสิ่งนี้ตั้งแต่แรก"
ประโยคของแทนไทนักลงทุนที่ผมมองว่ามันคือสาระสำคัญมากเลยไม่เฉพาะกับหนัง
แต่มันสำคัญสำหรับคนทุกๆคนที่คิดว่าจะอยากลุกมาทำอะไรสักอย่างเลยล่ะครับ
หนังเริ่มเรื่องจากงานประกวด start up ที่ทั้งทีมพระเอกกับทีมนางเอกได้มาเจอกัน
ทั้งคู่ต่างก็เป็นทีมที่ตกรอบต่อเนื่องมาตลอดเหมือนๆกัน กับหลายๆไอเดียที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆทุกครั้ง
ที่เข้ามาประกวด พอตกรอบก็เปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ มานำเสนอเรื่อยๆ
ซึ่งสิ่งนี้มันสะท้อนความจริงในวงการ Start up ได้ดีครับ
"คุณอยากทำสิ่งๆนั้นเพราะอะไร เพราะคุณรักมันหรือคุณแค่อยากรวยจากมัน"
สองอย่างนี้ต่างกันมากครับเพราะถ้าคุณไม่ได้รักในสิ่งที่คุณกำลังทำจริงๆ
คุณจะขาดความมุ่งมั่นและอดทนต่ออุปสรรคที่เข้ามา มันสะท้อนได้จากการที่ทั้งบอมและจูน
เปลี่ยนไอเดียไปเรื่อยๆในทุกๆครั้งที่ประกวด Start up ซึ่งหนังไม่ได้อธิบายไว้ชัดเจน
แต่มันสะท้อนจากบอมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นในการขึ้นไปร่วมพูดบนเวทีคู่กับบิ้ว
แต่เมื่อบอมได้เจอกับจูนและจูนได้เจอกับบอม (ทำไมพูดวกวนมีเหตุผลครับ) ทั้งสองฝ่าย
ต่างรู้สึกเหมือนกันว่านี่คือคนที่ใช่แม้ว่าอาจจะยังไม่เป้นคำพูดที่ชัดเจนในหัว
แต่ความรู้สึกนี้มันสร้างบางอย่างให้เกิดขึ้นกับทั้งคู่นั่นคือ
"Strong Passion"
บอมและจูนเกิดแรงบันดาลใจเหมือนๆกัน ในเวลาเดียวกัน และเป็นแรงบันดาลใจที่แรง
จนทำให้ทั้งคู่ทำแอพเหมือนๆกัน ซึ่งแอพ Inviter และ Amjoin คงไม่เกิดขึ้นในโลกนี้เลย
ถ้าคืนนั้นบอมกดแอดไอดีไลน์ของจูน แล้วทั้งสองคนไม่ต้องจากกันโดยไม่ได้ติดต่อกันอีก
บอมและจูนก็คงไม่มีแรงบันดาลใจทำแอพ Inviter และ Amjoin แน่นอน
ถ้าเป็นหนังสักเรื่องช่วงนี้มันควรจะต้องมีเพลงซึ่งๆ ค่อยดังขึ้นแล้วจริงมั้ยครับ
อยากจะพบอีกสักครั้ง อยากให้คืนนั้นย้อนคืนมาใหม่ และในคราวนี้จะไม่ยอมฉันจะไม่ยอมให้เธอจากไป
อยากจะพบอีกสักครั้ง อยากให้คืนนั้นย้อนคืนมาใหม่ และในคราวนี้จะไม่ยอมฉันจะไม่ยอมให้เธอจากไป
อยากรู้ตอนนี้เธอ อยากรู้ตอนนี้เธอ "อยู่ไหน"
เอ้าเพลงมาครับเปิดฟังไปด้วยแล้วนึกถึงภาพในหนังหลายคนน่าจะยิ่งอินนะครับ
ซึ่งสังเกตุว่าเมื่อบอมและจูนมีแรงบันดาลที่แน่วแน่แล้วก็ไม่มีความสับสนไขว้เขว
ในการทำอะไรสักอย่างอีก ลงทุนปั้นแอพ Inviter และ Amjoin ให้เป็นจริงขึ้นมา
ซึ่งแน่นอนการทำงานจริงมันต้องมีอุปสรรคแน่นอน แต่ในหนังคงไม่มีเวลามากพอที่จะเล่า
แต่ทั้งสองทีมก็ไม่ยอมแพ้และทำมันเป็นจริงขึ้นมาได้
"Startup ทุกคนมักคิดว่าไอเดียตัวเองเจ๋งสุด โลกธุรกิจจึงต้องมีนักดับฝัน"
นี่คือความเป็นจริงครับร้อยทั้งร้อย คนที่กระโดดเข้ามาทำ Start up
จะต้องคิดว่าไอเดียตัวเองจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน
แต่ถ้าเป็นได้แบบนี้ในทุกๆโปรเจคคนคงรวยกันไปทั้งโลกแล้ว
แต่ความจริงที่เกิดคือ 90% เจ๊ง 8% หนีตาย มีแค่ 2% ประสบความสำเร็จ
จริงๆผมเองก็จัดว่าอยู่ในกลุ่ม Start up เหมือนกันนะครับ เพียงแต่รูปแบบของผม
จะต่างจากในหนังครับ ผมเลือกลุยทำสิ่งที่ผมรักด้วยทุนผมเอง มากกว่าขอทุนคนอื่น
เพราะรู้ว่าขอทุนไปก็ไม่มีใครให้ทุนกับไอเดียนี้ เลยค่อยๆพัฒนามันสลับกับการรับงาน
หารายได้เลี้ยงชีพไปด้วย แต่อีกไม่นานเท่าใหร่มันจะเปิดตัวและเปิดให้ทุกๆคนได้ใช้แล้วล่ะครับ
สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงของ Start up แต่ไม่ถูกพูดถึงในหนังนั่นคือ
"คุณจะทำเงินได้อย่างไรกับไอเดียของคุณ"
โลกนี้ไม่มีนักลงทุนคนไหนเค้าจะให้เงินคุณฟรีๆ โดยไม่มีผลกำไรกลับคืนมาหรอกครับ
บทบาทของแทนไทในหนังจึงเข้ามาตอกย้ำในเรื่องนี้ ผมชมบทของแทนไทนะครับแสดงดีถึงบางจุดจะเล่นใหญ่ไปนิด
แต่ตอกย้ำภาพของนักลงทุนได้ดีระดับนึง เชื่อผมเถอะผมเห็นผ่านการได้นั่งคุยกับนักลงทุนแบบส่วนตัวมาแล้ว
ความจริงที่โหดร้ายมีมากกว่าในหนังเยอะครับ แต่ในโลกธุรกิจจำเป็นต้องมีนักดับฝันด้วยการคอมเมนท์แรงๆ
กับไอเดียที่คนมักคิดแต่ในแง่ดีว่ามันจะต้องสำเร็จๆแน่ๆ โดยไม่มองมุมกลับว่าแล้วถ้ามันไม่เป็นแบบนั้นจะวางแผนรับมือกับมันยังไง
ภาพของทีมบอมที่ใช้เงิน 2 ล้านแรกที่ได้จากนักลงทุนไปจนเกือบหมดกับภาพ office อย่างดี สะท้อนความจริงในข้อนี้ได้ครับ
หลายๆ Start up ที่พังมันไม่ใช่ว่าไอเดียคุณไม่ดีแต่เพราะคุณบริหารงานและบริหารเงินยังไม่เป็น มีหลายรายเป็นแบบนี้จริงๆ
กับภาพลักษณ์สำนักงานที่ดูเหมือนถอดมาจาก magazine ทั้งที่ธุรกิจของคุณก็ยังลูกผีลูกคนอยู่
"Strong Passion ไม่พอ Strong team ก็ต้องมา"
ในหนังมันชัดเจนอยู่แล้วครับกับการที่ทีมจูนไม่สามารถดันตัวเองไปถึงฝันก็ความสามารถทีมไม่ถึง
ในขณะที่ทีมบอมมีความเทพของของทั้งบอมและไต๋อยู่ แต่ขาดฝีมือการบริหารแบบที่จูนมี
มันจริงครับที่ถ้าสองทีมนี้รวมตัวกันได้มันจะ perfect มากแต่ก็จริงอย่างที่แทนไทได้พูดในหนังนั่นคือ
"ผมเข้าใจดีมันเลยจุดๆนั้นไปแล้ว"
"หลายๆครั้งคนที่ใช่ก็มาในเวลาที่มันไม่ใช่ ธุรกิจก็เช่นกัน"
ในหนังเราจะเห็นการมาของสิ่งที่ใช่ในเวลาที่ไม่ใช่ในหลายๆฉาก ฉากแรกบอมจูนรู้จักกันตอนที่จูนมีแฟนแล้ว ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้รวมทีมกัน ผมไม่โทษบอมนะที่นอยจนไม่แอดไลน์จูน เอาตรงๆหนุ่มๆหลายคนที่เจอสาวที่ตัวเองชอบอย่างจริงใจแล้วแห้วเพราะเธอมีแฟนแล้วเนี่ยจะให้ทำใจร่วมงานกันโดยไม่คิดอะรได้เลยนี่ยากนะครับ ฉากต่อมาได้เจอกันอีกครั้งก็กลายเป็นว่าต้องมาเป็นคู่แข่งกัน
ฉากสุดท้ายคือบอมลดอีโก้ตัวเองใช้แอพ Amjoin เพื่อตามหาจูนผมรู้ทำไมบอมเลือกใช้แอพของจูนเพื่อตามหาจูน
เพื่อลุ้นว่าจูนจะเห็นว่าบอมกำลังตามหาตัวเธออยู่ แต่จูนก็ไม่อยู่ในอารมณ์อยากอัพเดตโลกโซเชี่ยลพอดี ทั้งคู่เลยต้องพลัดพรากจากกันอีกรอบ
และในความจริงของธุรกิจมันไม่ง่ายขนาดนั้นที่โอเคเรามาจับมือรวมทีมกันเถอะ ทั้งในเรื่องการบริหารทุนที่ต้องเพิ่มขึ้น
การเจรจากับนักลงทุนรายเดิม ซึ่งถ้าเป็นแบบในหนังมันไม่ยากนะครับเพราะให้ก้อนเดียวโครมลงมาแล้ว
ทีมบอมจะจ้างใครมาเพิ่มไม่เกี่ยวกัน แต่ความภาคภูมิใจของจูนล่ะ กับการต้องก้มหน้ามาทำงานกับทีมที่ตัวเองเพิ่งแพ้มาหยกๆ
แต่จากที่ดูในหนังก็ไม่ใช่ว่าจะยากมากจนเป็นไปไม่ได้ แต่มันเกิดจากปัญหาในการสื่อสารของบอมเป็นหลักเลยในเรื่อง
บอมเป็นคนที่มีปัญหาในการสื่อสารกับผู้คนจนในช่วงท้ายๆของหนังเราถึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบอมได้
"App war ในมุมมองจัดเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ที่ดี แต่ยังสับสนและขาดความมั่นใจในตัวเองว่ามีดีตรงไหนอยู่"
เท่าที่ฟังจากเสียงตอบรับก็จะเห็นว่าหลายเสียงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฉากโรแมนติกและซีนอารมณ์ของเรื่องนี้เอาอยู่จริงๆ
และผมพอได้เข้าไปดูบ้างก็ยอมรับว่าจริงเอาอยู่จริงๆ ครับ ทั้งการแสดงมุมภาพยกนิ้วโป้งให้เลย
ไม่บ่อยที่เราจะได้เห็นกรุงเทพดูสวยแบบนี้
แต่หนัง App war ก็ไม่ต่างจากแอพ Inviter ครับนั่นคือ UI (User Interface) ไม่โดนไม่น่าสนใจไม่มีจุดดึงดูดใจแต่พอได้ลองดูแล้วชอบ
เชื่อมั้ยครับผมไปดูหนังเรื่องนี้เพราะผมเป็นแฟนคลับคุณวิสูตร พูลวรลักษณ์เจ้าของค่ายผมอยากเอาใจช่วยหนังไทยแค่นั้นเองจริงๆครับ
ตอน oversize ก็เหตุผลเดียวกัน หนัง App war ผมไม่ได้เข้าไปดูเพราะ Key Art visual ของหนังเลยแม้แต่นิดเดียว ตัวอย่างหนังก็ไม่โดนเลยจริงครับ โปสเตอร์ก็งั้นๆ การเล่นกระแสข่าวในโลกโซเชี่ยลก็เงียบกริบ มันชวนให้ผมนึกถึงฉากที่บอมกับมายด์คุยกันมากครับว่า
"หนูเคยเล่นแอพหาเพื่อนหลายแอพแล้ว เจอแต่พวกมาหาอย่างว่าแต่พอโลหดแอพ Inviter มาแล้วไม่เจอเลยค่ะ"
"ไม่เจอพวกอย่างว่า???"
"เปล่าค่ะหนูไม่เจอใครเลย"
สิ่งที่ผมเห็นคือตัวหนังเองและการโปรโมทสะเปะสปะมาก คือคุณจะเป็นอะไรกันแน่จะเป็นฮาคอมเมดี้ หรือโรแมนติกหรือเชือกเฉือนเกมกัน
จะเป็นอะไรกันแน่เอาให้มันชัดๆ หน่อย อารมณ์เหมือนอยากโรแมนติกนะแต่กลัวไม่แมสต์เลยต้องพยายามหาอะไรแมสต์ใส่ลงไปบ้างเพื่อ
หวังกวาดกลุ่มคนดูกว้างขึ้น แต่กลายเป็นภาพมันสะเปะสปะแทน ตัวหนังผมยังชมว่าถึงมีความสะเปะสปะบ้างแต่ไม่มากครับ ยังคุมโทนได้ดี
แต่การโปรโมทนี่สิชัดเจนว่าไม่โดนใจคนดู ซึ่งสิ่งนี้มันก็สะท้อนในหนังชัดเจนแล้วว่าคนก็พูดว่าแอพ Inviter ดูไม่น่าโหลดเลย
อีกอย่างที่ชัดเจนว่าหนังเรื่องนี้ขาดซึ่งเป้นสิ่งที่ถูกจริตคนไทยคือเพลงประกอบหนังโดนๆ
สำคัญครับเพราะสำหรับหนังโรแมนติกโดนๆ เนี่ยมันคือตัวบอกธีมหนังได้เป็นอย่างดีเลยครับ
ยกตัวอย่างเพื่อนสนิท , Fan day นี่เพลงช่วยเยอะมาก หรืออย่าง I'm fine thank you มาด้วยเพลงแดนซ์แต่ก็ตบด้วยเพลงซึ่งกินใจอย่าง
Walk you home ที่เรียกว่าสาวๆออกจากโรงมาแล้วฟินได้อีก ต้องไปเปิดฟังในยูทูปแล้วแชร์ต่อในเฟซ
กับ app war ก่อนเข้าโรงก็ไม่เคยได้ยินเพลงเลย ออกจากโรงก็ยัง blank blank กับเพลงประกอบอยู่ดีครับ
คือไม่ติดหัว มันไม่จุ๊บเข้าไปในสมองเลยครับ ส่วนตัวผมนะถ้าหนังโฟกัสโปรโมทที่ความโรแมนติกในเรื่องราวของความรัก
ที่มักมาในเวลาที่ไม่ใช่และต้องอยู่บนความขัดแย้งในใจอาจจะโดนใจกลุ่มสาวๆที่จะต้องบังคับให้แฟนพาไปดูก็ได้ครับ
แต่การโปรโมทช่วงแรกไม่มีการเทไปทางโรแมนติกเลยซะงั้น เห็นปล่อยมุขแป๊กยิงไม่โดนอยู่เรื่อย
"ความเรียลที่โรแมนติก"
ส่วนดีของหนังเรื่องนี้ที่ผมชมคือทุกอย่างในหนังในจุดโรแมนติกดูเรียลหมดไม่มีโดดสักฉาก
การเจอกันกินข้าว เดินด้วยกัน ไปโน่นไปนี่ มันตรงกันชีวิตชนชั้นกลางของไทยมาก
ซึ่งกับหนังไทยหลายๆเรื่องมักชอบมีฉากแฟนตาซีเกินจริงที่ตัวเอกได้ไปอยู่ในสถานการณ์
ยากจะเกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนบังคับจับยัดให้มี moment พิเศษภาคบังคับ แต่ในหนังเรื่องนี้
ทุก moment พิเศษมันคือสิ่งธรรมดาๆ ร้านธรรมดาไม่หรูหรา ข้างถนน ข้างตึกแต่กลับ
ทำให้โรแมนติกได้แบบเรียบๆดีชอบมากครับ