ยกเลิกการละเมิกสิทธิส่วนบุคคลในการขอตรวจหาเชื้อ HIV ในการทำงาน
และตรวจหาเพื่อทำการกีดกันผู้ติดเชื้อเข้าทำงานโดยไม่ได้คิดที่จะให้ความช่วยเหลือ หรือ โอกาสในการทำงานที่เสมอภาคกันโดยการเอา สถานะดารติดเชื้อมาเป็นปัจจัยในการเลือกปฏิบัติและกีดกัน
เนื่องจากปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อ HIV มีจำนวนมากขึ้น ทั้งผู้ที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งที่รับการรักษา และยังไม่ได้รับการรักษา ในปัจจุบัน โปรแกรมการรักษาผู้ติดเชื้อก็มีประสิทธิภาพสูงมาก ทั้งด้านยา และการควบคุมจำนวน เชื้อ Virus Load ในกระแสเลือด ใน น้อยจนถึงระดับ Undetecable หรือไม่สามารถตรวจพบและแพร่เชื้อได้ โดยผู้ติดเชื้อปัจจุบันสามารถมีสุขภาพแข็งแรงและ มีอายุขัยได้เท่ากับคนปกติที่ไม่ได้ติดเชื้อ ถ้าได้เข้ารับการรักษา
ปัจจุบันสื่อหลายๆสำนักและ ผู้คนทั่วไป ซึ่งมีความหลากหลายกัน มีทั้งกลุ่มคนที่มีความเข้ารุ้และเข้าใจในเรื่องของ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคติดเชื้ออาทิเช่น HIV Syphilis รวมถึงปัญหาหลักของผู้ติดเชื้อคือ โดนกีดกันจากองค์กร หรือผู้ว่าจ้างที่กีดกัน และบังคับ การตรวจหาเชื้อ. HIV ก่อนเข้าทำงานซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
เราควรตั้งคำถามว่า ตรวจทำไม?ตรวจเพื่อช่วยเหลือ ช้วยหาทางออกให้ หรือว่าบังคับตรวจเพื่อ จะคัดออก และกีดกันไม่ให้คำงาน
แน่นอนว่า เชื้อ HIV ไม่ได้มีใครอยากจะติดเชื้อนี้ และบางคนก็ติดเชื้อมาจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่ได่ตั้งใจ แต่เราก็ไม่มีสิทธฺในการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทางการแพทย์ของแต่ละคนในข้อนี้อยู่ดี
หลายบริษัทองค์กรทียังบังคับตรวจ และ หลายองค์กรที่ไม่ตรวจ ซึ่ง อีกคำถามที่น่าคิดคือ ถ้าเรากีดกันไม่รับผู้ติดเชื้อนี้ให้มีโอกาสเสมอภาคคนอื่นในฐานะที่เป็นมนุษย์เหมือนกันและเค้าจะไปทำมาหากินอะไร ให้อยู่เฉยๆไม่มีงานทำและสุดท้ายเป็นภาระของสังคมหรอ?
การติดต่อกันทางปัจจุบันเป็นไปได้ยาก เพราะ อย่างที่ได้กล่าวไปขั้นต้นว่าการรักษาระดับไวรัส ให้ต่ำจน Undetecable และการสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรค ซึ่งเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับ การกินอาหาร การ หายใจใช้ชีวิตร่วมกันไม่ทำให้ติดเชื้ออยู่แล้ว ถ้าอย่างงั้น คนทั้งโลกคงติดเชื้อจากการที่เราไปกินอาหารนอกบ้านใช้ ช้อนส้อมจานชามกับคนในสังคมไปหมดแล้ว
ยังมีความย้อนแย้งอยู่ในเรื่องของการเข้าทำงานโดยไม่ตรวจสุขภาพ หรือไม่ตรจหาเชื้อ HIV แต่กลับกลายเป้นว่า ประกันชีวิตหรือประกันกลุ่ม ที่แต่ละบริษัท เสนอให้นั้น ในแบบฟอร์มการสมัครรับประกัน ดันมีคำถามอย่างโ่จ่งแจ้ง เช่น คุณเคยมีคู่ครองหรือคนในครอบครัวที่ติดเชื้อ HIV หรือไม่ หรือ ถามว่า คุรมีโรคประจำตัวหรือโรคติดเชื้อหรือไม่
นโยบายการคุ้มครองของแต่ละบริษัทประกันมีความแตกต่างกัน บางบริท เขียนหมายเหตุชัดเจนว่า ถ้าทำการตรวจสอบข้อมูลการรักษาย้อนหลัง หรือกรอกข้อมูลไม่เป็นความความจริง จะไม่มีการคุ้มครองและชดเชยค่าเสียหายทั้งสิน
อีกอย่าง...ถ้าเรากรอกตามความเป็นจริงไป HRที่เอาเอกสารเราไปก็จะรู้ว่าเราติดเชื้อ ซึ่งมันคือข้อมูลส่วนบุคคล แต่เชื่อมั้ยหละ ว่า เรื่องนี้ถึงหู เจ้าของบริษัทได้ไม่ยากแน่นอน อย่างงี้สิ่งที่ตามมาก็คือ ต้องพึ่งดวงล้วนๆ ว่า เจ้านายของคุร มีมุมมอง และทัศนคติที่ดีแค่ไหนต่อเรื่องการการติดเชื้อนี้ เพื่อให้คุรได้ทำงานต่อ
ในผู้ที่ไม่เห็นด้วยและมองว่ามันก็เป็นสิทธิของผู้ปประกอบการที่จะสามมรถเลือกคนที่สุขภาพดีพร้อมเข้าทำงานเหมือนกัน เราคิดว่าจุดนี้เราต้องมาประเมิน และแยกบททดสอบด้านสุขภาพที่แตกต่างกัน ให้เหมาะสมในแต่ละตำแหน่ง และบริบทในการทำงานมากกว่า ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนในการเเพร่เชื้อ งานที่ทำงาน หน้าคอมในออฟฟิศ ทั้งไปไม่น้าจะมีปัจจัยใดให้เสี่ยงได้เลย นอกจากคุณจะมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ แบบไม่ป้องกันแต่โดยปกติแล้ว เรามองใครแล้วเรารู้หรอว่า เค้ามีผลสุขภาพเป็นแบบใด และเราเองก็ไม่มีสิทธิในการขอข้อมูลส่วนตัวของเขา มนูษย์ทุกคน ใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงทั้งนั้น ในทางที่ดีคือเราต้องรู้จักวิธีป้องกัน อย่างถูกต้อง และหาความรู้ความเข้าใจต่อสิ่งเหล่านั้นมากกว่า
สิ่งสุดท้ายที่อยากจะเสนอคือ ยุคนี้เรากำลังเป็นยุคที่ รณรงค์เรื่องความหลากหลายของคนในทั้งคม ทั้งเรื่องความหลากลหายทางเพศ LGBT สีผิว เชื้อชาติ ที่แตกต่างกันยอมรับกัน
เพราะงั้นเรื่องของสุขภาพที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนก็ไ่ม่น่าจะเป็นอะไรที่แตกต่างจากประเด็นด้านบนเลย ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในฐานะความเป็นมนุษย์ เราต้องช่วยกันในการสร้างความเสมอภาค ยอมรับความหลากหลายและให้โอกาส ไม่กีดกันและเลือกปฏิบัติต่อผู้คน ที่มีความหลากหลายกัน
ร่วมลงชื่อเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง
https://www.change.org/p/web-results-ยุติการตรวจหาเชื้อ-hiv-สําหรับการทํางานและการเลือกปฏิบัติกับผู้ติดเชื้อ
ยกเลิกการละเมิกสิทธิส่วนบุคคลในการขอตรวจหาเชื้อ HIV ในการทำงาน
และตรวจหาเพื่อทำการกีดกันผู้ติดเชื้อเข้าทำงานโดยไม่ได้คิดที่จะให้ความช่วยเหลือ หรือ โอกาสในการทำงานที่เสมอภาคกันโดยการเอา สถานะดารติดเชื้อมาเป็นปัจจัยในการเลือกปฏิบัติและกีดกัน
เนื่องจากปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อ HIV มีจำนวนมากขึ้น ทั้งผู้ที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งที่รับการรักษา และยังไม่ได้รับการรักษา ในปัจจุบัน โปรแกรมการรักษาผู้ติดเชื้อก็มีประสิทธิภาพสูงมาก ทั้งด้านยา และการควบคุมจำนวน เชื้อ Virus Load ในกระแสเลือด ใน น้อยจนถึงระดับ Undetecable หรือไม่สามารถตรวจพบและแพร่เชื้อได้ โดยผู้ติดเชื้อปัจจุบันสามารถมีสุขภาพแข็งแรงและ มีอายุขัยได้เท่ากับคนปกติที่ไม่ได้ติดเชื้อ ถ้าได้เข้ารับการรักษา
ปัจจุบันสื่อหลายๆสำนักและ ผู้คนทั่วไป ซึ่งมีความหลากหลายกัน มีทั้งกลุ่มคนที่มีความเข้ารุ้และเข้าใจในเรื่องของ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคติดเชื้ออาทิเช่น HIV Syphilis รวมถึงปัญหาหลักของผู้ติดเชื้อคือ โดนกีดกันจากองค์กร หรือผู้ว่าจ้างที่กีดกัน และบังคับ การตรวจหาเชื้อ. HIV ก่อนเข้าทำงานซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
เราควรตั้งคำถามว่า ตรวจทำไม?ตรวจเพื่อช่วยเหลือ ช้วยหาทางออกให้ หรือว่าบังคับตรวจเพื่อ จะคัดออก และกีดกันไม่ให้คำงาน
แน่นอนว่า เชื้อ HIV ไม่ได้มีใครอยากจะติดเชื้อนี้ และบางคนก็ติดเชื้อมาจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่ได่ตั้งใจ แต่เราก็ไม่มีสิทธฺในการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทางการแพทย์ของแต่ละคนในข้อนี้อยู่ดี
หลายบริษัทองค์กรทียังบังคับตรวจ และ หลายองค์กรที่ไม่ตรวจ ซึ่ง อีกคำถามที่น่าคิดคือ ถ้าเรากีดกันไม่รับผู้ติดเชื้อนี้ให้มีโอกาสเสมอภาคคนอื่นในฐานะที่เป็นมนุษย์เหมือนกันและเค้าจะไปทำมาหากินอะไร ให้อยู่เฉยๆไม่มีงานทำและสุดท้ายเป็นภาระของสังคมหรอ?
การติดต่อกันทางปัจจุบันเป็นไปได้ยาก เพราะ อย่างที่ได้กล่าวไปขั้นต้นว่าการรักษาระดับไวรัส ให้ต่ำจน Undetecable และการสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรค ซึ่งเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับ การกินอาหาร การ หายใจใช้ชีวิตร่วมกันไม่ทำให้ติดเชื้ออยู่แล้ว ถ้าอย่างงั้น คนทั้งโลกคงติดเชื้อจากการที่เราไปกินอาหารนอกบ้านใช้ ช้อนส้อมจานชามกับคนในสังคมไปหมดแล้ว
ยังมีความย้อนแย้งอยู่ในเรื่องของการเข้าทำงานโดยไม่ตรวจสุขภาพ หรือไม่ตรจหาเชื้อ HIV แต่กลับกลายเป้นว่า ประกันชีวิตหรือประกันกลุ่ม ที่แต่ละบริษัท เสนอให้นั้น ในแบบฟอร์มการสมัครรับประกัน ดันมีคำถามอย่างโ่จ่งแจ้ง เช่น คุณเคยมีคู่ครองหรือคนในครอบครัวที่ติดเชื้อ HIV หรือไม่ หรือ ถามว่า คุรมีโรคประจำตัวหรือโรคติดเชื้อหรือไม่
นโยบายการคุ้มครองของแต่ละบริษัทประกันมีความแตกต่างกัน บางบริท เขียนหมายเหตุชัดเจนว่า ถ้าทำการตรวจสอบข้อมูลการรักษาย้อนหลัง หรือกรอกข้อมูลไม่เป็นความความจริง จะไม่มีการคุ้มครองและชดเชยค่าเสียหายทั้งสิน
อีกอย่าง...ถ้าเรากรอกตามความเป็นจริงไป HRที่เอาเอกสารเราไปก็จะรู้ว่าเราติดเชื้อ ซึ่งมันคือข้อมูลส่วนบุคคล แต่เชื่อมั้ยหละ ว่า เรื่องนี้ถึงหู เจ้าของบริษัทได้ไม่ยากแน่นอน อย่างงี้สิ่งที่ตามมาก็คือ ต้องพึ่งดวงล้วนๆ ว่า เจ้านายของคุร มีมุมมอง และทัศนคติที่ดีแค่ไหนต่อเรื่องการการติดเชื้อนี้ เพื่อให้คุรได้ทำงานต่อ
ในผู้ที่ไม่เห็นด้วยและมองว่ามันก็เป็นสิทธิของผู้ปประกอบการที่จะสามมรถเลือกคนที่สุขภาพดีพร้อมเข้าทำงานเหมือนกัน เราคิดว่าจุดนี้เราต้องมาประเมิน และแยกบททดสอบด้านสุขภาพที่แตกต่างกัน ให้เหมาะสมในแต่ละตำแหน่ง และบริบทในการทำงานมากกว่า ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนในการเเพร่เชื้อ งานที่ทำงาน หน้าคอมในออฟฟิศ ทั้งไปไม่น้าจะมีปัจจัยใดให้เสี่ยงได้เลย นอกจากคุณจะมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ แบบไม่ป้องกันแต่โดยปกติแล้ว เรามองใครแล้วเรารู้หรอว่า เค้ามีผลสุขภาพเป็นแบบใด และเราเองก็ไม่มีสิทธิในการขอข้อมูลส่วนตัวของเขา มนูษย์ทุกคน ใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงทั้งนั้น ในทางที่ดีคือเราต้องรู้จักวิธีป้องกัน อย่างถูกต้อง และหาความรู้ความเข้าใจต่อสิ่งเหล่านั้นมากกว่า
สิ่งสุดท้ายที่อยากจะเสนอคือ ยุคนี้เรากำลังเป็นยุคที่ รณรงค์เรื่องความหลากหลายของคนในทั้งคม ทั้งเรื่องความหลากลหายทางเพศ LGBT สีผิว เชื้อชาติ ที่แตกต่างกันยอมรับกัน
เพราะงั้นเรื่องของสุขภาพที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนก็ไ่ม่น่าจะเป็นอะไรที่แตกต่างจากประเด็นด้านบนเลย ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในฐานะความเป็นมนุษย์ เราต้องช่วยกันในการสร้างความเสมอภาค ยอมรับความหลากหลายและให้โอกาส ไม่กีดกันและเลือกปฏิบัติต่อผู้คน ที่มีความหลากหลายกัน
ร่วมลงชื่อเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง
https://www.change.org/p/web-results-ยุติการตรวจหาเชื้อ-hiv-สําหรับการทํางานและการเลือกปฏิบัติกับผู้ติดเชื้อ