สวัสดีค่ะ
หลังจากคราวที่แล้วพาไปวูฟอังกฤษ คราวนี้มาเปลี่ยนบรรยากาศไปญี่ปุ่นกันบ้าง
ไปญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่ได้มีคอนเซปอะไรพิเศษ แต่ที่พิเศษคือเป็นการพาแม่ไปแบ็คแพ็คครั้งแรก
หลังจากที่แม่เคยเป็นแต่ผู้ฟังว่าลูกไปไหน ใช้ชีวิตยังไง กินอะไร เจอเรื่องราวแบบไหน
ครั้งนี้เลยถือโอกาสพาแม่ไปเจอประสบการณ์เหล่านั้นด้วยตัวเองเลย
เหตุผลที่เลือกญี่ปุ่นเพราะเป็นประเทศที่แม่ใฝ่ฝันว่าอยากไปตั้งแต่เด็กๆแล้ว
แม่เล่าว่าตอนเด็กๆดูหนังญี่ปุ่นแล้วชอบ สมัยก่อนมีปฏิทินที่รูปด้านหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิก็จะตัดเก็บไว้
อยากไปเห็นปราสาท ภูเขาไฟ และซากุระของจริง
ในที่สุดก็ถึงเวลาได้เดินทางไปสูดอากาศบนเกาะญี่ปุ่นจริงๆซักที!
ครั้งนี้ เราตัดสินใจใช้เวลา 10 วัน เพื่อทำความรู้จัก 10 พื้นที่ครอบคลุม Kanto Kansai และ Chubu
ตามภาพแผนที่ด้านล่างค่ะ
แต่ด้วยความฉุกละหุก และเหตุผลหลายๆอย่าง ทำให้การเดินทางของเราเป็นเดือนตุลา
ใช่ค่ะ... ไม่มีซากุระ..
เรายื่นข้อเสนอ ใบไม้แดง แทนซากุระเพื่อโน้มน้าวใจจนแม่ยอมตกลง
แค่เริ่มต้นก็ดูเป็นกบฏแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขว่า เพื่อให้แม่จำได้ว่าไปไหนมาบ้าง โดยไม่ใช่การเดินตามอย่างเดียว
แม่จะต้องจดบันทึกการเดินทางในทุกๆวัน เกี่ยวกับอะไรก็ได้ ที่เจอ และประทับใจ
โดยพี่เราจะเป็นคนรวบรวมเป็นเล่มให้ ไว้ให้พ่อได้อ่านเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งแม่จะได้กลับมาอ่านเองด้วย
จนในที่สุด ด้วยระยะเวลาเกือบ 1 ปี บันทึกของแม่ก็เสร็จเรียบร้อย
ใช่ค่ะ... กระทู้นี้ เราขออนุญาตเอาบันทึกของแม่มาให้อ่าน แทนการเขียนเอง (เนียนขี้เกียจเลย)
สุดท้ายแล้ว แม่จะประทับใจอะไรบ้าง ติดตามอ่านบันทึกการเดินทาง(เพื่อส่งการบ้าน)ของแม่ได้เลยค่ะ
(ขอฝากเพจท่องเที่ยวของพี่ด้วยคะ
https://www.facebook.com/wherearellama/ )
วันที่ 1
Tokyo
วิธีเดินทาง
จากสนามบินเข้าเมือง - เนื่องจากเรายังไม่ได้เปิดใช้ JR Pass วันนี้ จึงเลือกใช้บริการของ Keisei Line แทน
ราคามี 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความด่วนของรถ รายละเอียดตาม Link ด้านล่างจ้า
http://www.keisei.co.jp/keisei/tetudou/skyliner/us/fares/index.php
ภายในโตเกียว - tokyo subway pass 24 hours
ตั๋วชนิดนี้จะใช้ได้ 24 ชั่วโมงนับจากครั้งแรกที่เราเริ่มใช้ค่ะ ซึ่งสามารถขึ้นรถไฟของ Tokyo metro และ Toei ทุกสาย
ตั๋วมี 3 แบบ คือ 24 ชั่วโมง 48 ชั่วโมง และ 72 ชั่วโมง
รายละเอียดตาม Link ด้านล่างจ้า
https://www.tokyometro.jp/en/ticket/travel/index.html
วันที่ 2
Nikko
วิธีเดินทาง
Tokyo-Nikko - เปิดใช้ JR Pass โลดดด กระโดดขึ้น Tohoku Shinkansen จาก Ueno ไปลง Utsunomiya แล้วต่อ Nikko Line ไปถึง Nikko
สามารถเช็ครอบรถไฟได้จาก Link ด้านล่างจ้า
https://www.eki-net.com/pc/jreast-shinkansen-reservation/English/wb/common/timetable/index.html
ภายใน Nikko - สามารถซื้อตั๋ววันได้ที่สถานีรถไฟเลยค่ะ ราคาตั๋วขึ้นอยู่กับว่าครอบคลุม area แค่ไหน
รายละเอียดตาม Link ด้านล่างจ้า
https://www.japan-guide.com/e/e2358_002.html
ขอเล่าเรื่องนิกโก้เพิ่มเติมแบบหยาบๆนิดนึง
(จำไม่ได้ว่าเซฟรูปมาจากไหน ขออนุญาตใช้เพื่อประกอบการอธิบายนะคะ)
จากภาพจะเห็นว่าเมืองมีการแบ่งเป็น 2 area หลักๆ
คือ เมืองมรดกโลก ซึ่งอยู่ทางขวามือของภาพและเมืองส่วนทะเลสาบ ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ
เริ่มจากเมืองมรดกโลก หรือที่เรียกว่าพื้นที่ด้านล่าง โดยมีสะพาน shinkyo ทอดข้ามแม่น้ำ Daiya(ที่ไหลลงมาจากทะเลสาบ Chuzenji) เชื่อมเมืองมรดกโลกกับพื้นที่ฝั่งสถานที่รถไฟ Shinkyo เป็นหนึ่งในสามของสะพานที่โด่งดังของญี่ปุ่น
ความสำคัญของ Nikko คือเป็นที่ฝั่งศพของโชกุล Tokugawa Ieyasu หรือผู้ที่รวมแผ่นดินญี่ปุ่น และย้ายเมืองหลวงมายัง Edo หรือโตเกียวในปัจจุบัน เนื่องจากญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าสิงชั่วร้ายจะมาจากทางทิศเหนือ ก่อนจากไป Tokugawa Ieyasu จึงได้สร้างเมือง nikko ขึ้นซึ่งอยู่ทางเหนือของโตเกียว และสั่งเสียไว้ว่าให้นำกระดูกของตนไปไว้ที่นั่น
เขยิบไปทางทิศตะวันตก เป็นที่ตั้งของทะเลสาบ Chuzenji เนื่องจากทะเลสาบโดนโอบล้อมด้วยภูเขาอยู่บนระดับที่สูงกว่าพื้นที่ที่สร้างเมือง ทำให้เกิดน้ำตก Kegon ตกจาก ทะเลสาบ Chuzenji มายังแม่น้ำ Daiya เมื่อถึงฤดูหนาว น้ำจะมีอุณภูมิต่ำจนแข็ง ทำให้เป็นทิวทัศน์ที่น่าสนใจ
นอกจะนี้พื้นที่โซนธรรมชาตินี้ยังโด่งดังเรื่องออนเซน และเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่าอีกด้วย
วันที่ 3
Kyoto
วิธีเดินทาง
Tokyo-Kyoto – ขึ้น Tokaido Shinkanzen ขึ้นชื่อว่าเป็น Shinkanzen สายที่สวยที่สุด เนื่องจากสร้างอยู่บริเวณที่มีพื้นที่ราบ ทำให้ไม่ต้องขุดอุโมงทะลุภูเขา จึงเห็นวิวสองข้างทางได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ถ้าโชคดีและอากาศเป็นใจจะสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิอวดโฉมอยู่ทางขวามือของขบวน
แน่นอนว่า... ครั้งนี้เราไม่ได้เห็น
ภายในเกียวโต – ใช้บริการรถบัสโดยใช้ตั๋ววัน ราคา 500 เยน
วันที่ 4
Himeji - ขึ้น Tokaido Shinkanzen จาก Kyoto Sta. ไป Himeji Sta. ได้เลย
ปราสาทฮิเมจิเป็นหนึ่งใน 12 ปราสาทที่ไม่เคยโดนทำลายเลย จึงเรียกได้ว่าเป็น Original castle อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังได้รับขึ้นเป็นมรดกโลก มีความโดดเด่นเนื่องจากตัวปราสาทเป็นสีขาวล้วน ทำให้มีชื่อเล่นว่า White Heron Castle (ปราสาทนกกระสาขาว)
ระยะทางจากสถานีรถไฟไปยังปราสาทไม่ไกลมาก ถนนที่เป็นแกนตรงจากสถานีสู่ปราสาทมีการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาเหมาะแก่การเดิน ซึ่งแกนตรงนี้ขับเน้นให้เส้นทางสู่ตัวปราสาทมีความยิ่งใหญ่อลังการมากยิ่งขึ้น แต่กลับกัน เมื่อเข้ามาสู่พื้นที่ปราสาทแล้ว กว่าจะเข้าถึงตัวอาคารได้ต้องผ่านทางเดินคดเคี้ยว ชวนให้นึกถึงสมัยก่อน หากโดนโจมตี คนภายในก็มีเวลาให้เตรียมตัวเยอะขึ้น แถมการได้เปรียบในความชำนาญพื้นที่ยังช่วยให้ลอบโจมตีอีกฝ่ายได้มากยิ่งขึ้น
Byodoin - ขึ้นรถไฟสาย Nara ไปลงยัง Uji Sta.
ลองหยิบเหรียญ 10 เยนขึ้นมาดูซิ ใช่แล้ว วัดเดียวกันเลย
ถ้าจะให้เล่าจริงๆแล้ว Byodoin ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นวัดตั้งแต่แรก แต่เป็นบ้านพักให้กับชนชั้นปกครองคนหนึ่งที่ชื่อ Fujiwara no Michinaga
Byodoin เป็นอีกสถาปัตยกรรมที่ถูกทำร้ายด้วยไฟ ยกเว้น Phoenix Hall ที่ไม้เคยโดนทำลายเลย จึงถึอเป็นโครงสร้างไม้จากยุค Heian(1053) ที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน
ภายในความเก่านั้นมีความใหม่ซ่อนอยู่ เมื่อเดินอ้อมไปด้านหลังจะเจอกับอาคารโมเดิร์นที่เป็นพิพิธภันณ์ซ่อนตัวอยู่ซึ่งมองไม่เห็นจากทางด้านหน้า ทำให้ไม่ทำลายทัศนียภาพของสถาปัตยกรรมโบราณ และมีความงามในแบบยุคสมัยที่ต่างกัน
วันที่ 5
Kyoto-Matsumoto - นั่ง Tokaido Shinkanzen กลับมาลงที่ Nagoya แล้วต่อ Limited Express ไปลง Matsumoto
Daio Wasabi Farm – ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง Matsumoto สามารถขึ้นแท็กซีจากสถานี Hotaka ราคาประมาณ 1,300 Yen
เมื่อพาแม่แบ็คแพ็คญี่ปุ่น 10 วัน ใน 10 พื้นที่
หลังจากคราวที่แล้วพาไปวูฟอังกฤษ คราวนี้มาเปลี่ยนบรรยากาศไปญี่ปุ่นกันบ้าง
ไปญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่ได้มีคอนเซปอะไรพิเศษ แต่ที่พิเศษคือเป็นการพาแม่ไปแบ็คแพ็คครั้งแรก
หลังจากที่แม่เคยเป็นแต่ผู้ฟังว่าลูกไปไหน ใช้ชีวิตยังไง กินอะไร เจอเรื่องราวแบบไหน
ครั้งนี้เลยถือโอกาสพาแม่ไปเจอประสบการณ์เหล่านั้นด้วยตัวเองเลย
เหตุผลที่เลือกญี่ปุ่นเพราะเป็นประเทศที่แม่ใฝ่ฝันว่าอยากไปตั้งแต่เด็กๆแล้ว
แม่เล่าว่าตอนเด็กๆดูหนังญี่ปุ่นแล้วชอบ สมัยก่อนมีปฏิทินที่รูปด้านหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิก็จะตัดเก็บไว้
อยากไปเห็นปราสาท ภูเขาไฟ และซากุระของจริง
ในที่สุดก็ถึงเวลาได้เดินทางไปสูดอากาศบนเกาะญี่ปุ่นจริงๆซักที!
ครั้งนี้ เราตัดสินใจใช้เวลา 10 วัน เพื่อทำความรู้จัก 10 พื้นที่ครอบคลุม Kanto Kansai และ Chubu
ตามภาพแผนที่ด้านล่างค่ะ
แต่ด้วยความฉุกละหุก และเหตุผลหลายๆอย่าง ทำให้การเดินทางของเราเป็นเดือนตุลา
ใช่ค่ะ... ไม่มีซากุระ..
เรายื่นข้อเสนอ ใบไม้แดง แทนซากุระเพื่อโน้มน้าวใจจนแม่ยอมตกลง
แค่เริ่มต้นก็ดูเป็นกบฏแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขว่า เพื่อให้แม่จำได้ว่าไปไหนมาบ้าง โดยไม่ใช่การเดินตามอย่างเดียว
แม่จะต้องจดบันทึกการเดินทางในทุกๆวัน เกี่ยวกับอะไรก็ได้ ที่เจอ และประทับใจ
โดยพี่เราจะเป็นคนรวบรวมเป็นเล่มให้ ไว้ให้พ่อได้อ่านเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งแม่จะได้กลับมาอ่านเองด้วย
จนในที่สุด ด้วยระยะเวลาเกือบ 1 ปี บันทึกของแม่ก็เสร็จเรียบร้อย
ใช่ค่ะ... กระทู้นี้ เราขออนุญาตเอาบันทึกของแม่มาให้อ่าน แทนการเขียนเอง (เนียนขี้เกียจเลย)
สุดท้ายแล้ว แม่จะประทับใจอะไรบ้าง ติดตามอ่านบันทึกการเดินทาง(เพื่อส่งการบ้าน)ของแม่ได้เลยค่ะ
(ขอฝากเพจท่องเที่ยวของพี่ด้วยคะ https://www.facebook.com/wherearellama/ )
วันที่ 1
Tokyo
วิธีเดินทาง
จากสนามบินเข้าเมือง - เนื่องจากเรายังไม่ได้เปิดใช้ JR Pass วันนี้ จึงเลือกใช้บริการของ Keisei Line แทน
ราคามี 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความด่วนของรถ รายละเอียดตาม Link ด้านล่างจ้า
http://www.keisei.co.jp/keisei/tetudou/skyliner/us/fares/index.php
ภายในโตเกียว - tokyo subway pass 24 hours
ตั๋วชนิดนี้จะใช้ได้ 24 ชั่วโมงนับจากครั้งแรกที่เราเริ่มใช้ค่ะ ซึ่งสามารถขึ้นรถไฟของ Tokyo metro และ Toei ทุกสาย
ตั๋วมี 3 แบบ คือ 24 ชั่วโมง 48 ชั่วโมง และ 72 ชั่วโมง
รายละเอียดตาม Link ด้านล่างจ้า
https://www.tokyometro.jp/en/ticket/travel/index.html
วันที่ 2
Nikko
วิธีเดินทาง
Tokyo-Nikko - เปิดใช้ JR Pass โลดดด กระโดดขึ้น Tohoku Shinkansen จาก Ueno ไปลง Utsunomiya แล้วต่อ Nikko Line ไปถึง Nikko
สามารถเช็ครอบรถไฟได้จาก Link ด้านล่างจ้า
https://www.eki-net.com/pc/jreast-shinkansen-reservation/English/wb/common/timetable/index.html
ภายใน Nikko - สามารถซื้อตั๋ววันได้ที่สถานีรถไฟเลยค่ะ ราคาตั๋วขึ้นอยู่กับว่าครอบคลุม area แค่ไหน
รายละเอียดตาม Link ด้านล่างจ้า
https://www.japan-guide.com/e/e2358_002.html
ขอเล่าเรื่องนิกโก้เพิ่มเติมแบบหยาบๆนิดนึง
(จำไม่ได้ว่าเซฟรูปมาจากไหน ขออนุญาตใช้เพื่อประกอบการอธิบายนะคะ)
จากภาพจะเห็นว่าเมืองมีการแบ่งเป็น 2 area หลักๆ
คือ เมืองมรดกโลก ซึ่งอยู่ทางขวามือของภาพและเมืองส่วนทะเลสาบ ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ
เริ่มจากเมืองมรดกโลก หรือที่เรียกว่าพื้นที่ด้านล่าง โดยมีสะพาน shinkyo ทอดข้ามแม่น้ำ Daiya(ที่ไหลลงมาจากทะเลสาบ Chuzenji) เชื่อมเมืองมรดกโลกกับพื้นที่ฝั่งสถานที่รถไฟ Shinkyo เป็นหนึ่งในสามของสะพานที่โด่งดังของญี่ปุ่น
ความสำคัญของ Nikko คือเป็นที่ฝั่งศพของโชกุล Tokugawa Ieyasu หรือผู้ที่รวมแผ่นดินญี่ปุ่น และย้ายเมืองหลวงมายัง Edo หรือโตเกียวในปัจจุบัน เนื่องจากญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าสิงชั่วร้ายจะมาจากทางทิศเหนือ ก่อนจากไป Tokugawa Ieyasu จึงได้สร้างเมือง nikko ขึ้นซึ่งอยู่ทางเหนือของโตเกียว และสั่งเสียไว้ว่าให้นำกระดูกของตนไปไว้ที่นั่น
เขยิบไปทางทิศตะวันตก เป็นที่ตั้งของทะเลสาบ Chuzenji เนื่องจากทะเลสาบโดนโอบล้อมด้วยภูเขาอยู่บนระดับที่สูงกว่าพื้นที่ที่สร้างเมือง ทำให้เกิดน้ำตก Kegon ตกจาก ทะเลสาบ Chuzenji มายังแม่น้ำ Daiya เมื่อถึงฤดูหนาว น้ำจะมีอุณภูมิต่ำจนแข็ง ทำให้เป็นทิวทัศน์ที่น่าสนใจ
นอกจะนี้พื้นที่โซนธรรมชาตินี้ยังโด่งดังเรื่องออนเซน และเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่าอีกด้วย
วันที่ 3
Kyoto
วิธีเดินทาง
Tokyo-Kyoto – ขึ้น Tokaido Shinkanzen ขึ้นชื่อว่าเป็น Shinkanzen สายที่สวยที่สุด เนื่องจากสร้างอยู่บริเวณที่มีพื้นที่ราบ ทำให้ไม่ต้องขุดอุโมงทะลุภูเขา จึงเห็นวิวสองข้างทางได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ถ้าโชคดีและอากาศเป็นใจจะสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิอวดโฉมอยู่ทางขวามือของขบวน
แน่นอนว่า... ครั้งนี้เราไม่ได้เห็น
ภายในเกียวโต – ใช้บริการรถบัสโดยใช้ตั๋ววัน ราคา 500 เยน
วันที่ 4
Himeji - ขึ้น Tokaido Shinkanzen จาก Kyoto Sta. ไป Himeji Sta. ได้เลย
ปราสาทฮิเมจิเป็นหนึ่งใน 12 ปราสาทที่ไม่เคยโดนทำลายเลย จึงเรียกได้ว่าเป็น Original castle อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังได้รับขึ้นเป็นมรดกโลก มีความโดดเด่นเนื่องจากตัวปราสาทเป็นสีขาวล้วน ทำให้มีชื่อเล่นว่า White Heron Castle (ปราสาทนกกระสาขาว)
ระยะทางจากสถานีรถไฟไปยังปราสาทไม่ไกลมาก ถนนที่เป็นแกนตรงจากสถานีสู่ปราสาทมีการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาเหมาะแก่การเดิน ซึ่งแกนตรงนี้ขับเน้นให้เส้นทางสู่ตัวปราสาทมีความยิ่งใหญ่อลังการมากยิ่งขึ้น แต่กลับกัน เมื่อเข้ามาสู่พื้นที่ปราสาทแล้ว กว่าจะเข้าถึงตัวอาคารได้ต้องผ่านทางเดินคดเคี้ยว ชวนให้นึกถึงสมัยก่อน หากโดนโจมตี คนภายในก็มีเวลาให้เตรียมตัวเยอะขึ้น แถมการได้เปรียบในความชำนาญพื้นที่ยังช่วยให้ลอบโจมตีอีกฝ่ายได้มากยิ่งขึ้น
Byodoin - ขึ้นรถไฟสาย Nara ไปลงยัง Uji Sta.
ลองหยิบเหรียญ 10 เยนขึ้นมาดูซิ ใช่แล้ว วัดเดียวกันเลย
ถ้าจะให้เล่าจริงๆแล้ว Byodoin ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นวัดตั้งแต่แรก แต่เป็นบ้านพักให้กับชนชั้นปกครองคนหนึ่งที่ชื่อ Fujiwara no Michinaga
Byodoin เป็นอีกสถาปัตยกรรมที่ถูกทำร้ายด้วยไฟ ยกเว้น Phoenix Hall ที่ไม้เคยโดนทำลายเลย จึงถึอเป็นโครงสร้างไม้จากยุค Heian(1053) ที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน
ภายในความเก่านั้นมีความใหม่ซ่อนอยู่ เมื่อเดินอ้อมไปด้านหลังจะเจอกับอาคารโมเดิร์นที่เป็นพิพิธภันณ์ซ่อนตัวอยู่ซึ่งมองไม่เห็นจากทางด้านหน้า ทำให้ไม่ทำลายทัศนียภาพของสถาปัตยกรรมโบราณ และมีความงามในแบบยุคสมัยที่ต่างกัน
วันที่ 5
Kyoto-Matsumoto - นั่ง Tokaido Shinkanzen กลับมาลงที่ Nagoya แล้วต่อ Limited Express ไปลง Matsumoto
Daio Wasabi Farm – ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง Matsumoto สามารถขึ้นแท็กซีจากสถานี Hotaka ราคาประมาณ 1,300 Yen