“คนอ่านกราฟ” ยังไงก็ไม่มีวันที่จะนำหน้า “คนเขียนกราฟ”
กราฟเกิดจากอะไร ?
กราฟเกิดจากเรียงร้อยข้อมูลในอดีต เพื่อแสดงให้เห็นพฤติกรรมย้อนหลังของการซื้อขาย
แล้วสรุปออกมาให้ทราบถึง “ความน่าจะเป็น” ข้างหน้า
การพัฒนาระบบของคนอ่านกราฟ เพื่อให้ไล่ทัน คนเขียนกราฟ ก็แตกต่างกันออกไป
ระบบที่มี Sensitivity เยอะ ก็อาจจะมี Specificity ต่ำ ( เสือปืนไว ที่บางทีก็กลายเป็น กระต่ายตื่นตูม )
ระบบที่มี Specificity สูง ก็อาจจะมี Sensitivity น้อย ( แม่น แต่รู้ตัวช้า และหลายทีมักช้าเกินไป )
ไม่มีระบบไหนบนโลกนี้ ที่มีทั้ง Sensitivity และ Specificity สูง
เพราะถ้ามี ในเวลาไม่นานเมื่อทุกคนหันมาใช้เหมือนกัน ประสิทธิภาพมันก็มักจะต่ำลงโดยอัตโนมัติ
ถ้าเทียบกลับเป็น Timeframe
ยิ่งสั้น ยิ่งใช้เวลาน้อย โอกาสพลาดก็ยิ่งสูง
ยิ่งยาว ใช้เวลามาก โอกาสพลาดต่ำ แต่บางที มันก็สายไปเสียแล้ว
ถ้าเราเป็นคนขายของ ทำอย่างไรให้เราขายได้มาก ขายได้เยอะ ขายได้ราคา
ก็ต้องทำให้มันน่าซื้อ
กลับกัน ถ้าเราเป็นคนซื้อของ ทำอย่างไร เราถึงจะได้ของดี ราคาถูก
ก็ต้องทำให้เกิดความน่าขาย
แล้วอะไร ทำให้เกิดความรู้สึก “น่าซื้อ” หรือ “น่าขาย”
กราฟ นั่นไง ...
คนที่มีอำนาจในการควบคุมตลาดมากพอ ย่อมขีดเขียนรูปกราฟได้
เพื่อให้คนอ่านกราฟ “ซื้อ” หรือ “ขาย” หรือ “ถือ” ตามที่ คนเขียนกราฟ ต้องการ
โดยผลลัพธ์สุดท้าย มักจะออกในทางตรงกันข้ามกับที่คนส่วนใหญ่ “ทำ” เสมอ
จงกลัว ในตอนที่มันยังดูไม่น่ากลัว ...
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลัว ในตอนที่คนส่วนใหญ่กลัว
เพราะตอนที่คนส่วนใหญ่ คิดว่ามันน่ากลัว ... ก็มักเกิดอุปทานหมู่จนขาดสติเสมอ
คนอ่านกราฟ vs คนเขียนกราฟ
กราฟเกิดจากอะไร ?
กราฟเกิดจากเรียงร้อยข้อมูลในอดีต เพื่อแสดงให้เห็นพฤติกรรมย้อนหลังของการซื้อขาย
แล้วสรุปออกมาให้ทราบถึง “ความน่าจะเป็น” ข้างหน้า
การพัฒนาระบบของคนอ่านกราฟ เพื่อให้ไล่ทัน คนเขียนกราฟ ก็แตกต่างกันออกไป
ระบบที่มี Sensitivity เยอะ ก็อาจจะมี Specificity ต่ำ ( เสือปืนไว ที่บางทีก็กลายเป็น กระต่ายตื่นตูม )
ระบบที่มี Specificity สูง ก็อาจจะมี Sensitivity น้อย ( แม่น แต่รู้ตัวช้า และหลายทีมักช้าเกินไป )
ไม่มีระบบไหนบนโลกนี้ ที่มีทั้ง Sensitivity และ Specificity สูง
เพราะถ้ามี ในเวลาไม่นานเมื่อทุกคนหันมาใช้เหมือนกัน ประสิทธิภาพมันก็มักจะต่ำลงโดยอัตโนมัติ
ถ้าเทียบกลับเป็น Timeframe
ยิ่งสั้น ยิ่งใช้เวลาน้อย โอกาสพลาดก็ยิ่งสูง
ยิ่งยาว ใช้เวลามาก โอกาสพลาดต่ำ แต่บางที มันก็สายไปเสียแล้ว
ถ้าเราเป็นคนขายของ ทำอย่างไรให้เราขายได้มาก ขายได้เยอะ ขายได้ราคา
ก็ต้องทำให้มันน่าซื้อ
กลับกัน ถ้าเราเป็นคนซื้อของ ทำอย่างไร เราถึงจะได้ของดี ราคาถูก
ก็ต้องทำให้เกิดความน่าขาย
แล้วอะไร ทำให้เกิดความรู้สึก “น่าซื้อ” หรือ “น่าขาย”
กราฟ นั่นไง ...
คนที่มีอำนาจในการควบคุมตลาดมากพอ ย่อมขีดเขียนรูปกราฟได้
เพื่อให้คนอ่านกราฟ “ซื้อ” หรือ “ขาย” หรือ “ถือ” ตามที่ คนเขียนกราฟ ต้องการ
โดยผลลัพธ์สุดท้าย มักจะออกในทางตรงกันข้ามกับที่คนส่วนใหญ่ “ทำ” เสมอ
จงกลัว ในตอนที่มันยังดูไม่น่ากลัว ...
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลัว ในตอนที่คนส่วนใหญ่กลัว
เพราะตอนที่คนส่วนใหญ่ คิดว่ามันน่ากลัว ... ก็มักเกิดอุปทานหมู่จนขาดสติเสมอ