แชร์ประสบการณ์ : เป็นไบโพรล่าจนชีวิตพังแต่กับมายืนสู้ได้อีกครั้ง

สวัสดีค่ะทุกคน หนูชื่อเพลงนะคะ หนูจะมาเล่าประสบการในชีวิตที่เกิดขึ้นจริง เพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมโรค และ พ่อแม่ของเพื่อนร่วมโรคค่ะ เกริ่นมาเสียยาว หนูขอเริ่มเล่าเลยนะคะ คือหนูเนี่ย เป็นสมาธิสั้นตั้งแต่เด็กๆ แต่ที่บ้านก็เข้าใจ พาไปรักษา ชีวิต5ปีแรกที่ลืมตาดูโรคหนูมีความสุขดี จนกระทั้ง ย้าย โรงเรียนตอน ป.3 เริ่มมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อน เริ่มไม่มีเพื่อน มันทำให้หนูรู้สึกแย่มาก แต่ก็ทนไปเรื่อยๆ การเรียนก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหล่ เรียกได้ว่าอยู่ในระดับดี จนช่วงน้ำท่วมใหญ่ ก็เกิดปัญหาระรอกแรกขึ้น เพราะ หนีน้ำไปอยู่ต่สงจังหวัด ยาหมด บวกกับ แม่กับพ่อคิดว่าดีขึ้นแล้ว เลยให้หยุดยา(ซึ่งขอบอกเลยว่าอย่าทำแบบนี้เด็ดขาดเลยนะคะ มันมีผลกระทบเยอะมาก) ซึ่งตอนหยุดยาแรกๆก็ดีค่ะ แต่พอกลับไปเรียน ซึ่งย้ายโรงเรียนหนีน้ำ คราวนี้อาการเราหนักขึ้นค่ะ มีการจะฆ่าตัวตาย ทะเลาะกับเพื่อน ตอนนั้นเราแย่มาก จนต้องกลับไปหาหมอ ทีนี้โดนยาแรงขึ้นค่ะ หมอเริ่มสงสัยว่าเราเป็นไบโพล่า แต่แม่ไม่อยากให้ใครรู้ เลยไม่ให้หมอจ่ายยาไบโพล่า แต่จ่ายยาทางอ้อมแทน เราก็มีเรื่องหนักใจพ่อแม่ขึ้นเป็นระยะระยะ จนขึ้นมัธยม เรามีแต่คนเกียจ เรามีปัญหาหนักมาก กลับบ้านมาร้องไห้ทุกวัน โดนเพื่อนแกล้งตลอด เพราะเขาไม่เข้าใจในตัวเรา เล่ามาถึงตรงนี้ เราอยากจะขอร้อง ให้ บรรดาเพื่อนๆครูรวมถึงผู้ปกครองของผู้ป่วยไม่ว่าจะไบโพล่า ซึมเศร้า สมาธิสั้น ขอให้พยายามเข้าใจพวกเขาใช้ความรักดูแลพวกเขา อย่ารังเกียจกันเลยนะคะ ขอเล่าต่อนะคะ จนช่วงม.2 เราอยากพิสูตรตัวเองให้ทุกๆคนเห็น เราจึงตัดสินใจสอบกำเนิดวิทย์ เราอ่านหนังสือหนักมากเรียนพิเศษเลิกดึกๆทุกวัน จนถึง มอ3 แต่เราก็ไม่ติดสักที่ ไม่ว่าจะกำเนิดวิทย์ mwit TU เราจำได้ว่าวันสอบ TUเราอ้วกกลางห้องสอบเพราะความเครียด เราเสียใจหนักมาก จนไปเรียน ม4เราก็ยังเครียด เรายังคงเจอปัญหาเดิมๆ แต่ที่โรงเรียนใหม่ไม่มีครูหรือเพื่อนคนไหนเข้าใจเราสักคน จนเราต้องลาออก ช่วงที่ลาออกใหม่ๆเราแย่มาก จนเราทะเลาะกับแม่จนถึงคั่นทำร้ายร่างกาย จนในที่สุดเราต้องนอน รพ. เรานอนอยู่หลายเดือน ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี จนในที่สุดอาการเราก็ดีขึ้น ทุกวันนี้เราก็ไปหาหมออยู่ สิ่งนึงที่เราสังเกตุเวลาคุยกับหมอ คือหมอจะชมทุกครั้งที่พ่อเล่าว่าเราดูแลตัวเอง ทำความสะอาดบ้าน ทำงานบ้าน ซึ่งมันเป็นเรื่องปรกติสำหรับเราเพราะเราทำมาตั้งแต่ต้น
สุดท้ายนี้เราอยากบอกคุณพ่อคุณแม่ของผู้ป่วย หรือแม้กระทั้งคนรอบตัว รวมถึงตัวผู้ป่วยเองให้มีกำลังใจ ลุกขึ้นสู้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือกำลังใจและความเข้าใจทั้งจากตัวเองหรือคนรอบข้าง อย่ารังเกียจตัวเองหรือผู้ป่วยเลยนะคะ ไม่มีใครอยากป่วย แต่เมื่อป่วยแล้วเราก็ต้องรู้วิธีอยู่กับมันค่ะ สู้ๆนะคะทุกคน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่