สวัสดีค่ะ กลับมาอีกครั้งหลังจากรีวิวการไปเที่ยวเกาหลีใต้กับอากาศหนาวจัดจนน้ำในชักโครกเป็นน้ำแข็ง ครั้งนี้นุ้งแพรวก็ยังคงเจอเรื่อง
เซอไพรส์ เช่นเดียวกัน โดยจุดหมายในครั้งนี้คือ
แถบคันไซ ประเทศญี่ปุ่น (โอซาก้า เกียวโต และนารา)
คำเตือน !!!! กระทู้นี้ยาวมากนะคะเพราะละเอียดยิบ รูปใหญ่มากจ้าาาาาาาา
ขอเกริ่นนำเล็กน้อยถึงความเซอไพรส์ที่เกิดขึ้นนะคะ เนื่องจากในช่วงเดือน มิ.ย. - ก.ค. 2561 ประเทศญี่ปุ่นนั้นเจอสภาพอากาศที่
ร้อนมากถึงมากที่สุด จนมีคนเสียชีวิตจากอากาศที่ร้อน รวมถึงแผ่นดินไหว และอุทกภัยอย่างหนักที่โอคายามะ ทำให้รู้สึกหวั่นใจมากว่าจะต้องยกเลิกทริปหรือไม่ จนถึงขั้นต้องทำการไหว้พระสวดมนต์เพื่อให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายครั้งนี้เลยทีเดียว
ในการท่องเที่ยวในครั้งนี้แพรวเดินทางกับเพื่อน 2 คน โดยตั้งใจจะไป 5 วัน 4 คืน ซึ่งได้ทำการจอง
ตั๋วเครื่องบินจากเว็ปไซต์ expedia เช่นเดิม ในราคาไป-กลับ (รวมน้ำหนักกระเป๋าขากลับ 20 กิโลกรัม) ในราคา 8,500 บาท โดยตั๋วขาไปเป็นสายการบิน scoot และขากลับเป็นของ AirAsia X
จอง
ที่พัก Airbnb แถวนัมบะไปค่ะ ในราคาประมาณ 4,700 บาท (ตกคนละ 2,300 กว่าบาท สำหรับ 4 คืน) ซึ่งหลังจากจองที่พักไปได้ประมาณเดือนนิดๆ ก็
ถูกเจ้าของที่พักเทแรงมากค่ะ ตัดเยื่อใยกันไปเลย T-T แต่ก็ได้เงินคืนกลับมาครบจำนวนและรวดเร็วค่ะ ปัญหาก็คือการจองที่พักในช่วงเดือนที่เดินทางมันอาจจะมีราคาสูงได้ แต่เหมือนฟ้าบันดาลให้เจอกับที่พักนี้ ชื่อ
Hotel s-presso ในราคา 20,082 เยน (ประมาณ 6,000 บาท) เป็นห้องนอนแบบญี่ปุ่น ห้องน้ำรวมค่ะ เนื่องด้วยความไม่แน่นอนของสภาพอากาศและการยกเลิกหรือการดีเลย์ของเที่ยวบินเราก็ได้ซื้อประกันไว้ด้วยค่ะ
ในส่วนของ
Pass ในการเดินทาง ที่ซื้อไปจากไทยเราซื้อ Kansai Thru Pass (KTP) 3 วัน (ประมาณ 1,500 บาท) และ nankai limited express rap: namba to kansai airport (ประมาณ 350 บาท) ปล.ขาเข้าไปนัมบะจองไม่ทันได้แต่ขากลับ จากเว็บ Klook ค่ะ ซึ่ง Pass ต่างๆสามารถไป
รับ Pass และซื้อได้ที่เคาท์เตอร์ HIS ชั้น 1 ของอาคารผู้โดยสาร เดินไปฝั่งขวาของตึกเกือบสุด อยู่ทางด้านซ้ายมือฝั่งประตูทางออกค่ะ ส่วน
nankai limited express rap: to namba สามารถซื้อได้ที่เคาท์เตอร์ ชั้น 2 เดินออกนอกอาคารผู้โดยสารไป เคาท์เตอร์จะอยู่ทางซ้ายมือ มีที่ขายตั๋วรถไฟหลายอย่างเลยค่ะ
อันนี้รูป nankai limited express rap: ใช้เวลาเดินทางถึงนัมบะเพียง 45 นาทีเท่านั้นค่ะ
รูปภาพจาก ;
https://www.osakastation.com/the-nankai-airport-line-the-airport-express-rapit-services-for-kansai-airport-namba/
ถึงวันบินจริงๆ ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีฝน พายุใดๆ แต่แดดเนี่ยรู้สึกได้ว่า ผ่าวๆเลยทีเดียวคร้าบบโผมมม
วันแรก เราถึงสนามบินคันไซ ประมาณเวลา 17.00 น. อุณหภูมิภาคพื้นดินประมาณ 33 องศาเซลเซียส (แต่แดดที่สาดมามันไม่ใช่อะ ไม่ใช่)
ไปรับ Pass ที่ชั้นหนึ่ง และนั่งรถไฟไป namba ทันที เมื่อถึงสถานี namba แล้วเราก็ออกจากสถานี Nankai namba station เดินเท้าประมาณ 5-7 นาทีเท่านั้นก็้ถึงโรงแรมแล้ว ใกล้มากจริงๆค่ะ (ในความเป็นจริงคือเดินหลงกันประมาณ 15 นาทีเพราะหาทางออกไม่เจอและคนเยอะมาก น้องก็งงมากค่ะ) โรงแรมที่เราพัก ชื่อ
Hotel-s presso ค่ะ
อันนี้รูปจาก google street view นะคะ โรงแรมสวย ดูใหม่ พนักงานหน้าตาน่ารักจุ๋มจิ๋มมากค่ะ แต่ไม่มีลิฟท์ให้นะคะ ถ้าใครกระเป๋าหนักมากอาจจะไม่โอเค ณ จุดนี้ได้ค่ะ แต่ดีที่เราพักอยุ่แค่ชั้น 2 เลยสบายๆ
บรรยากาศห้องที่เราไปพักค่ะ เป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่น มีฟูก หมอน และผ้าห่มให้ค่ะ ชอบมากกกก ให้อารมณ์ญี่ปุ่นสุดๆ แต่ห้องก็จะแคบหน่อยสไตล์โรงแรมญี่ปุ่นเลยค่ะ
ในห้องมีกาน้ำร้อน Wi-Fi ตู้เย็น ตู้เซฟและโทรศัพท์มือถือให้ใช้ด้วยนะคะ เก๋กู้ดมากค่ะ
มีผ้าเช็ดตัว เช็ดหน้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เสื้อคลุมอาบน้ำให้ด้วย ครบจบกระบวนความ
ส่วนห้องอาบน้ำจะอยู่ชั้น 1 มีห้องอาบน้ำสำหรับผู้หญิงให้ 2 ห้อง และผู้ชายมี 1 ห้อง แยกกันชัดเจนค่ะ หายห่วง ในห้องอาบน้ำจะมีสบู่อาบน้ำ ยาสระผม และครีมนวดผมบริการให้ รวมถึงไดร์เป่าผม กิ๊บดำ และหวีให้พร้อมสรรพเลยค่ะ และห้องน้ำจะมีอยู่ในทุกๆชั้นนะคะไม่ต้องวิ่งลงไปชั้น 1 อย่างเดียวค่ะ
ตกเย็นแล้วก็หิวพอดี ย่านแรกที่จะไปคือ
ย่าน Dontonburi สามารถเดินได้จากโรงแรมที่เราพักไปที่ย่านนั้นได้ใช้เวลา 10 นาทีเท่านั้นเดินออกจากโรงแรมเลี้ยงขวาเดินตรงไปเรื่อยๆเลยค่ะ ก็จะถึงย่าน Dontonburi แล้วในช่วงที่ไปเขามีประดับโคมไฟด้วย สวยงามค่ะ
ตอนกลางคืนสวยมากค่ะ คึกคักมากด้วย
มา Dontonburi ต้องมาถ่ายกับพี่เค้านะคะ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง คนแน่นมากค่ะพูดเลย
ร้านอาหาร ร้านขายของต่างๆเยอะมากจริงๆค่ะ เลือกไม่ถูกเลย ส่วนใหญ่เป็นทาโกยากิเยอะมากก แต่ร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดประมาณสี่ทุ่มค่ะ เปิดกันตั้งแต่เช้า 9-10 โมงประมาณนี้ค่ะ
สุดท้ายจบที่ราเม็ง ด้านหน้าจะเป็นตู้ออเดอร์กดเอง ราคาประมาณ 700 เยนขึ้นไปค่ะ อร่อยใช้ได้เลยค่ะ ลูกค้าเยอะมากโดยเฉพาะชาวต่างชาติ (จำชื่อร้านไม่ได้จริงๆค่ะ ตอนนั้นหิวหน้ามืดมาก รู้แต่อยู่แถวถนนที่มี Starbuck กับ Forever21)
ระหว่างทางก็แวะซื้อของที่ 7-11 ของกินเยอะแยะ งานพรีเมี่ยมมาก (ราคานักท่องเที่ยวจะเป็นราคาบวกภาษีนะคะ แต่บางครั้งเราไปซื้อก็ไม่บวกก็คืองงเหมือนกันค่ะ) ของเด็ดที่ตั้งใจไปกินเลยก็คือ
ไอศกรีมวานิลลายี่ห้อ เมจิ
ไปเจอมาว่า ไอศกรีมอันนี้ เป็นไอศกรีมที่อร่อยที่สุด จากการโหวตของคนญี่ปุ่นเลย ไอเราก็คอไอศกรีม ไปลองหน่อยดิ้
ผลลัพท์คือ อร่อยนะเห้ยยยยว่าไม่ได้ ไม่หวานแสบคออะ รสชาติ คืออารมณ์เหมือนไอติมกะทิราดนมข้นจืดลงไปแบบจุกๆอะค่ะ มันๆนัวๆบอกไม่ถูก แต่รวมๆแล้วรสชาติดีค่ะ ต้องไปลองค่าาาา
อะๆ ถึงเวลากลับโรงแรมไปนอนก่อนนะค้าาาาาาาาาาาาาาาา บาย
วันที่ 2 Kyoto (Arashiyama, Bamboo forest , Kiyomizu-dera temple )
ก่อนอื่นขออธิบายการเดินทางโดยใช้ KTP เลยนะคะ
1. Arashiyama
เริ่มต้นจากการนั่ง
subway สาย
Midosuji (สีแดง) จาก
สถานี Namba (M20) ไปยัง สถานี Umeda (M16)
หลังจากนั้นไปต่อรถไฟสาย
Hankyu Kyoto line ไปลง
สถานี Katsura ซึ่งจะเลือกนั่งรถไฟประเภทอะไรก็ได้ค่ะ จากนั้นต่อสาย Arashiyama line นั่งไปจนสุดสายได้เลยค่า ออกจากสถานี
รูปจาก ;
http://www.hankyu.co.jp/global/en/traffic/route_map/index.html hankyu line สายอื่นๆได้ที่เว็ปนี้เลยค่ะ
หลังจากนั้นเราก็เดินออกมาจากสถานีเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ไกลจากสถานีมาก ก็เจอสวนสาธารณะและ
สะพาน Togetsukyo 2. Arashiyama Bamboo forest
ให้เดินตรงไปทางสะพาน Togetsukyo เรื่อยๆแล้วข้ามถนน ไปอีกฝั่งเพื่อไปรอรถบัส (รถบัสที่นี่ต้องขึ้นด้านหลังแล้วลงด้านหน้านะคะ ด้านคนขับจะมีเครื่องให้ใส่ตั๋ว KTP) เราสามารถเช็ครถบัสสายที่จะไปจากป้ายรถบัสที่ติดตั้งอยู่ได้เลย หรือสามารถเดินไปก็ได้นะคะ เดินตรงไปทางสะพานจนสุดสะพานและเดินข้ามถนนไปอีกฟาก สองข้างถนนจะมีของขายเต็มเลยค่ะ มีนักท่องเที่ยวใส่กิโมโนเดินเต็มไปหมดเลย แต่ด้วยความร้อนแรง เหงื่อเอยอะไรเอยต่างๆแล้ว เราก็เลือกที่จะนั่งบัสค่ะ โดยเรานั่งรถบัสสาย 94 ไปลงป้าย Nonomiya แล้วเข้าซอยข้างๆตามนักท่องเที่ยวไปเลยค่ะ ก็จะถึง
ป่าไผ่ (ฺArashiyama bamboo forest) แล้วค่าาา
ป่าไผ่เดินเข้าไปได้ยาวเลยค่ะ ด้านในมีวัดและศาลเจ้าด้วยแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยนะคะ5555
หลังจากนั้นเดินออกที่ถนนเส้นเดิมที่มาแล้วข้ามมาฝั่งตรงข้ามเพื่อไปกลับสถานี Arashiyama station หรือถ้าใครจะไปเที่ยวใน Arashiyama สามารถดูได้จากป้ายรถบัสได้เลยค่ะ มีบอกทั้งสายที่ไปและเวลาของรถบัสด้วยค่ะ สะดวกมากก
3. Kiyomizu-dera temple (วัดน้ำใส)
เรานั่งรถไฟจากสถานี Arashiyama (1) มาลงที่สถานี Katsura (2) เช่นเดิมและต่อรถไฟยาวไปจนสุดสถานีที่ Sanjo (3)
อันนี้เป็นแผนที่ที่มาพร้อมกับ KTP นะคะ สามารถดูได้เลยค่ะ
เราไปแวะกันที่บริเวณ Gion ก่อน บริเวณนั้นจะมีสะพานข้ามแม่น้ำและซอยที่มีสไตล์แบบญี่ปุ่นเหมือนในหนังเลยค่ะ
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถบัสไปเช่นเดิมค่ะ ที่ป้ายรถบัสจะมีบอกรายละเอียดการเดินทางเรียบร้อยเลยค่ะ ไม่ต้องห่วง หลังจากลงรถบัสแล้วเราก็เดินข้ามถนน ซึ่งเราก็เดินตามนักท่องเที่ยวไปตามทางเดินที่เป็นเนินชันขึ้นไป
ทั้งร้อนและเหนื่อยมากค่ะ จะเป็นลมมมมม ถึงสักที แม่จ๋าาา
ขอพรจากน้ำศักดิ์สิทธิ์สามสายค่ะ คนต่อคิวยาวเกิ๊นนน
ตอนนี้อาคารไม้กำลังปรับปรุงแบบคลุมแสลมเขียวทั้งหลังเลยค่ะ ใจสลายเลยแม่จ๋า เศร้ามากค่ะ งั้นถ่ายรูปจากรูปถ่ายไปก่อนค่ะ จุดที่เข้าไปในอาคารไม้และจุดที่ขอพรน้ำศักดิ์สิทธิ์ต้องเสียค่าเข้าด้วยนะคะ ไม่แน่ใจว่าผู้ใหญ่ 300 เยนหรือเปล่าค่ะ
บัตรเข้าชมวัดสวยมาก เราเก็บไว้เป็นที่คั่นหนังสือเลยค่ะ
กลับโรงแรมแล้วค่าาาา สามารถนั่งรถไฟกลับเส้นทางเส้นเดิมได้เลยค่ะ แพรวและเพื่อนเหนื่อยหนักมาก ด้วย
อากาศที่ร้อน มันร้อนแบบแห้งๆ อบๆ ผ่าวๆข้างในร่างกาย มันทำให้เพลียง่ายมาก พอกลับมาถึงโรงแรม แพรวก็ได้หลับยิงยาวโดยลืมข้าวเย็นไปเลยค่ะ ดังนั้นคนที่จะไป
เที่ยวแบบ Backpack เที่ยวเองในหน้าร้อน ต้องเตรียมตัวหน่อยนะคะ ทั้งร่ม ครีมกันแดด อุปกรณ์เสริมเพิ่มความเย็น ยาดม ต่างๆเอาให้พร้อมนะคะ ไม่งั้นไม่รอดแน่ค่ะ มันร้อนอึดอีดมากค่ะ เพลียมากจริงๆ ฝันดีค่าาาา ข้ามไปวันถัดไปเลยจ้าาา
ขออนุญาตพักสักครู่นะคะ เหลือตารางเที่ยวอีก 2 วันค่าาา อย่าลืมติดตามนะคะ
[CR] ตะลุยโอซาก้า เกียวโต นารา แบบร้อนระอุทะลุปรอท นี่มันไม่ใช่เล่นๆแล้ว (Japan trip 2018)
คำเตือน !!!! กระทู้นี้ยาวมากนะคะเพราะละเอียดยิบ รูปใหญ่มากจ้าาาาาาาา
ขอเกริ่นนำเล็กน้อยถึงความเซอไพรส์ที่เกิดขึ้นนะคะ เนื่องจากในช่วงเดือน มิ.ย. - ก.ค. 2561 ประเทศญี่ปุ่นนั้นเจอสภาพอากาศที่ร้อนมากถึงมากที่สุด จนมีคนเสียชีวิตจากอากาศที่ร้อน รวมถึงแผ่นดินไหว และอุทกภัยอย่างหนักที่โอคายามะ ทำให้รู้สึกหวั่นใจมากว่าจะต้องยกเลิกทริปหรือไม่ จนถึงขั้นต้องทำการไหว้พระสวดมนต์เพื่อให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายครั้งนี้เลยทีเดียว
ในการท่องเที่ยวในครั้งนี้แพรวเดินทางกับเพื่อน 2 คน โดยตั้งใจจะไป 5 วัน 4 คืน ซึ่งได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินจากเว็ปไซต์ expedia เช่นเดิม ในราคาไป-กลับ (รวมน้ำหนักกระเป๋าขากลับ 20 กิโลกรัม) ในราคา 8,500 บาท โดยตั๋วขาไปเป็นสายการบิน scoot และขากลับเป็นของ AirAsia X
จองที่พัก Airbnb แถวนัมบะไปค่ะ ในราคาประมาณ 4,700 บาท (ตกคนละ 2,300 กว่าบาท สำหรับ 4 คืน) ซึ่งหลังจากจองที่พักไปได้ประมาณเดือนนิดๆ ก็ ถูกเจ้าของที่พักเทแรงมากค่ะ ตัดเยื่อใยกันไปเลย T-T แต่ก็ได้เงินคืนกลับมาครบจำนวนและรวดเร็วค่ะ ปัญหาก็คือการจองที่พักในช่วงเดือนที่เดินทางมันอาจจะมีราคาสูงได้ แต่เหมือนฟ้าบันดาลให้เจอกับที่พักนี้ ชื่อ Hotel s-presso ในราคา 20,082 เยน (ประมาณ 6,000 บาท) เป็นห้องนอนแบบญี่ปุ่น ห้องน้ำรวมค่ะ เนื่องด้วยความไม่แน่นอนของสภาพอากาศและการยกเลิกหรือการดีเลย์ของเที่ยวบินเราก็ได้ซื้อประกันไว้ด้วยค่ะ
ในส่วนของ Pass ในการเดินทาง ที่ซื้อไปจากไทยเราซื้อ Kansai Thru Pass (KTP) 3 วัน (ประมาณ 1,500 บาท) และ nankai limited express rap: namba to kansai airport (ประมาณ 350 บาท) ปล.ขาเข้าไปนัมบะจองไม่ทันได้แต่ขากลับ จากเว็บ Klook ค่ะ ซึ่ง Pass ต่างๆสามารถไปรับ Pass และซื้อได้ที่เคาท์เตอร์ HIS ชั้น 1 ของอาคารผู้โดยสาร เดินไปฝั่งขวาของตึกเกือบสุด อยู่ทางด้านซ้ายมือฝั่งประตูทางออกค่ะ ส่วน nankai limited express rap: to namba สามารถซื้อได้ที่เคาท์เตอร์ ชั้น 2 เดินออกนอกอาคารผู้โดยสารไป เคาท์เตอร์จะอยู่ทางซ้ายมือ มีที่ขายตั๋วรถไฟหลายอย่างเลยค่ะ
อันนี้รูป nankai limited express rap: ใช้เวลาเดินทางถึงนัมบะเพียง 45 นาทีเท่านั้นค่ะ
รูปภาพจาก ; https://www.osakastation.com/the-nankai-airport-line-the-airport-express-rapit-services-for-kansai-airport-namba/
ถึงวันบินจริงๆ ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีฝน พายุใดๆ แต่แดดเนี่ยรู้สึกได้ว่า ผ่าวๆเลยทีเดียวคร้าบบโผมมม
วันแรก เราถึงสนามบินคันไซ ประมาณเวลา 17.00 น. อุณหภูมิภาคพื้นดินประมาณ 33 องศาเซลเซียส (แต่แดดที่สาดมามันไม่ใช่อะ ไม่ใช่)
ไปรับ Pass ที่ชั้นหนึ่ง และนั่งรถไฟไป namba ทันที เมื่อถึงสถานี namba แล้วเราก็ออกจากสถานี Nankai namba station เดินเท้าประมาณ 5-7 นาทีเท่านั้นก็้ถึงโรงแรมแล้ว ใกล้มากจริงๆค่ะ (ในความเป็นจริงคือเดินหลงกันประมาณ 15 นาทีเพราะหาทางออกไม่เจอและคนเยอะมาก น้องก็งงมากค่ะ) โรงแรมที่เราพัก ชื่อ Hotel-s presso ค่ะ
อันนี้รูปจาก google street view นะคะ โรงแรมสวย ดูใหม่ พนักงานหน้าตาน่ารักจุ๋มจิ๋มมากค่ะ แต่ไม่มีลิฟท์ให้นะคะ ถ้าใครกระเป๋าหนักมากอาจจะไม่โอเค ณ จุดนี้ได้ค่ะ แต่ดีที่เราพักอยุ่แค่ชั้น 2 เลยสบายๆ
บรรยากาศห้องที่เราไปพักค่ะ เป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่น มีฟูก หมอน และผ้าห่มให้ค่ะ ชอบมากกกก ให้อารมณ์ญี่ปุ่นสุดๆ แต่ห้องก็จะแคบหน่อยสไตล์โรงแรมญี่ปุ่นเลยค่ะ
ในห้องมีกาน้ำร้อน Wi-Fi ตู้เย็น ตู้เซฟและโทรศัพท์มือถือให้ใช้ด้วยนะคะ เก๋กู้ดมากค่ะ
มีผ้าเช็ดตัว เช็ดหน้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เสื้อคลุมอาบน้ำให้ด้วย ครบจบกระบวนความ
ส่วนห้องอาบน้ำจะอยู่ชั้น 1 มีห้องอาบน้ำสำหรับผู้หญิงให้ 2 ห้อง และผู้ชายมี 1 ห้อง แยกกันชัดเจนค่ะ หายห่วง ในห้องอาบน้ำจะมีสบู่อาบน้ำ ยาสระผม และครีมนวดผมบริการให้ รวมถึงไดร์เป่าผม กิ๊บดำ และหวีให้พร้อมสรรพเลยค่ะ และห้องน้ำจะมีอยู่ในทุกๆชั้นนะคะไม่ต้องวิ่งลงไปชั้น 1 อย่างเดียวค่ะ
ตกเย็นแล้วก็หิวพอดี ย่านแรกที่จะไปคือ ย่าน Dontonburi สามารถเดินได้จากโรงแรมที่เราพักไปที่ย่านนั้นได้ใช้เวลา 10 นาทีเท่านั้นเดินออกจากโรงแรมเลี้ยงขวาเดินตรงไปเรื่อยๆเลยค่ะ ก็จะถึงย่าน Dontonburi แล้วในช่วงที่ไปเขามีประดับโคมไฟด้วย สวยงามค่ะ
ตอนกลางคืนสวยมากค่ะ คึกคักมากด้วย
มา Dontonburi ต้องมาถ่ายกับพี่เค้านะคะ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง คนแน่นมากค่ะพูดเลย
ร้านอาหาร ร้านขายของต่างๆเยอะมากจริงๆค่ะ เลือกไม่ถูกเลย ส่วนใหญ่เป็นทาโกยากิเยอะมากก แต่ร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดประมาณสี่ทุ่มค่ะ เปิดกันตั้งแต่เช้า 9-10 โมงประมาณนี้ค่ะ
สุดท้ายจบที่ราเม็ง ด้านหน้าจะเป็นตู้ออเดอร์กดเอง ราคาประมาณ 700 เยนขึ้นไปค่ะ อร่อยใช้ได้เลยค่ะ ลูกค้าเยอะมากโดยเฉพาะชาวต่างชาติ (จำชื่อร้านไม่ได้จริงๆค่ะ ตอนนั้นหิวหน้ามืดมาก รู้แต่อยู่แถวถนนที่มี Starbuck กับ Forever21)
ระหว่างทางก็แวะซื้อของที่ 7-11 ของกินเยอะแยะ งานพรีเมี่ยมมาก (ราคานักท่องเที่ยวจะเป็นราคาบวกภาษีนะคะ แต่บางครั้งเราไปซื้อก็ไม่บวกก็คืองงเหมือนกันค่ะ) ของเด็ดที่ตั้งใจไปกินเลยก็คือ ไอศกรีมวานิลลายี่ห้อ เมจิ
ไปเจอมาว่า ไอศกรีมอันนี้ เป็นไอศกรีมที่อร่อยที่สุด จากการโหวตของคนญี่ปุ่นเลย ไอเราก็คอไอศกรีม ไปลองหน่อยดิ้
ผลลัพท์คือ อร่อยนะเห้ยยยยว่าไม่ได้ ไม่หวานแสบคออะ รสชาติ คืออารมณ์เหมือนไอติมกะทิราดนมข้นจืดลงไปแบบจุกๆอะค่ะ มันๆนัวๆบอกไม่ถูก แต่รวมๆแล้วรสชาติดีค่ะ ต้องไปลองค่าาาา
อะๆ ถึงเวลากลับโรงแรมไปนอนก่อนนะค้าาาาาาาาาาาาาาาา บาย
วันที่ 2 Kyoto (Arashiyama, Bamboo forest , Kiyomizu-dera temple )
ก่อนอื่นขออธิบายการเดินทางโดยใช้ KTP เลยนะคะ
1. Arashiyama
เริ่มต้นจากการนั่ง subway สาย Midosuji (สีแดง) จากสถานี Namba (M20) ไปยัง สถานี Umeda (M16)
หลังจากนั้นไปต่อรถไฟสาย Hankyu Kyoto line ไปลงสถานี Katsura ซึ่งจะเลือกนั่งรถไฟประเภทอะไรก็ได้ค่ะ จากนั้นต่อสาย Arashiyama line นั่งไปจนสุดสายได้เลยค่า ออกจากสถานี
รูปจาก ; http://www.hankyu.co.jp/global/en/traffic/route_map/index.html hankyu line สายอื่นๆได้ที่เว็ปนี้เลยค่ะ
หลังจากนั้นเราก็เดินออกมาจากสถานีเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ไกลจากสถานีมาก ก็เจอสวนสาธารณะและ สะพาน Togetsukyo 2. Arashiyama Bamboo forest
ให้เดินตรงไปทางสะพาน Togetsukyo เรื่อยๆแล้วข้ามถนน ไปอีกฝั่งเพื่อไปรอรถบัส (รถบัสที่นี่ต้องขึ้นด้านหลังแล้วลงด้านหน้านะคะ ด้านคนขับจะมีเครื่องให้ใส่ตั๋ว KTP) เราสามารถเช็ครถบัสสายที่จะไปจากป้ายรถบัสที่ติดตั้งอยู่ได้เลย หรือสามารถเดินไปก็ได้นะคะ เดินตรงไปทางสะพานจนสุดสะพานและเดินข้ามถนนไปอีกฟาก สองข้างถนนจะมีของขายเต็มเลยค่ะ มีนักท่องเที่ยวใส่กิโมโนเดินเต็มไปหมดเลย แต่ด้วยความร้อนแรง เหงื่อเอยอะไรเอยต่างๆแล้ว เราก็เลือกที่จะนั่งบัสค่ะ โดยเรานั่งรถบัสสาย 94 ไปลงป้าย Nonomiya แล้วเข้าซอยข้างๆตามนักท่องเที่ยวไปเลยค่ะ ก็จะถึง ป่าไผ่ (ฺArashiyama bamboo forest) แล้วค่าาา
ป่าไผ่เดินเข้าไปได้ยาวเลยค่ะ ด้านในมีวัดและศาลเจ้าด้วยแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยนะคะ5555
หลังจากนั้นเดินออกที่ถนนเส้นเดิมที่มาแล้วข้ามมาฝั่งตรงข้ามเพื่อไปกลับสถานี Arashiyama station หรือถ้าใครจะไปเที่ยวใน Arashiyama สามารถดูได้จากป้ายรถบัสได้เลยค่ะ มีบอกทั้งสายที่ไปและเวลาของรถบัสด้วยค่ะ สะดวกมากก
3. Kiyomizu-dera temple (วัดน้ำใส)
เรานั่งรถไฟจากสถานี Arashiyama (1) มาลงที่สถานี Katsura (2) เช่นเดิมและต่อรถไฟยาวไปจนสุดสถานีที่ Sanjo (3)
อันนี้เป็นแผนที่ที่มาพร้อมกับ KTP นะคะ สามารถดูได้เลยค่ะ
เราไปแวะกันที่บริเวณ Gion ก่อน บริเวณนั้นจะมีสะพานข้ามแม่น้ำและซอยที่มีสไตล์แบบญี่ปุ่นเหมือนในหนังเลยค่ะ
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถบัสไปเช่นเดิมค่ะ ที่ป้ายรถบัสจะมีบอกรายละเอียดการเดินทางเรียบร้อยเลยค่ะ ไม่ต้องห่วง หลังจากลงรถบัสแล้วเราก็เดินข้ามถนน ซึ่งเราก็เดินตามนักท่องเที่ยวไปตามทางเดินที่เป็นเนินชันขึ้นไป ทั้งร้อนและเหนื่อยมากค่ะ จะเป็นลมมมมม ถึงสักที แม่จ๋าาา
ขอพรจากน้ำศักดิ์สิทธิ์สามสายค่ะ คนต่อคิวยาวเกิ๊นนน
ตอนนี้อาคารไม้กำลังปรับปรุงแบบคลุมแสลมเขียวทั้งหลังเลยค่ะ ใจสลายเลยแม่จ๋า เศร้ามากค่ะ งั้นถ่ายรูปจากรูปถ่ายไปก่อนค่ะ จุดที่เข้าไปในอาคารไม้และจุดที่ขอพรน้ำศักดิ์สิทธิ์ต้องเสียค่าเข้าด้วยนะคะ ไม่แน่ใจว่าผู้ใหญ่ 300 เยนหรือเปล่าค่ะ
บัตรเข้าชมวัดสวยมาก เราเก็บไว้เป็นที่คั่นหนังสือเลยค่ะ
กลับโรงแรมแล้วค่าาาา สามารถนั่งรถไฟกลับเส้นทางเส้นเดิมได้เลยค่ะ แพรวและเพื่อนเหนื่อยหนักมาก ด้วยอากาศที่ร้อน มันร้อนแบบแห้งๆ อบๆ ผ่าวๆข้างในร่างกาย มันทำให้เพลียง่ายมาก พอกลับมาถึงโรงแรม แพรวก็ได้หลับยิงยาวโดยลืมข้าวเย็นไปเลยค่ะ ดังนั้นคนที่จะไปเที่ยวแบบ Backpack เที่ยวเองในหน้าร้อน ต้องเตรียมตัวหน่อยนะคะ ทั้งร่ม ครีมกันแดด อุปกรณ์เสริมเพิ่มความเย็น ยาดม ต่างๆเอาให้พร้อมนะคะ ไม่งั้นไม่รอดแน่ค่ะ มันร้อนอึดอีดมากค่ะ เพลียมากจริงๆ ฝันดีค่าาาา ข้ามไปวันถัดไปเลยจ้าาา
ขออนุญาตพักสักครู่นะคะ เหลือตารางเที่ยวอีก 2 วันค่าาา อย่าลืมติดตามนะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น