หากพูดถึงผู้กำกับหนังชาวญี่ปุ่นที่เป็นขวัญใจของเราละก็ หนึ่งชื่อที่จะขาดไม่ได้เลย ก็คือ Hirokazu Kore-eda ผู้กำกับที่ชอบเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคนตัวเล็กๆในสังคม เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว หรือบางทีก็เล่าเรื่องที่เป็นส่วนตัวมากๆ
หลังดูจบ เราบอกได้เลยทันทีว่านี่คือผลงานของ Kore-eda ที่เราชอบมากที่สุด
มันเหมือนการผสมผสานจุดเด่นผลงานของเขาจากหลายๆเรื่อง นำมารวมกันในเรื่องนี้ ซึ่งมันเด็ดขาดสุดๆ รวมไปถึงสารที่หนังต้องการถ่ายทอด มันพูดเรื่องเล็กๆได้ยิ่งใหญ่มากๆ
การถ่ายภาพและลำดับภาพ เป็นกระดูกสันหลังของหนังเรื่องนี้ สิ่งที่หนังจะสื่อสาร การเล่นกับอารมณ์ของเรา การเลือกมุมกล้อง การลำดับซีน คือส่วนที่จะทำให้เรารู้สึกตามไปกับหนังอย่างลงตัว พอดีสุดๆ รวมไปถึงซีนเฉลยช่วงท้ายของหนังที่เรารู้สึกว่าการลำดับภาพทำได้สมบูรณ์แบบมากๆ มันเฉียบคมทุกซีน ทุกจังหวะ โดยเฉพาะ ซีนจบช่วงที่ Shota กลับมานอนกับพ่อและร่ำลากันในตอนเช้า จังหวะช่วงนี้ไม่มีทางที่จะทำได้ดีกว่าที่เป็นอีกแล้ว
ซีนที่ครอบครัวออกมาดูดอกไม้ไฟด้วยกัน ก็ออกแบบมุมกล้องได้เจ๋งมากๆ
การแสดงของทีมนักแสดงชุดนี้ เป็นจุดสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หนังสามารถจะสื่อสารสิ่งที่ต้องการได้อย่างครบถ้วน แม่นยำและลงลึกได้ดั่งใจต้องการ
การแสดงของ Kirin Kiki ในบทคุณยาย ทำได้ตามมาตรฐานของเธอ แต่ก็ยังไม่ทิ้งลาย ฝากซีนเด็ดขาดตอนริมทะเล ที่เธอจ้องมองไปที่ครอบครัว(ของเธอ) แล้วยิ้ม และพูดขอบคุณ เราไม่มีคำถามใดๆอีกต่อไปจากซีนนี้
Lily Franky ในบท Osamu ตัวละครพ่อ ซึ่งเป็นตัวเอกในการเดินเรื่อง ก็ทำได้ดีเหมือนเดิม แต่เราก็รู้สึกว่า เรื่องนี้เขาเล่นบทที่ค่อนข้างต่างไปจากเดิม มีความรู้สึกดาร์คอยู่ภายในลึกๆตลอดเวลา แต่แสดงออกมาน้อยมากๆในช่วงแรก จนไปพีคตอนเฉลยในช่วงท้าย เขาทำได้เฉียบขาดมาก
Sakura Ando กับบทบาทแม่ เธอคุมการแสดงได้ลงตัวตลอดทั้งเรื่อง ซีนที่ต้องตอบคำถามตำรวจว่า “แล้วเด็กเรียกเธอว่าแม่รึเปล่า” เธอรีแอคกับคำถามได้อย่างซื่อสัตย์จริงๆ
แต่ที่สร้างความแปลกใจให้เราที่สุด คือการแสดงของ Mayu Matsuoka ในบท Aki ตัวละครที่มีมิติลึกมากๆ ซีนในห้องทอล์ครูมกับลูกค้าหมายเลข 4 เล่นเอาสะเทือนไปถึงขั้วหัวใจเลย
นักแสดงเด็กทั้ง Jyo Kairi ในบท Shota และ Miyu Sasaki ในบท Yuri ทำได้ดีทั้งคู่ ซีนจบของ Shota และ Yuri สายตาทั้ง 2 ทำได้ดีมากๆ
หนังเล่าเรื่องครอบครัวหนึ่งที่มีอาชีพเสริมคือการลักขโมยของในซุปเปอร์มาเกต ในคืนวันหนึ่ง Osamu และลูกชาย ได้บังเอิญเจอเด็กหญิงคนหนึ่ง หนีออกมานั่งหนาวอยู่นอกบ้านในฤดูกาลที่หนาวเหน็บ Osamu จึงตัดสินใจพาเธอกลับมาที่บ้านและให้โครเกต์ที่เขาซื้อมาจากร้านที่อร่อยมากให้เธอกิน แล้วเขาตั้งใจจะพาเธอกลับไปส่ง แต่เมื่อ Osamu และภรรยา พาเธอไปถึงหน้าบ้าน ก็ได้พบว่าครอบครัวเด็กหญิงไม่ได้อยากดูแลเธอเลย ภรรยาของ Osamu จึงตัดสินใจพาเด็กหญิงมาเลี้ยงที่บ้านของพวกเขา และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่สุดประทับใจ น่ารัก อบอุ่น ขบขัน เจ็บปวดและบาดลึกสุดๆ
ในตอนแรกแม่ไม่ได้อยากจะรับ Yuri เข้ามาดูแล แต่ด้วยความที่เธอเห็นใจ Yuri ว่าสิ่งที่ Yuri ต้องเจอ มันเจ็บปวดมาก “ถ้าแม่ไม่ได้อยากให้เราเกิดมา มันจะโหดร้ายแค่ไหน” เธอก็คงรู้สึกเหมือนกับสิ่งที่ Yuri ต้องเจอ พ่อแม่ของเธออาจไม่ได้อยากให้เธอเกิดมาเช่นกัน เธอเข้าใจเรื่องนี้ดี เธอถึงตัดพ้อกับ Osamu ว่า “เราไม่ได้โตมาเพื่อเป็นคนที่ห่วงใยคนอื่นหรอก”
ความเป็นจริงคือเธอไม่สามารถมีลูกได้ การรับ Yuri เข้ามาในครอบครัวโดยบังเอิญ อาจจะเป็นการเติมเต็มความต้องการของเธอโดยอาจไม่รู้ตัว ความสัมพันธ์ค่อยๆก่อตัวขึ้น จนมารู้สึกตัวอีกที เธอก็รู้สึกกับ Yuri ราวกับเป็นลูกในสายเลือดของตัวเองไปแล้ว ซีนที่เธอคุยกับ Yuri ในอ่างอาบน้ำ เกี่ยวกับรอยเตารีดบนท่อนแขนของเธอทั้ง 2 คน มันราวกับเป็นจุดเชื่อมโยงทั้ง 2 เข้าด้วยกัน ตอนนี้เธอต้องการดูแล Yuri แล้ว เธอเลือกที่จะเก็บ Yuri ไว้กับเธอ เธอกอดยูริไว้แนบอกและเผาผ้าห่มของ Yuri ทิ้งไป พวกเขากอดกันด้วยความรู้สึกจริงๆ ซีนนี้มันสื่อสารความรู้สึกออกมาได้สุดๆ เรารู้สึกว่าอ้อมกอดนี้มันอบอุ่นมากๆ และก็คิดว่า Yuri คงรู้สึกเหมือนกัน แม้ว่านี่จะไม่ใช่อ้อมกอดจากแม่แท้ๆของเธอ แต่มันคงไม่สำคัญหรอก
ไม่มีใครรู้ว่าที่ Osamu พา Shota มาอยู่ด้วยนั้น คือการช่วยเหลือ Shota หรือการจับผลัดจับผลูระหว่างที่เขากำลังขโมยของอยู่กันแน่ และนี่ก็คงเป็นคำถามที่ค้างคาใจ Shota มาตลอดเช่นกัน Shota ไม่เคยเรียก Osamu ว่าพ่อเลย แต่เรายังเห็นรอยยิ้มจากใบหน้าของ Osamu อยู่เสมอ เขาไม่เคยคาดคั้นให้ Shota เรียกเขาว่า “พ่อ” แต่เขาเชื่อว่าในสักวันหนึ่ง จะต้องมีวันนั้น บางทีพวกเขาอาจจะรู้สึกมัน มากกว่าการจะพูดมันออกมาก็ได้
เขายอมควักเงิน 450 เยน ที่เขามีอยู่น้อยนิด เพื่อซื้อโครเกต์จากร้านที่อร่อยที่สุดให้ Shota กิน ซีนที่เขาตามไปง้อ Shota ตอนที่ไม่ยอมกลับบ้าน มันน่ารักมากๆ มันดูธรรมชาติราวกับนี่คือพ่อลูกในสายเลือดกันจริงๆ ตอนนั้น Shota เล่าเรื่องสวิมมี่ให้พ่อฟังว่า “สวิมมี่ คือฝูงปลาตัวเล็กๆ ที่เอาชนะปลาทูน่าตัวใหญ่ๆได้” บางทีการอยู่รวมกันของคนตัวเล็กๆ ก็อาจทำสิ่งที่ใหญ่ๆได้เช่นกัน
เขาสอนให้ Shota ขโมยของ ซึ่ง Shota เองก็คอยช่วยเหลือ Osamu ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึง Shota ก็สอน Yuri ให้ทำแบบเดียวกัน แต่คุณลุงร้านยามาโตะก็จับได้ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเด็กทั้งสอง เพียงแต่บอกกับ Shota ว่า อย่าสอนให้น้องทำแบบนี้นะ
Shota กลับมาบอกพ่อว่า “ลุงร้านยามาโตะ บอกผมว่า อย่าสอน Yuri ให้ขโมยของ”
พ่อตอบไปว่า “ของที่อยู่ในร้าน มันยังไม่มีเจ้าของ นิดหน่อยเอง ร้านไม่เจ๊งหรอกน่า ไม่เป็นไรหรอก”
ในตอนท้ายหลังโดนจับ ตำรวจถาม Osamu ว่า “รู้สึกผิดบ้างไหมที่สอนให้เด็กขโมยของ”
“ก็ผมไม่รู้จะสอนอะไรพวกเขา”
Osamu ตอบ
นี่น่าจะเป็นคำตอบที่ซื่อตรงและจริงใจสุดๆละ
Aki หญิงสาวที่หนีออกจากบ้านมาอยู่กับคุณย่าที่บ้านหลังนี้ กับฉากหลังที่เราเห็นว่าครอบครัวเธอดูอบอุ่น มีฐานะโอเค แต่ใครจะรู้เบื้องลึกในความรู้สึกของเธอเป็นยังไง เธอมีปมฝังใจในเรื่องน้องสาว เธอคงรู้สึกว่า ครอบครัวรักน้องสาวมากกว่าเธอ เธอเลือกใช้ชื่อ ซายากะ ชื่อน้องสาวของเธอในการทำงาน เธออยากให้คนที่ทำงานแบบนี้เป็นน้องสาวของเธอ ไม่ใช่เธอ แต่ความอบอุ่นที่เรารู้สึกได้ก็คือ ความสัมพันธ์ของเธอกับย่า หลังจากหนังเฉลย เราก็รู้ว่าทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดเลย แต่เรารู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์นี้ ย่าจะดูออกทุกครั้งที่ Aki กลับบ้านมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรมา ย่าจะทัก Aki เสมอๆ
อาชีพอย่าง Aki มันคงไม่มีใครอยากทำ และแขกที่มาเที่ยว ก็คงต้องการแค่ความสุขชั่วคราวเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นกับ Aki และลูกค้าหมายเลข 4 มันค่อนข้างแตกต่าง นี่ไม่ใช่ “ความรัก” แน่ๆ แต่มันคือความรู้สึกของคนที่ “ขาด” 2 คนที่มาเจอกัน การสื่อสารผ่านทางแค่ตัวหนังสือ บางทีมันก็ทำได้ดีกว่าการพูดคุยกันเป็นไหนๆ ในห้องทอล์ครูมที่ Aki ได้อยู่กับลูกค้าหมายเลข 4 มันอบอุ่นมาก แม้ในสถานที่แบบนี้ ก็มีความอบอุ่นเกิดขึ้นได้ บางทีความสัมพันธ์ที่มันรู้สึกมันสื่อสารถึงกันได้ มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นรูปแบบความสัมพันธ์อย่างทั่วๆไปก็ได้ หากเพียงแค่ทั้งสองสามารถสัมผัสและรู้สึกถึงกันได้ก็พอ
Yuri เด็กหญิงที่คงไม่เคยได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากครอบครัว วันหนึ่งได้รับโครเกต์ที่แสนอร่อยจากชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวขอบเขา เธอได้กินโอฟุของโปรดของเธอจากย่าคนหนึ่ง ได้มีพี่ชายที่คอยดูแลเธอ คอยอยู่เคียงข้างเธอ คอยดูแลปกป้องเธอ แม้ตัวเขาเองจะต้องลำบากก็ตาม เธอได้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มอบอ้อมกอดที่อบอุ่นจากใจให้เธอ เธอได้รู้แล้วว่า โลกนี้ไม่ได้มีแต่ความเลวร้ายหรอกนะ บ้านที่ไม่ได้ใหญ่โต ไม่ได้สะดวกสบาย แต่มีความอบอุ่นอยู่เต็มหัวใจมีอยู่จริง
คุณย่าที่แสนโดดเดี่ยว ใครจะรู้ว่าคนที่ทำให้ย่ามีชีวิตอยู่ต่อมาได้ถึงวันนี้ คือกลุ่มคนที่ไม่ใช่สายเลือดของเธอเลย สามีของเธอไปมีภรรยาใหม่ ลูกชายเธอก็ไม่ดูแล ทิ้งให้เธออยู่คนเดียว ในตอนท้ายตำรวจถามแม่ว่า ทำไมถึงฝังย่าไว้แบบนั้น ทำไมต้องทิ้งย่าแบบนั้น แม่ตอบไปว่า “เธอไม่ได้ทิ้งย่า คนอื่นต่างหากที่เป็นคนทอดทิ้งย่า” เออ เราว่าเธอพูดถูก เราอยู่ข้างเธออย่างเต็มตัวเลย
แม้จะมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ แต่เรารู้สึกได้ว่าย่าไม่ได้เป็นทุกข์ ย่ามีคนที่อยู่ด้วยทุกๆวัน ย่ามีครอบครัวแล้ว มันอาจจริงกว่าครอบครัวของย่าเสียอีก ภาพที่ย่าเห็นในตอนไปเที่ยวทะเล มันทำให้ย่ารู้สึกอะไรบางอย่าง ในตอนนี้ย่าพร้อมที่จะเจอทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาแล้ว ย่าไม่รู้จะตอบแทนสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าตอนนี้อย่างไร นอกจากกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” เบาๆในลำคอ
สิ่งที่หนังสื่อสาร มันสากลมากๆ และมันล้ำไปกว่าที่เราเข้าใจกัน มันก้าวข้ามเงื่อนไข ข้อจำกัดบางอย่าง สิ่งสำคัญที่มนุษย์เราควรมีให้กันมันคืออะไร มันได้ถูกเล่าออกมาให้เห็นอย่างตรงไปตรงมา อย่างชัดถ้อยชัดคำ
ที่ตัวละครในหนังพูดว่า “เราเลือกครอบครัวเองไม่ได้” เราคิดว่ามันอาจไม่จริงเช่นนั้นเสมอไป เราอาจจะเลือกสายเลือดเองไม่ได้ก็จริง แต่เราเชื่อว่า เราเลือกครอบครัวเราเองได้ เราเลือกคนที่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราได้
ย่าบอกกับแม่ว่า “ย่าก็เลือกเธอเหมือนกันนะ”
บทสนทนาของตำรวจกับแม่ มันสื่อสารอะไรบางอย่างได้ดี
“คนที่เป็นแม่ คือคนที่ต้องให้กำเนิดเท่านั้นเหรอ” แม่ถาม
“แต่คนที่ไม่ได้ให้กำเนิด ก็เป็นแม่ไม่ได้นะ” ตำรวจแย้ง
“แล้วเด็ก 2 คนนั้นเรียกเธอว่าแม่รึเปล่าล่ะ” ตำรวจถาม
เธอค่อยๆร้องไห้กับคำถามที่เธออาจไม่เคยได้ถามเลย มันคงเป็นความเจ็บปวดลึกๆของเธอ กับความเว้าแหว่งในชีวิตที่เธอต้องเผชิญ แต่เรายังยกมือเห็นด้วยกับเธอว่า “คนที่เป็นแม่ คือคนที่ต้องให้กำเนิดเท่านั้นเหรอ”
ซีนที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือซีนที่ครอบครัวออกมาแหงนหน้าดูดอกไม้ไฟด้วยกัน มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เรารู้สึกถึงการอยู่ด้วยกัน มันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาไม่ได้อยากเห็นดอกไม้ไฟนักหรอก การได้ดูดอกไม้ไฟอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าต่างหาก คือสิ่งที่พวกเขาน่าจะต้องการยิ่งกว่า
”ถึงไม่เห็นดอกไม้ไฟ แต่ก็ยังได้ยินเสียงนะ”
แม้สุดท้ายตัวละครจะได้กลับไปใช้ชีวิตที่ควรจะเป็นตามรูปแบบแล้ว แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการเลย
Aki ในชุดนักเรียนกลับมาที่บ้านหลังนั้น เปิดประตูเข้าไป คาดหวังที่จะพบใครบางคนอยู่ตรงนั้น แต่กลับว่างเปล่า...ช่างรู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน
Yuri นั่งเล่นอยู่ชานหน้าบ้านคนเดียว มองไปในช่องตรงผนังหน้าบ้าน ที่ที่เธอเจอผู้ชายใจดีคนหนึ่ง ยื่นโครเกต์สุดอร่อยให้เธอกินในคืนที่แสนหนาวเหน็บ เธออยากรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง แต่มองออกไปกลับไม่เจอใคร...ช่างเหงาเหลือเกิน
Shota มาค้างคืนกับ Osamu ในคืนที่หิมะโปรยปลาย พวกเขาปั้นตุ๊กตาหิมะเล่นด้วยกันอย่างอบอุ่นในคืนที่แสนเหน็บหนาว ก่อนนอนคืนนั้น Shota ถาม Osamu ว่า “วันนั้นเขาตั้งใจจะหนี แล้วทิ้ง Shota ไว้จริงๆเหรอ” Osamu ตอบว่า “ใช่...เขาตั้งใจจะทิ้ง Shota” ใครฟังแล้วเชื่อเขาบ้างล่ะ แม้จะพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งแข็งแล้ว แต่จังหวะการตอบ น้ำเสียง ภาษากาย มันปิดไม่มิดเลย
ขณะที่คำพูดที่ Shota ที่บอกกับ Osamu ก่อนขึ้นรถบัสกลับ ว่าเขาจงใจให้โดนจับได้นั้น มันก็คงไม่ต่างกัน ความรู้สึกมันปิดกันไม่มิดจริงๆ
Shota เดินขึ้นรสบัสไปแล้ว Osamu พยายามจะเดินตาม และวิ่งตามรถไปหลังจากรสบัสวิ่งออกไปแล้ว นี่คงเป็นคำตอบในสิ่งที่ Shota สงสัยมาตลอด เขาเอ่ยเบาๆออกมาว่า “พ่อ”
สิ่งที่หนังพยายามตั้งคำถาม สำหรับเรา เราได้คำตอบนั้นแล้ว เราคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคงไม่ใช่เรื่องของ “สายเลือด” แต่คงเป็น “สายใย” ต่างหากที่สำคัญกว่า
เราไม่แน่ใจนักว่าคำว่า “สายใย” จะแปลอย่างถูกต้องว่าอะไร แต่สำหรับเราแล้ว มันอาจเป็นสายอะไรบางเส้นที่เชื่อมโยงหัวใจเราเข้าด้วยกัน มันผูกเชื่อมหัวใจเราเอาไว้ เป็นเส้นทางที่ความรู้สึกจะเดินทางผ่านไปถึงกันได้ และสายเส้นนี้คงมีเพียงหัวใจของเราเท่านั้นแหละที่จะสร้างมันขึ้นมาได้
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Shoplifters - เส้นทางที่ความรู้สึกจะเดินทางผ่านไปถึงกันได้ (Spoil)
หลังดูจบ เราบอกได้เลยทันทีว่านี่คือผลงานของ Kore-eda ที่เราชอบมากที่สุด
มันเหมือนการผสมผสานจุดเด่นผลงานของเขาจากหลายๆเรื่อง นำมารวมกันในเรื่องนี้ ซึ่งมันเด็ดขาดสุดๆ รวมไปถึงสารที่หนังต้องการถ่ายทอด มันพูดเรื่องเล็กๆได้ยิ่งใหญ่มากๆ
การถ่ายภาพและลำดับภาพ เป็นกระดูกสันหลังของหนังเรื่องนี้ สิ่งที่หนังจะสื่อสาร การเล่นกับอารมณ์ของเรา การเลือกมุมกล้อง การลำดับซีน คือส่วนที่จะทำให้เรารู้สึกตามไปกับหนังอย่างลงตัว พอดีสุดๆ รวมไปถึงซีนเฉลยช่วงท้ายของหนังที่เรารู้สึกว่าการลำดับภาพทำได้สมบูรณ์แบบมากๆ มันเฉียบคมทุกซีน ทุกจังหวะ โดยเฉพาะ ซีนจบช่วงที่ Shota กลับมานอนกับพ่อและร่ำลากันในตอนเช้า จังหวะช่วงนี้ไม่มีทางที่จะทำได้ดีกว่าที่เป็นอีกแล้ว
ซีนที่ครอบครัวออกมาดูดอกไม้ไฟด้วยกัน ก็ออกแบบมุมกล้องได้เจ๋งมากๆ
การแสดงของทีมนักแสดงชุดนี้ เป็นจุดสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หนังสามารถจะสื่อสารสิ่งที่ต้องการได้อย่างครบถ้วน แม่นยำและลงลึกได้ดั่งใจต้องการ
การแสดงของ Kirin Kiki ในบทคุณยาย ทำได้ตามมาตรฐานของเธอ แต่ก็ยังไม่ทิ้งลาย ฝากซีนเด็ดขาดตอนริมทะเล ที่เธอจ้องมองไปที่ครอบครัว(ของเธอ) แล้วยิ้ม และพูดขอบคุณ เราไม่มีคำถามใดๆอีกต่อไปจากซีนนี้
Lily Franky ในบท Osamu ตัวละครพ่อ ซึ่งเป็นตัวเอกในการเดินเรื่อง ก็ทำได้ดีเหมือนเดิม แต่เราก็รู้สึกว่า เรื่องนี้เขาเล่นบทที่ค่อนข้างต่างไปจากเดิม มีความรู้สึกดาร์คอยู่ภายในลึกๆตลอดเวลา แต่แสดงออกมาน้อยมากๆในช่วงแรก จนไปพีคตอนเฉลยในช่วงท้าย เขาทำได้เฉียบขาดมาก
Sakura Ando กับบทบาทแม่ เธอคุมการแสดงได้ลงตัวตลอดทั้งเรื่อง ซีนที่ต้องตอบคำถามตำรวจว่า “แล้วเด็กเรียกเธอว่าแม่รึเปล่า” เธอรีแอคกับคำถามได้อย่างซื่อสัตย์จริงๆ
แต่ที่สร้างความแปลกใจให้เราที่สุด คือการแสดงของ Mayu Matsuoka ในบท Aki ตัวละครที่มีมิติลึกมากๆ ซีนในห้องทอล์ครูมกับลูกค้าหมายเลข 4 เล่นเอาสะเทือนไปถึงขั้วหัวใจเลย
นักแสดงเด็กทั้ง Jyo Kairi ในบท Shota และ Miyu Sasaki ในบท Yuri ทำได้ดีทั้งคู่ ซีนจบของ Shota และ Yuri สายตาทั้ง 2 ทำได้ดีมากๆ
หนังเล่าเรื่องครอบครัวหนึ่งที่มีอาชีพเสริมคือการลักขโมยของในซุปเปอร์มาเกต ในคืนวันหนึ่ง Osamu และลูกชาย ได้บังเอิญเจอเด็กหญิงคนหนึ่ง หนีออกมานั่งหนาวอยู่นอกบ้านในฤดูกาลที่หนาวเหน็บ Osamu จึงตัดสินใจพาเธอกลับมาที่บ้านและให้โครเกต์ที่เขาซื้อมาจากร้านที่อร่อยมากให้เธอกิน แล้วเขาตั้งใจจะพาเธอกลับไปส่ง แต่เมื่อ Osamu และภรรยา พาเธอไปถึงหน้าบ้าน ก็ได้พบว่าครอบครัวเด็กหญิงไม่ได้อยากดูแลเธอเลย ภรรยาของ Osamu จึงตัดสินใจพาเด็กหญิงมาเลี้ยงที่บ้านของพวกเขา และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่สุดประทับใจ น่ารัก อบอุ่น ขบขัน เจ็บปวดและบาดลึกสุดๆ
ในตอนแรกแม่ไม่ได้อยากจะรับ Yuri เข้ามาดูแล แต่ด้วยความที่เธอเห็นใจ Yuri ว่าสิ่งที่ Yuri ต้องเจอ มันเจ็บปวดมาก “ถ้าแม่ไม่ได้อยากให้เราเกิดมา มันจะโหดร้ายแค่ไหน” เธอก็คงรู้สึกเหมือนกับสิ่งที่ Yuri ต้องเจอ พ่อแม่ของเธออาจไม่ได้อยากให้เธอเกิดมาเช่นกัน เธอเข้าใจเรื่องนี้ดี เธอถึงตัดพ้อกับ Osamu ว่า “เราไม่ได้โตมาเพื่อเป็นคนที่ห่วงใยคนอื่นหรอก”
ความเป็นจริงคือเธอไม่สามารถมีลูกได้ การรับ Yuri เข้ามาในครอบครัวโดยบังเอิญ อาจจะเป็นการเติมเต็มความต้องการของเธอโดยอาจไม่รู้ตัว ความสัมพันธ์ค่อยๆก่อตัวขึ้น จนมารู้สึกตัวอีกที เธอก็รู้สึกกับ Yuri ราวกับเป็นลูกในสายเลือดของตัวเองไปแล้ว ซีนที่เธอคุยกับ Yuri ในอ่างอาบน้ำ เกี่ยวกับรอยเตารีดบนท่อนแขนของเธอทั้ง 2 คน มันราวกับเป็นจุดเชื่อมโยงทั้ง 2 เข้าด้วยกัน ตอนนี้เธอต้องการดูแล Yuri แล้ว เธอเลือกที่จะเก็บ Yuri ไว้กับเธอ เธอกอดยูริไว้แนบอกและเผาผ้าห่มของ Yuri ทิ้งไป พวกเขากอดกันด้วยความรู้สึกจริงๆ ซีนนี้มันสื่อสารความรู้สึกออกมาได้สุดๆ เรารู้สึกว่าอ้อมกอดนี้มันอบอุ่นมากๆ และก็คิดว่า Yuri คงรู้สึกเหมือนกัน แม้ว่านี่จะไม่ใช่อ้อมกอดจากแม่แท้ๆของเธอ แต่มันคงไม่สำคัญหรอก
ไม่มีใครรู้ว่าที่ Osamu พา Shota มาอยู่ด้วยนั้น คือการช่วยเหลือ Shota หรือการจับผลัดจับผลูระหว่างที่เขากำลังขโมยของอยู่กันแน่ และนี่ก็คงเป็นคำถามที่ค้างคาใจ Shota มาตลอดเช่นกัน Shota ไม่เคยเรียก Osamu ว่าพ่อเลย แต่เรายังเห็นรอยยิ้มจากใบหน้าของ Osamu อยู่เสมอ เขาไม่เคยคาดคั้นให้ Shota เรียกเขาว่า “พ่อ” แต่เขาเชื่อว่าในสักวันหนึ่ง จะต้องมีวันนั้น บางทีพวกเขาอาจจะรู้สึกมัน มากกว่าการจะพูดมันออกมาก็ได้
เขายอมควักเงิน 450 เยน ที่เขามีอยู่น้อยนิด เพื่อซื้อโครเกต์จากร้านที่อร่อยที่สุดให้ Shota กิน ซีนที่เขาตามไปง้อ Shota ตอนที่ไม่ยอมกลับบ้าน มันน่ารักมากๆ มันดูธรรมชาติราวกับนี่คือพ่อลูกในสายเลือดกันจริงๆ ตอนนั้น Shota เล่าเรื่องสวิมมี่ให้พ่อฟังว่า “สวิมมี่ คือฝูงปลาตัวเล็กๆ ที่เอาชนะปลาทูน่าตัวใหญ่ๆได้” บางทีการอยู่รวมกันของคนตัวเล็กๆ ก็อาจทำสิ่งที่ใหญ่ๆได้เช่นกัน
เขาสอนให้ Shota ขโมยของ ซึ่ง Shota เองก็คอยช่วยเหลือ Osamu ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึง Shota ก็สอน Yuri ให้ทำแบบเดียวกัน แต่คุณลุงร้านยามาโตะก็จับได้ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเด็กทั้งสอง เพียงแต่บอกกับ Shota ว่า อย่าสอนให้น้องทำแบบนี้นะ
Shota กลับมาบอกพ่อว่า “ลุงร้านยามาโตะ บอกผมว่า อย่าสอน Yuri ให้ขโมยของ”
พ่อตอบไปว่า “ของที่อยู่ในร้าน มันยังไม่มีเจ้าของ นิดหน่อยเอง ร้านไม่เจ๊งหรอกน่า ไม่เป็นไรหรอก”
ในตอนท้ายหลังโดนจับ ตำรวจถาม Osamu ว่า “รู้สึกผิดบ้างไหมที่สอนให้เด็กขโมยของ”
“ก็ผมไม่รู้จะสอนอะไรพวกเขา”
Osamu ตอบ
นี่น่าจะเป็นคำตอบที่ซื่อตรงและจริงใจสุดๆละ
Aki หญิงสาวที่หนีออกจากบ้านมาอยู่กับคุณย่าที่บ้านหลังนี้ กับฉากหลังที่เราเห็นว่าครอบครัวเธอดูอบอุ่น มีฐานะโอเค แต่ใครจะรู้เบื้องลึกในความรู้สึกของเธอเป็นยังไง เธอมีปมฝังใจในเรื่องน้องสาว เธอคงรู้สึกว่า ครอบครัวรักน้องสาวมากกว่าเธอ เธอเลือกใช้ชื่อ ซายากะ ชื่อน้องสาวของเธอในการทำงาน เธออยากให้คนที่ทำงานแบบนี้เป็นน้องสาวของเธอ ไม่ใช่เธอ แต่ความอบอุ่นที่เรารู้สึกได้ก็คือ ความสัมพันธ์ของเธอกับย่า หลังจากหนังเฉลย เราก็รู้ว่าทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดเลย แต่เรารู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์นี้ ย่าจะดูออกทุกครั้งที่ Aki กลับบ้านมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรมา ย่าจะทัก Aki เสมอๆ
อาชีพอย่าง Aki มันคงไม่มีใครอยากทำ และแขกที่มาเที่ยว ก็คงต้องการแค่ความสุขชั่วคราวเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นกับ Aki และลูกค้าหมายเลข 4 มันค่อนข้างแตกต่าง นี่ไม่ใช่ “ความรัก” แน่ๆ แต่มันคือความรู้สึกของคนที่ “ขาด” 2 คนที่มาเจอกัน การสื่อสารผ่านทางแค่ตัวหนังสือ บางทีมันก็ทำได้ดีกว่าการพูดคุยกันเป็นไหนๆ ในห้องทอล์ครูมที่ Aki ได้อยู่กับลูกค้าหมายเลข 4 มันอบอุ่นมาก แม้ในสถานที่แบบนี้ ก็มีความอบอุ่นเกิดขึ้นได้ บางทีความสัมพันธ์ที่มันรู้สึกมันสื่อสารถึงกันได้ มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นรูปแบบความสัมพันธ์อย่างทั่วๆไปก็ได้ หากเพียงแค่ทั้งสองสามารถสัมผัสและรู้สึกถึงกันได้ก็พอ
Yuri เด็กหญิงที่คงไม่เคยได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากครอบครัว วันหนึ่งได้รับโครเกต์ที่แสนอร่อยจากชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวขอบเขา เธอได้กินโอฟุของโปรดของเธอจากย่าคนหนึ่ง ได้มีพี่ชายที่คอยดูแลเธอ คอยอยู่เคียงข้างเธอ คอยดูแลปกป้องเธอ แม้ตัวเขาเองจะต้องลำบากก็ตาม เธอได้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มอบอ้อมกอดที่อบอุ่นจากใจให้เธอ เธอได้รู้แล้วว่า โลกนี้ไม่ได้มีแต่ความเลวร้ายหรอกนะ บ้านที่ไม่ได้ใหญ่โต ไม่ได้สะดวกสบาย แต่มีความอบอุ่นอยู่เต็มหัวใจมีอยู่จริง
คุณย่าที่แสนโดดเดี่ยว ใครจะรู้ว่าคนที่ทำให้ย่ามีชีวิตอยู่ต่อมาได้ถึงวันนี้ คือกลุ่มคนที่ไม่ใช่สายเลือดของเธอเลย สามีของเธอไปมีภรรยาใหม่ ลูกชายเธอก็ไม่ดูแล ทิ้งให้เธออยู่คนเดียว ในตอนท้ายตำรวจถามแม่ว่า ทำไมถึงฝังย่าไว้แบบนั้น ทำไมต้องทิ้งย่าแบบนั้น แม่ตอบไปว่า “เธอไม่ได้ทิ้งย่า คนอื่นต่างหากที่เป็นคนทอดทิ้งย่า” เออ เราว่าเธอพูดถูก เราอยู่ข้างเธออย่างเต็มตัวเลย
แม้จะมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ แต่เรารู้สึกได้ว่าย่าไม่ได้เป็นทุกข์ ย่ามีคนที่อยู่ด้วยทุกๆวัน ย่ามีครอบครัวแล้ว มันอาจจริงกว่าครอบครัวของย่าเสียอีก ภาพที่ย่าเห็นในตอนไปเที่ยวทะเล มันทำให้ย่ารู้สึกอะไรบางอย่าง ในตอนนี้ย่าพร้อมที่จะเจอทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาแล้ว ย่าไม่รู้จะตอบแทนสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าตอนนี้อย่างไร นอกจากกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” เบาๆในลำคอ
สิ่งที่หนังสื่อสาร มันสากลมากๆ และมันล้ำไปกว่าที่เราเข้าใจกัน มันก้าวข้ามเงื่อนไข ข้อจำกัดบางอย่าง สิ่งสำคัญที่มนุษย์เราควรมีให้กันมันคืออะไร มันได้ถูกเล่าออกมาให้เห็นอย่างตรงไปตรงมา อย่างชัดถ้อยชัดคำ
ที่ตัวละครในหนังพูดว่า “เราเลือกครอบครัวเองไม่ได้” เราคิดว่ามันอาจไม่จริงเช่นนั้นเสมอไป เราอาจจะเลือกสายเลือดเองไม่ได้ก็จริง แต่เราเชื่อว่า เราเลือกครอบครัวเราเองได้ เราเลือกคนที่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราได้
ย่าบอกกับแม่ว่า “ย่าก็เลือกเธอเหมือนกันนะ”
บทสนทนาของตำรวจกับแม่ มันสื่อสารอะไรบางอย่างได้ดี
“คนที่เป็นแม่ คือคนที่ต้องให้กำเนิดเท่านั้นเหรอ” แม่ถาม
“แต่คนที่ไม่ได้ให้กำเนิด ก็เป็นแม่ไม่ได้นะ” ตำรวจแย้ง
“แล้วเด็ก 2 คนนั้นเรียกเธอว่าแม่รึเปล่าล่ะ” ตำรวจถาม
เธอค่อยๆร้องไห้กับคำถามที่เธออาจไม่เคยได้ถามเลย มันคงเป็นความเจ็บปวดลึกๆของเธอ กับความเว้าแหว่งในชีวิตที่เธอต้องเผชิญ แต่เรายังยกมือเห็นด้วยกับเธอว่า “คนที่เป็นแม่ คือคนที่ต้องให้กำเนิดเท่านั้นเหรอ”
ซีนที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือซีนที่ครอบครัวออกมาแหงนหน้าดูดอกไม้ไฟด้วยกัน มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เรารู้สึกถึงการอยู่ด้วยกัน มันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาไม่ได้อยากเห็นดอกไม้ไฟนักหรอก การได้ดูดอกไม้ไฟอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าต่างหาก คือสิ่งที่พวกเขาน่าจะต้องการยิ่งกว่า
”ถึงไม่เห็นดอกไม้ไฟ แต่ก็ยังได้ยินเสียงนะ”
แม้สุดท้ายตัวละครจะได้กลับไปใช้ชีวิตที่ควรจะเป็นตามรูปแบบแล้ว แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการเลย
Aki ในชุดนักเรียนกลับมาที่บ้านหลังนั้น เปิดประตูเข้าไป คาดหวังที่จะพบใครบางคนอยู่ตรงนั้น แต่กลับว่างเปล่า...ช่างรู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน
Yuri นั่งเล่นอยู่ชานหน้าบ้านคนเดียว มองไปในช่องตรงผนังหน้าบ้าน ที่ที่เธอเจอผู้ชายใจดีคนหนึ่ง ยื่นโครเกต์สุดอร่อยให้เธอกินในคืนที่แสนหนาวเหน็บ เธออยากรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง แต่มองออกไปกลับไม่เจอใคร...ช่างเหงาเหลือเกิน
Shota มาค้างคืนกับ Osamu ในคืนที่หิมะโปรยปลาย พวกเขาปั้นตุ๊กตาหิมะเล่นด้วยกันอย่างอบอุ่นในคืนที่แสนเหน็บหนาว ก่อนนอนคืนนั้น Shota ถาม Osamu ว่า “วันนั้นเขาตั้งใจจะหนี แล้วทิ้ง Shota ไว้จริงๆเหรอ” Osamu ตอบว่า “ใช่...เขาตั้งใจจะทิ้ง Shota” ใครฟังแล้วเชื่อเขาบ้างล่ะ แม้จะพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งแข็งแล้ว แต่จังหวะการตอบ น้ำเสียง ภาษากาย มันปิดไม่มิดเลย
ขณะที่คำพูดที่ Shota ที่บอกกับ Osamu ก่อนขึ้นรถบัสกลับ ว่าเขาจงใจให้โดนจับได้นั้น มันก็คงไม่ต่างกัน ความรู้สึกมันปิดกันไม่มิดจริงๆ
Shota เดินขึ้นรสบัสไปแล้ว Osamu พยายามจะเดินตาม และวิ่งตามรถไปหลังจากรสบัสวิ่งออกไปแล้ว นี่คงเป็นคำตอบในสิ่งที่ Shota สงสัยมาตลอด เขาเอ่ยเบาๆออกมาว่า “พ่อ”
สิ่งที่หนังพยายามตั้งคำถาม สำหรับเรา เราได้คำตอบนั้นแล้ว เราคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคงไม่ใช่เรื่องของ “สายเลือด” แต่คงเป็น “สายใย” ต่างหากที่สำคัญกว่า
เราไม่แน่ใจนักว่าคำว่า “สายใย” จะแปลอย่างถูกต้องว่าอะไร แต่สำหรับเราแล้ว มันอาจเป็นสายอะไรบางเส้นที่เชื่อมโยงหัวใจเราเข้าด้วยกัน มันผูกเชื่อมหัวใจเราเอาไว้ เป็นเส้นทางที่ความรู้สึกจะเดินทางผ่านไปถึงกันได้ และสายเส้นนี้คงมีเพียงหัวใจของเราเท่านั้นแหละที่จะสร้างมันขึ้นมาได้
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/