เริ่มจากวันศุกร์ลูกชาย 3 ขวบ 4 เดือน ไปเล่นสวนน้ำกับพ่อกลับมา เป็นหวัด ตัวรุมๆ มีไข้ต่ำ 37.2-3 ถึงบ้านรีบเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะอาบน้ำมาจากสระแล้ว วัดไข้อีกครั้ง 37.0 ไม่มีไข้ก็เลยให้กินยาแค่แก้แพ้ที่มีอยู่ ตั้งใจว่าเช้ามาจะพาไปหาหมอเลย (ช่วงกลางวันแม่ไปทำงานเลยไม่มั่นใจว่าก่อนเล่นน้ำลูกเป็นหวัดมาก่อนหรือไม่ แต่คืนวันพฤหัสบดีไม่เป็น)
เช้าวันเสาร์พาลูกไปหาหมอที่คลีนิคประจำ (หน้าบ้านมีโรงพยาบาลเอกชน แต่จากประสบการณ์เชื่อมั่นในการรักษาของคุณหมอคนนี้มากกว่า ซึ่งคุณหมอทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากบ้าน แต่เปิดคลีนิคแถวบ้าน) ตอนที่ไปหาหมอมีน้ำมูก วัดอุณภูมิได้ 37.3 หมอใช้หูฟังเช็คระบบหายใจ ปอด บอกปกติ คอไม่มีแดง บอกว่าเป็นหวัดติดเชื้อธรรมดาไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้ยาแก้หวัด แก้อักเสบ-ฆ่าเชื้อ ส่วนแก้ไข้ให้กินเวลามีไข้ คือวัดได้ 37.5 ขึ้นไปถึงให้กินแก้ไข้ ถ้ายังไม่ดีขึ้นวันจันทร์มาให้หมอตรวจอีกที
วันอาทิตย์ลูกเริ่มไอ รู้เลยว่ามีเสมหะเพราะเค้าไอแบบเหมือนมีอะไรติดคอและพยายามจะเอาออกแต่เด็กเล็กยังขับออกมาไม่เป็น บางครั้งกินนมหรือกินข้าวก็มีอ้วกออกมาเพราะเสมหะติดคอ คืนวันอาทิตย์นี่ไอหนักเลย เวลานอนหลับหายใจมีเสียงหวีด ยังคิดอยู่เลยว่ารอหมอเปิดคลีนิคจะไปให้หมอดูอีกทีเพื่อจัดยาแก้ไอให้
วันจันทร์ช่วงเย็นไปหาหมอ หมอถามว่าอาการดีขึ้นหรือแย่ลง แม่ตอบว่าไม่มีอะไรแย่ลง เพราะไม่มีไข้มีแต่ไอที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น หมอบอกว่าที่หนักก็ไอนี่แหละ ที่เป็นอาการบ่งชี้ RSV อิแม่ตกใจเลย จากที่คิดว่าจะให้หมอจัดแค่ยาแก้ไอเพิ่มให้ เมื่อหมอ test ก็พบเชื้อไวรัส RSV คราวนี้อิแม่อึ้งหนักเลยเพราะได้อ่านและได้ยินคนอืนพูดถึง RSV ค่อนข้างน่าเป็นห่วง และต้องนอนโรงพยาบาล วันแรกหมอบอกว่าจะให้พ่นยาขยายหลอดลมก่อน และเพิ่มยากิน 2 ตัวคือแก้ไอขยายหลอดลม และแก้แพ้แบบผงละลายน้ำ หมอแนะนำให้ใช้สเปรย์พ่นจมูกเพื่อให้น้ำมูกไหลออกมาได้ง่ายไม่คั่งคัด พอดีสเปรย์ของที่บ้านไม่ได้ใช้นานแล้วเลยให้หมอจัดให้ใหม่ หมอมีแนะนำวิธีใช้ด้วย ทำให้รู้เลยว่าที่ผ่านมาเราใช้ผิดวิธี คือ พ่นตรงรูจมูกเลย หมอบอกให้พ่นห่างๆ หน่อยจะให้น้ำมูกไหลออกมา แต่ถ้าพ่นใกล้เกินไปจะทำให้น้ำมูกไหลลงคอ จากนั้นหมอนัดดูอาการในวันถัดไป
ทั้งคืนคนเป็นแม่แทบจะนอนไม่หลับเลย กังวลไปหมด เพราะลูกยังคงไอ คอยวัดไข้ลูกตลอดเวลาแต่อุณภูมิก็อยู่ระหว่าง 37.2-3 ทุกครั้งไม่มีสูงกว่านี้ ห่วงทั้งสุขภาพลูกและสุขภาพกระเป๋าตังค์ของแม่ ถ้านอนโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านก็คงจ่ายส่วนต่างประกันไม่มากหรือประกันอาจจะ cover ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นโรงพยบาลที่คุณหมอทำงานก็ทั้งไกลบ้านและต้องจ่ายส่วนต่างค่าห้องเยอะแน่นอน เพื่อสุขภาพลูกและคุณหมอที่เราไว้วางใจเราควรต้องจ่ายดีมั้ย คิดวนไปค่ะ ถึงแม้ว่าลูกจะไม่มีไข้ ไม่มีซึม วิ่งเล่นได้ตามปกติ จะมีหนักสุดก็ไอมีน้ำมูกแต่ก็ถือว่าดีขึ้นมาบ้าง และเค้าจะกินนมน้อยลงเพราะกลัวกินแล้วอ้วกอีก แต่คนเป็นแม่ก็อดกังวลไม่ได้ค่ะ
เย็นวันอังคารไปพบหมอตามนัด รอค่อนข้างนานเพราะเด็กไม่สบายเยอะมาก แม่ก็รายงานอาการหมอไปตามจริงคือ ไอและน้ำมูกลดลง ไม่มีไข้ หมอถามไม่มีซึมเลยหรอ แม่ก็บอกว่าวิ่งเล่นได้ตามปกติค่ะ หมอบอกเจ๋งจริงๆ RSV ไม่มีไข้ไม่มีซึมเลย เลยถามหมอว่าแล้วปอดล่ะคะน่าห่วงมั้ย หมอบอกว่าถ้าวิ่งเล่นได้ไม่มีเหนื่อยหอบก็แสดงว่าปอดไม่มีอะไรผิดปกติ หมอให้พ่นยาขยายหลอดลมเหมือนเดิม หลังจากมาเช็คร่างกายหลังพ่นยาแล้วหมอก็บอกว่าถ้าดีขึ้นพรุ่งนี้ยังไม่ต้องมา อีก 2 หรือ 3 วันค่อยมา หลังจากนั้นอาการก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ย้ำว่าค่อยๆ ดีขึ้นนะคะแต่ยังไม่มีอะไรหายขาด
เย็นวันพฤหัสไปพบหมอตามนัดอีกครั้ง หมอถามว่าเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย หลังจากนั้นก็เช็คระบบหายใจ ปอด หมอนับวันตามรอบของเชื้อแล้วก็บอกแม่ว่ารอดแล้วนะ ไม่ต้องนอนโรงพบาบาล ไม่มีเชื้อลงปอด แม่คุยกับหมอต่อว่าปกติเวลาติดอะไรมาก็ตามร่างกายเค้าก็จะไม่เป็นอะไรมากอย่างที่คุณหมอเห็น (เพราะก่อนนี้เคยติดมือเท้าปาก จากลูกพี่ลูกน้องที่อยู่บ้านเดียวกันแล้วเค้าไปติดมาจากโรงเรียน) แต่ทำไมเค้าถึงติดเชื้อง่ายจังมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ หมอบอกไม่มีอะไรผิดปกติ เป็น RSV แล้วไม่มีไข้ ไม่มีหอบก็ถือว่าแข็งแรงแล้ว ส่วนใหญ่เด็กที่เป็นก็นอนโรงพบาลกันทั้งหมด เป็นธรรมดาของเด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียน (โรงเรียนเปิด 2 เดือนกว่า เป็นไข้เป็นหวัดต้องขาดเรียนมา 2 ครั้ง ติด RSV อีก 1 ครั้ง และทุกครั้งแม่จะให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายเพราะคิดว่าดีต่อสุขภาพของลูกและดีต่อสุขภอนามัยของเพือนๆ ในห้องด้วย) หมอให้พ่นยาขยายหลอดลมและให้ยาฆ่าเชื้อชนิดผงละลายน้ำให้กินต่ออีก 3 วันบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว แม่ได้ยินแล้วค่อนข้างโล่งใจเลยค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะป่วยอะไรอีก เตรียมใจรอไว้เลย
จากประสบการณ์ลูกป่วยครั้งนี้อยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกว่าเวลาลูกป่วยควรจะพาไปหมอ ไม่ควรซื้อยาทานเองนะคะ ลองคิดดูสิคะ เคสนี้ถ้าเราคิดว่าไม่มีอะไรแค่เป็นหวัด ไอ ไข้ก็ไม่มีซื้อยาแก้หวัด แก้ไอมาทานเองก็ได้ ไม่รู้ว่าลูกจะเป็นยังไงบ้าง และโชคดีของแม่มากที่เลือกไปหาคุณหมอท่านนี้ โชคดีจริงๆ ค่ะ
แชร์ประสบการณ์ ลูกติดเชื้อไวรัส RSV ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
เช้าวันเสาร์พาลูกไปหาหมอที่คลีนิคประจำ (หน้าบ้านมีโรงพยาบาลเอกชน แต่จากประสบการณ์เชื่อมั่นในการรักษาของคุณหมอคนนี้มากกว่า ซึ่งคุณหมอทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากบ้าน แต่เปิดคลีนิคแถวบ้าน) ตอนที่ไปหาหมอมีน้ำมูก วัดอุณภูมิได้ 37.3 หมอใช้หูฟังเช็คระบบหายใจ ปอด บอกปกติ คอไม่มีแดง บอกว่าเป็นหวัดติดเชื้อธรรมดาไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้ยาแก้หวัด แก้อักเสบ-ฆ่าเชื้อ ส่วนแก้ไข้ให้กินเวลามีไข้ คือวัดได้ 37.5 ขึ้นไปถึงให้กินแก้ไข้ ถ้ายังไม่ดีขึ้นวันจันทร์มาให้หมอตรวจอีกที
วันอาทิตย์ลูกเริ่มไอ รู้เลยว่ามีเสมหะเพราะเค้าไอแบบเหมือนมีอะไรติดคอและพยายามจะเอาออกแต่เด็กเล็กยังขับออกมาไม่เป็น บางครั้งกินนมหรือกินข้าวก็มีอ้วกออกมาเพราะเสมหะติดคอ คืนวันอาทิตย์นี่ไอหนักเลย เวลานอนหลับหายใจมีเสียงหวีด ยังคิดอยู่เลยว่ารอหมอเปิดคลีนิคจะไปให้หมอดูอีกทีเพื่อจัดยาแก้ไอให้
วันจันทร์ช่วงเย็นไปหาหมอ หมอถามว่าอาการดีขึ้นหรือแย่ลง แม่ตอบว่าไม่มีอะไรแย่ลง เพราะไม่มีไข้มีแต่ไอที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น หมอบอกว่าที่หนักก็ไอนี่แหละ ที่เป็นอาการบ่งชี้ RSV อิแม่ตกใจเลย จากที่คิดว่าจะให้หมอจัดแค่ยาแก้ไอเพิ่มให้ เมื่อหมอ test ก็พบเชื้อไวรัส RSV คราวนี้อิแม่อึ้งหนักเลยเพราะได้อ่านและได้ยินคนอืนพูดถึง RSV ค่อนข้างน่าเป็นห่วง และต้องนอนโรงพยาบาล วันแรกหมอบอกว่าจะให้พ่นยาขยายหลอดลมก่อน และเพิ่มยากิน 2 ตัวคือแก้ไอขยายหลอดลม และแก้แพ้แบบผงละลายน้ำ หมอแนะนำให้ใช้สเปรย์พ่นจมูกเพื่อให้น้ำมูกไหลออกมาได้ง่ายไม่คั่งคัด พอดีสเปรย์ของที่บ้านไม่ได้ใช้นานแล้วเลยให้หมอจัดให้ใหม่ หมอมีแนะนำวิธีใช้ด้วย ทำให้รู้เลยว่าที่ผ่านมาเราใช้ผิดวิธี คือ พ่นตรงรูจมูกเลย หมอบอกให้พ่นห่างๆ หน่อยจะให้น้ำมูกไหลออกมา แต่ถ้าพ่นใกล้เกินไปจะทำให้น้ำมูกไหลลงคอ จากนั้นหมอนัดดูอาการในวันถัดไป
ทั้งคืนคนเป็นแม่แทบจะนอนไม่หลับเลย กังวลไปหมด เพราะลูกยังคงไอ คอยวัดไข้ลูกตลอดเวลาแต่อุณภูมิก็อยู่ระหว่าง 37.2-3 ทุกครั้งไม่มีสูงกว่านี้ ห่วงทั้งสุขภาพลูกและสุขภาพกระเป๋าตังค์ของแม่ ถ้านอนโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านก็คงจ่ายส่วนต่างประกันไม่มากหรือประกันอาจจะ cover ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นโรงพยบาลที่คุณหมอทำงานก็ทั้งไกลบ้านและต้องจ่ายส่วนต่างค่าห้องเยอะแน่นอน เพื่อสุขภาพลูกและคุณหมอที่เราไว้วางใจเราควรต้องจ่ายดีมั้ย คิดวนไปค่ะ ถึงแม้ว่าลูกจะไม่มีไข้ ไม่มีซึม วิ่งเล่นได้ตามปกติ จะมีหนักสุดก็ไอมีน้ำมูกแต่ก็ถือว่าดีขึ้นมาบ้าง และเค้าจะกินนมน้อยลงเพราะกลัวกินแล้วอ้วกอีก แต่คนเป็นแม่ก็อดกังวลไม่ได้ค่ะ
เย็นวันอังคารไปพบหมอตามนัด รอค่อนข้างนานเพราะเด็กไม่สบายเยอะมาก แม่ก็รายงานอาการหมอไปตามจริงคือ ไอและน้ำมูกลดลง ไม่มีไข้ หมอถามไม่มีซึมเลยหรอ แม่ก็บอกว่าวิ่งเล่นได้ตามปกติค่ะ หมอบอกเจ๋งจริงๆ RSV ไม่มีไข้ไม่มีซึมเลย เลยถามหมอว่าแล้วปอดล่ะคะน่าห่วงมั้ย หมอบอกว่าถ้าวิ่งเล่นได้ไม่มีเหนื่อยหอบก็แสดงว่าปอดไม่มีอะไรผิดปกติ หมอให้พ่นยาขยายหลอดลมเหมือนเดิม หลังจากมาเช็คร่างกายหลังพ่นยาแล้วหมอก็บอกว่าถ้าดีขึ้นพรุ่งนี้ยังไม่ต้องมา อีก 2 หรือ 3 วันค่อยมา หลังจากนั้นอาการก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ย้ำว่าค่อยๆ ดีขึ้นนะคะแต่ยังไม่มีอะไรหายขาด
เย็นวันพฤหัสไปพบหมอตามนัดอีกครั้ง หมอถามว่าเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย หลังจากนั้นก็เช็คระบบหายใจ ปอด หมอนับวันตามรอบของเชื้อแล้วก็บอกแม่ว่ารอดแล้วนะ ไม่ต้องนอนโรงพบาบาล ไม่มีเชื้อลงปอด แม่คุยกับหมอต่อว่าปกติเวลาติดอะไรมาก็ตามร่างกายเค้าก็จะไม่เป็นอะไรมากอย่างที่คุณหมอเห็น (เพราะก่อนนี้เคยติดมือเท้าปาก จากลูกพี่ลูกน้องที่อยู่บ้านเดียวกันแล้วเค้าไปติดมาจากโรงเรียน) แต่ทำไมเค้าถึงติดเชื้อง่ายจังมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ หมอบอกไม่มีอะไรผิดปกติ เป็น RSV แล้วไม่มีไข้ ไม่มีหอบก็ถือว่าแข็งแรงแล้ว ส่วนใหญ่เด็กที่เป็นก็นอนโรงพบาลกันทั้งหมด เป็นธรรมดาของเด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียน (โรงเรียนเปิด 2 เดือนกว่า เป็นไข้เป็นหวัดต้องขาดเรียนมา 2 ครั้ง ติด RSV อีก 1 ครั้ง และทุกครั้งแม่จะให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายเพราะคิดว่าดีต่อสุขภาพของลูกและดีต่อสุขภอนามัยของเพือนๆ ในห้องด้วย) หมอให้พ่นยาขยายหลอดลมและให้ยาฆ่าเชื้อชนิดผงละลายน้ำให้กินต่ออีก 3 วันบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว แม่ได้ยินแล้วค่อนข้างโล่งใจเลยค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะป่วยอะไรอีก เตรียมใจรอไว้เลย
จากประสบการณ์ลูกป่วยครั้งนี้อยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกว่าเวลาลูกป่วยควรจะพาไปหมอ ไม่ควรซื้อยาทานเองนะคะ ลองคิดดูสิคะ เคสนี้ถ้าเราคิดว่าไม่มีอะไรแค่เป็นหวัด ไอ ไข้ก็ไม่มีซื้อยาแก้หวัด แก้ไอมาทานเองก็ได้ ไม่รู้ว่าลูกจะเป็นยังไงบ้าง และโชคดีของแม่มากที่เลือกไปหาคุณหมอท่านนี้ โชคดีจริงๆ ค่ะ