[หนังโรงเรื่องที่ 237] The Darkest Minds : ช่วยเอาไอ้พวกสีแดงไปเก็บที รำคาญ
คะแนนความชอบ : B+ (จากสเกล D-A)
(Jennifer Yuh Nelson, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีมีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เกิดโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ผลของมันก็คือทำให้ประชากรเด็กและวัยรุ่นกว่า 90% เสียชีวิตในทันที ส่วนอีก 10% ที่รอดชีวิตก็กลายสภาพเป็นผู้มีพลังพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังจิตโยกย้ายสิ่งของ พลังไฟฟ้า หรือเพิ่มพูนสติปัญญามหาศาล เป็นต้น รัฐบาลจึงออกคำสั่งให้รวบรวมเด็กพิเศษเหล่านี้เข้ามาอยู่ในค่ายกักกันเพื่อหาหนทางรักษา โดยจำแนกความอันตรายของพลังนั้นๆ เป็นสี ไล่ไปตั้งแต่ เขียว, น้ำเงิน, เหลือง, ส้ม และ แดง ตามลำดับ
จุดสำคัญคือนางเอกของเรื่องอย่าง "รูบี้ เดลี่" เธออยู่ในหมวดสีส้ม ซึ่งเป็นหมวดหายากที่มีพลังจิตควบคุมใจ และจะโดนสั่งตายในทันทีเมื่อถูกค้นพบเช่นเดียวกับสีแดง ดังนั้นเธอจึงต้องหาทางเอาชีวิตรอด รวบรวมพรรคพวก และปกป้องตัวเองจากศัตรูมากมายที่หมายจะแย่งชิงอิสรภาพไปจากคนแบบพวกเธอ.
.
.
👍 จุดที่ชอบ 👍
1. ช่วงแรกหนังขายพล็อตของตัวเองเกี่ยวกับพลังพิเศษได้น่าสนใจมาก ขณะที่ติดตามเรื่องก็จะลุ้นตลอดว่าแต่ละคนจะมีพลังขนาดไหนนะ มันจะอลังการเหมือน X-Men หรือเปล่า ต้องชื่นชมว่าหนังเลี้ยงความใคร่รู้ของคนดูอย่างเราได้ดีจริงๆ
.
2. หนังหยิบเอาประเด็น "ความหลากหลาย" (Diversity) เข้ามาผสานกับการเล่าเรื่องของตัวเองได้อย่างแนบเนียนดี จะเห็นได้ชัดว่าประเด็นเรื่องการเหยียดผิวไม่ใช่ a thing อีกต่อไปแล้ว "การเหยียดหมวดสี" ต่างหากที่กำลังมาแรง ต่อให้เราพูดว่าทุกคนเท่าเทียมกันหมด แต่สุดท้ายมันก็จะมีอะไรบางอย่างมาเป็นเส้นกั้นอยู่ดี
.
3. การพัฒนาความสัมพันธ์ของกลุ่มตัวละครเอกน่าสนใจดี คาแร็กเตอร์แต่ละคนค่อนข้างชัดเจน (literally) และมีจำนวนไม่เยอะ ทำให้เราจำตัวละครได้ไว อินกับพล็อตได้ง่ายขึ้น และไม่จำสับสนกันด้วย
👎 จุดที่ไม่ชอบ 👎
1. ฉากแอคชั่นง่อยเปลี้ยมาก ไม่มีความรู้สึกเลยว่าชีวิตของตัวละครมัน at risk จริงๆ อย่างมากก็ฟกช้ำเลือดซิบนิดหน่อย (ยกเว้นในช่วงท้าย) ต้นเหตุก็คือมันเป็นหนังเรต G ไง (เป็นเรตที่เด็กน้อยที่สุด) ซึ่งสำหรับผมแล้วผมคิดว่าความรุนแรงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ถ้าคิดจะทำหนังแนวพลังพิเศษนี้จริงๆ โอเค อาจจะไม่ต้องหัวหลุดแขนขาดก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยใส่ความรู้สึกแบบ "อาจจะมีคนเจ็บหรือตายได้ทุกเมื่อ" เข้ามาหน่อยเถอะ ได้โปรด
.
2.ถึงแม้ผมจะชมไปว่าหนังมันเล่าเรื่องความหลากหลายได้ดี แต่พอมาเจอแก๊งค์ตัวละครหลักมันดูหลากหลายไป๊ ดูจงใจจนน่าขำ (มีพระเอกเป็นคนขาวรูปหล่อ นางเอกเป็นคนดำ ตัวละครเด็กเป็นเอเชียน มีผู้ชายคนดำเป็นตัวเล่นมุก) นี่ถ้ามี slot ตัวละครว่างก็คงใส่คนอินเดียไม่ก็พวกฮิสแปนิกเข้ามาแล้วล่ะ
.
3. ผิดหวังสุดเป็นอันดับสองก็คือการที่ไม่รู้มาก่อนว่าหนังทำมาจากนิยาย young-adult (เหมือน Divergent, Maze Runner) ซึ่งมีกิตติศัพท์ด้านความอ่อนของเนื้อเรื่องและความสมเหตุสมผลอยู่แล้ว แต่พอมาเจอเรื่องนี้ยิ่งหนักเลย หนังจะวัยรุ่นจ๋ามาก เนื้อเรื่องหลายช่วงยืดยาดโดยไม่จำเป็น ฉากสนทนาบางส่วนก็มีอาการน้ำท่วมทุ่งอีก
.
4.ความผิดหวังที่สุดคือก็ "พลังของพวกสีแดง" คือผมก็ไม่เคยอ่านหนังสือเรื่องนี้มาก่อนนะ แต่ในหนังเขาลือกันนักหนาว่ามันน่ากลัวมาก อันตรายโคตร--ไอ้เราก็จินตนาการไปสิ ขนาดสีส้มยังมีพลังบงการจิตใจได้ขนาดนี้แล้วสีแดงมันต้องน่ากลัวมากแน่ๆ ... จนกระทั่งมาได้เห็นสีแดงตัวเป็นๆ ก็ถึงกับร้องว่า "วอทเดอะฟัก" คือโคตรเฟล กระจอกแบบไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่ผมจะไม่สปอยล์หรอก ลองไปดูกันเอาเองแล้วกัน
✔ สรุป ✔
The Darkest Minds เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่มีวัตถุดิบที่ดีมาก แต่ก็กลับมาตกม้าตายด้วยคำว่า Young Adult Fiction ที่มีตัวอย่างของความล้มเหลวแทบนับครั้งไม่ถ้วนเป็นข้อพิสูจน์อยู่แล้ว หนังยังทำให้เรารู้สึกไม่ได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันเสี่ยงจริงๆ มันเหมือนเป็นการเดินชมสวนของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่บังเอิญมีพลังพิเศษไม่เหมือนคนทั่วไปก็เท่านั้น พล็อตรักก็ยังขายได้ไม่ดีพอ และท้ายที่สุดคือตอนจบที่เหมือนโยนหินถามทางดูรู้เลยถ้าทำเงินได้ดีก็คงมีภาคต่อ ถ้าเจ๊งเหมือนกับหนังเรื่องอื่นก็คงจะหายไปตลอดกาลเหมือนกัน
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ:
https://www.facebook.com/expensivemovie/
[หนังโรงเรื่องที่ 237] The Darkest Minds : ช่วยเอาไอ้พวกสีแดงไปเก็บที รำคาญ by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B+ (จากสเกล D-A)
(Jennifer Yuh Nelson, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีมีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เกิดโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ผลของมันก็คือทำให้ประชากรเด็กและวัยรุ่นกว่า 90% เสียชีวิตในทันที ส่วนอีก 10% ที่รอดชีวิตก็กลายสภาพเป็นผู้มีพลังพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังจิตโยกย้ายสิ่งของ พลังไฟฟ้า หรือเพิ่มพูนสติปัญญามหาศาล เป็นต้น รัฐบาลจึงออกคำสั่งให้รวบรวมเด็กพิเศษเหล่านี้เข้ามาอยู่ในค่ายกักกันเพื่อหาหนทางรักษา โดยจำแนกความอันตรายของพลังนั้นๆ เป็นสี ไล่ไปตั้งแต่ เขียว, น้ำเงิน, เหลือง, ส้ม และ แดง ตามลำดับ
จุดสำคัญคือนางเอกของเรื่องอย่าง "รูบี้ เดลี่" เธออยู่ในหมวดสีส้ม ซึ่งเป็นหมวดหายากที่มีพลังจิตควบคุมใจ และจะโดนสั่งตายในทันทีเมื่อถูกค้นพบเช่นเดียวกับสีแดง ดังนั้นเธอจึงต้องหาทางเอาชีวิตรอด รวบรวมพรรคพวก และปกป้องตัวเองจากศัตรูมากมายที่หมายจะแย่งชิงอิสรภาพไปจากคนแบบพวกเธอ.
.
1. ช่วงแรกหนังขายพล็อตของตัวเองเกี่ยวกับพลังพิเศษได้น่าสนใจมาก ขณะที่ติดตามเรื่องก็จะลุ้นตลอดว่าแต่ละคนจะมีพลังขนาดไหนนะ มันจะอลังการเหมือน X-Men หรือเปล่า ต้องชื่นชมว่าหนังเลี้ยงความใคร่รู้ของคนดูอย่างเราได้ดีจริงๆ
.
2. หนังหยิบเอาประเด็น "ความหลากหลาย" (Diversity) เข้ามาผสานกับการเล่าเรื่องของตัวเองได้อย่างแนบเนียนดี จะเห็นได้ชัดว่าประเด็นเรื่องการเหยียดผิวไม่ใช่ a thing อีกต่อไปแล้ว "การเหยียดหมวดสี" ต่างหากที่กำลังมาแรง ต่อให้เราพูดว่าทุกคนเท่าเทียมกันหมด แต่สุดท้ายมันก็จะมีอะไรบางอย่างมาเป็นเส้นกั้นอยู่ดี
.
3. การพัฒนาความสัมพันธ์ของกลุ่มตัวละครเอกน่าสนใจดี คาแร็กเตอร์แต่ละคนค่อนข้างชัดเจน (literally) และมีจำนวนไม่เยอะ ทำให้เราจำตัวละครได้ไว อินกับพล็อตได้ง่ายขึ้น และไม่จำสับสนกันด้วย
1. ฉากแอคชั่นง่อยเปลี้ยมาก ไม่มีความรู้สึกเลยว่าชีวิตของตัวละครมัน at risk จริงๆ อย่างมากก็ฟกช้ำเลือดซิบนิดหน่อย (ยกเว้นในช่วงท้าย) ต้นเหตุก็คือมันเป็นหนังเรต G ไง (เป็นเรตที่เด็กน้อยที่สุด) ซึ่งสำหรับผมแล้วผมคิดว่าความรุนแรงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ถ้าคิดจะทำหนังแนวพลังพิเศษนี้จริงๆ โอเค อาจจะไม่ต้องหัวหลุดแขนขาดก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยใส่ความรู้สึกแบบ "อาจจะมีคนเจ็บหรือตายได้ทุกเมื่อ" เข้ามาหน่อยเถอะ ได้โปรด
.
2.ถึงแม้ผมจะชมไปว่าหนังมันเล่าเรื่องความหลากหลายได้ดี แต่พอมาเจอแก๊งค์ตัวละครหลักมันดูหลากหลายไป๊ ดูจงใจจนน่าขำ (มีพระเอกเป็นคนขาวรูปหล่อ นางเอกเป็นคนดำ ตัวละครเด็กเป็นเอเชียน มีผู้ชายคนดำเป็นตัวเล่นมุก) นี่ถ้ามี slot ตัวละครว่างก็คงใส่คนอินเดียไม่ก็พวกฮิสแปนิกเข้ามาแล้วล่ะ
.
3. ผิดหวังสุดเป็นอันดับสองก็คือการที่ไม่รู้มาก่อนว่าหนังทำมาจากนิยาย young-adult (เหมือน Divergent, Maze Runner) ซึ่งมีกิตติศัพท์ด้านความอ่อนของเนื้อเรื่องและความสมเหตุสมผลอยู่แล้ว แต่พอมาเจอเรื่องนี้ยิ่งหนักเลย หนังจะวัยรุ่นจ๋ามาก เนื้อเรื่องหลายช่วงยืดยาดโดยไม่จำเป็น ฉากสนทนาบางส่วนก็มีอาการน้ำท่วมทุ่งอีก
.
4.ความผิดหวังที่สุดคือก็ "พลังของพวกสีแดง" คือผมก็ไม่เคยอ่านหนังสือเรื่องนี้มาก่อนนะ แต่ในหนังเขาลือกันนักหนาว่ามันน่ากลัวมาก อันตรายโคตร--ไอ้เราก็จินตนาการไปสิ ขนาดสีส้มยังมีพลังบงการจิตใจได้ขนาดนี้แล้วสีแดงมันต้องน่ากลัวมากแน่ๆ ... จนกระทั่งมาได้เห็นสีแดงตัวเป็นๆ ก็ถึงกับร้องว่า "วอทเดอะฟัก" คือโคตรเฟล กระจอกแบบไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่ผมจะไม่สปอยล์หรอก ลองไปดูกันเอาเองแล้วกัน
The Darkest Minds เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่มีวัตถุดิบที่ดีมาก แต่ก็กลับมาตกม้าตายด้วยคำว่า Young Adult Fiction ที่มีตัวอย่างของความล้มเหลวแทบนับครั้งไม่ถ้วนเป็นข้อพิสูจน์อยู่แล้ว หนังยังทำให้เรารู้สึกไม่ได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันเสี่ยงจริงๆ มันเหมือนเป็นการเดินชมสวนของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่บังเอิญมีพลังพิเศษไม่เหมือนคนทั่วไปก็เท่านั้น พล็อตรักก็ยังขายได้ไม่ดีพอ และท้ายที่สุดคือตอนจบที่เหมือนโยนหินถามทางดูรู้เลยถ้าทำเงินได้ดีก็คงมีภาคต่อ ถ้าเจ๊งเหมือนกับหนังเรื่องอื่นก็คงจะหายไปตลอดกาลเหมือนกัน
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ: https://www.facebook.com/expensivemovie/