หลังจากที่พ่อแม่ใช้เวลาในการเรียน และฝึกฝนภาษาอังกฤษ ที่สามารถพูดได้งูๆปลาๆแล้ว ก็ถึงเวลาที่เขาทั้งสองต้องไปสอบเอาใบขับขี่ เนื่องจากเมืองที่เราอยู่นั้นเป็นเมืองเล็กๆ รถเมล์ประจำทางที่มี ก็นานเป็นชาติเลย กว่าจะมาสักคัน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นที่นิยม สำหรับชาวเมืองเท่าไหร่ อีกอย่าง รถที่นี่ก็ไม่ได้ราคาแพงเกินไป ดังนั้น ใครๆก็สามารถซื้อรถ มือสอง มือสามได้ พ่อนั้นเขาขับรถเป็นมาตั้งแต่สมัยอยู่ที่เมืองไทยแล้ว และก่อนที่เขาจะมาอยู่ที่นี่ เขาก็ได้ไปทำใบขับขี่นานาชาติมาด้วย ทำให้เขาขับรถไปไหนมาไหน ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่มาปรับการขับ จากพวงมาลัยซ้าน มาเป็นพวงมาลัยขวา จากเลนซ้าน มาเป็นเลนขวา แค่นี้เอง ส่วนเรื่องกฎจราจร ก็คล้ายๆกับที่เมืองไทย เพียงแต่การจราจร ที่ต่างกันมากกมาย คือที่นี่ รถไม่ติดเลย จะไปไหน มาไหน สะดวกสบายมาก เนื่องจากพ่อแม่ของฉันคนอิสระ Independent เขาก็อยากจะไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง บางทีฉันติดเรียน พาเขาทั้งสองไปไหนไม่ได้ หรือเขาต้องไปเปิดร้านแทนฉัน เขาก็จะอาสาไปเปิดร้านให้เอง ดังนั้น การสอบเอาใบขับขี่ของที่อเมริกา จึงมีความจำเป็นมาก สำหรับสองคนนี้
การขอสอบรับใบอนุญาติขับขี่ของที่อเมริกา หรือที่เรียกกันว่า Driver License มีสองขั้นตอนคือ การสอบข้อเขียน และ การสอบภาคปฏบัตื คือการสอบขับนั่นเอง การสอบข้อเขียน ก็เริ่มด้วยการ ไปขอหนังสือคู่มือการสอบข้อเขียนจาก DMV (Department Of Motor Vehicles) เอามาอ่าน กฎระเบียบ วินัยและข้อบังคับการใช้รถ ใช้ถนนของคนอเมริกัน ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าอ่านทำความเข้าใจเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ กลับไปที่ DMV เพื่อขอนัดวันสอบ เสียค่าธรรมเนียม และ ก็ไปสอบตามวันนัด ถ้าหากไม่ผ่าน เขาอนุญาตให้สอบข้อเขียนครั้งที่สอง โดยที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใหม่ แต่ถ้าหากครั้งที่สองไม่ผ่าน ก็ต้องไปยื่นคำร้องของสอบและเสียค่าธรรมเนียมใหม่ แต่ถ้าหากว่าผ่านแล้ว เขาก็จะให้ใบขับขี่ ที่เรียกว่า Learner Driver License เป็นใบขับขี่ ที่มีข้อความสลักหลังว่าเป็นนักเรียนฝึกหัดขับรถ ใครที่มีใบขับขี่แบบนี้ จะขับรถออกถนนคนเดียวไม่ได้ ต้องขับไปไหนมาไหนได้ ก็ต่อเมื่อ มีผู้ที่มีใบขับขี่ตัวจริง นั่งอยู่ด้วยเสมอ ถ้าหากพร้อมแล้วที่จะสอบภาคปฏิบัติแล้ว ก็ต้องไปยื่นคำร้องขอสอบขับ นัดวันสอบ และเสียค่าธรรมเมีนยม ที่ DMV ที่เดิม เมื่อถึงวันนัด ก็ไปสอบ
ที่เมืองที่เราอยู่ตอนนั้นเป็นเมืองเล็ก ดังนั้น จึงไม่มีรถของทางการให้ใช้สอบขับ ดังนั้นผู้สอบต้องเอารถไปเอง ส่วนใหญ่ก็จะเอารถที่หัดขับอยู่ก่อนหน้าอยู่แล้ว ไปขับในวันสอบ จะได้ไม่ตื่นเต้นมาก ตอนนั้นก็ประมาณเกือบยี่สิบปีมาแล้วนะ รถก็มีสองแบบคือแบบ เกียร์กระปุก และเกียร์ออโต้ ฉันก็ไม่รู้ว่าสมัยนี้ที่เมืองไทย ยังมีรถเกีนร์กระปุกอยู่หรือเปล่า แต่ตอนนั้นส่วนใหญ่ผู้สอบจะเอารถเกียร์ออโต้ ไปสอบกันทั้งนั้น เพราะถ้ามือใหม่หัดขับ เอาเกียร์รถเกียร์กระปุกไปสอบ พอถึงข้อสอบที่จะต้องจอดรถตรงไหล่เขา หรือตรงเนิน เป็นสอบตกกันทุกราย เพราะจะเข้าเกียร์ทีไร รถถอยหลัง ปรื๊ดดดด ลงเนินกันทุกคน เมื่อได้รถที่เอาไปสอบแล้ว เขาก็จะมีเจ้าหน้าที่ มานั่งไปในรถด้วย และก็จะบอกให้เรา ขับตรงไป ขับเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หยุดตรงป้ายหยุด และอื่นๆอีกมากมาย จนเขาพอใจ แล้วก็ขับกลับไปที่ออฟฟิต ถ้าตก คราวนี้ไม่ต้องกลับไปสอบข้อเขียนใหม่ สามารถมาขอสอบขับอีกได้เรื่อยๆจนกว่าจะผ่าน แต่ทุกครั้งต้องเสียค่าธรรมเนียมในการสอบขับทุกครั้งไป อย่างฉันนี้สอบข้อเขียนผ่าน ในครั้งเดียว แต่สอบขับต้องสอบ ถึงสองครั้งถึงจะผ่าน
ในเมื่อเรารู้ถึงกระบวนการขั้นตอนการสอบเอาใบขับขี่กันแล้ว ก็มาถึงตาพ่อกับแม่ของฉัน ที่จะต้องทำการสอบใบขับขี่แล้วหล่ะ ตอนที่พ่อกับแม่ไปขอหนังสือคู่มือการสอบข้อเขียนที่ DMV ทางเจ้าหน้าที่เขาถามว่า พ่อกับแม่พูดภาษาอะไร เราก็บอกเขาไปว่า พูดภาษาไทย ทางเจ้าหน้าที่ก็ไปรื้อๆ ตู้เอกสาร เพื่อที่จะหาหนังสือคู่มือที่แปลเป็นภาษาต่างชาติ ที่มีด้วยกันหลายภาษา อย่างเช่น ภาษาสเแปนนิช ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเวียดนาม ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น และภาษาตากาล๊อค แต่ดันไม่มีภาษาไทย ก็อย่างที่บอกแล้วไงว่า เมืองที่เราอยู่นั้นเป็นเมืองเล็ก คนไทยอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนคนไทย ชาวบ้านคนไทยที่อยู่จริงๆ ในเมืองนี้ มีไม่ถึงสิบครอบครัว เขาเลยไม่มีคู่มือภาษาไทยให้อ่าน คู่มือภาษาไทยและแบบทดสอบภาษาไทย จะมีให้ก็แต่ในเมืองใหญ่ๆ อย่างแอลเอ หรือนิวยอร์ค เป็นต้น พ่อกับแม่ก็บ่นๆออกแนวผิดหวัง บอกว่า อย่างนี้ไม่แฟร์กับคนไทย ในเมืองนี้ ทำไมทีพวกคนแม็กซิกัน ถึงอำนวยความสะดวกมากมาย เพราะอะไรๆ ก็ภาษาสแปนนิช ฉันก็บอกพ่อกับแม่ว่า อย่าเสียใจ น้อยใจไปเลย กับการที่เขาไม่มีคู่มือภาษาไทยให้เรา ขอให้ถือว่านี่คือบททดสอบบทหนึ่ง ถือว่ามันคือกำไรชีวิต เป็นอุปสรรค์ ที่ทำให้แข็งแกร่ง แข็งแรง และเป็นแรงผลักดันให้เราอยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้น และการที่เรามาอยู่เมืองเขา แล้วไม่รู้จักกฎจราจรในภาคภาษาอังกฤษ แปลว่าพ่อกับแม่ มาไม่ถึงอเมริกานะ นั้นแหละ ทั้งสองคนถึงได้มีแรงฮึด เอาหนังสือคู่มือกลับบ้านไปอ่านกัน พ่อกับแม่นี่ทำการบ้านกับการอ่านหนังสือคู่มือกันอย่างหนักมากเลย แม่แทบจะเปิดดิคชันนารี่ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทยแทบทุกตัวอักษร จากหน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ทำอยู่อย่างนั้นประมาณสี่เดือนได้ จึงตัดสินใจไปยื่นคำร้องเพื่อขอสอบข้อเขียน ทั้งพ่อและแม่ไปสอบรอบแรกก็ไม่ผ่าน ไปสอบรอบสองก็ไม่ผ่าน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ทั้งพ่อกับแม่ต้องสอบข้อเขียนกันถึงสี่รอบ ถึงจะได้ Learner Driver License มาครอบครอง
หลังจากที่ได้บัตรนักเรียนหัดขับกันแล้ว ทางพ่อนี้เป็นอะไรที่ง่ายมาก เพราะเขาก็ขับรถอยู่ทุกวัน เขาเพียงแต่แค่ต้องทำความเข้าใจกับ คำพูดของเจ้าหน้าที่ ที่นั่งไปด้วยในเวลาสอบขับ ให้ขับเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ให้หยุดตรงไหน ไปต่อ ไปเร็ว ไปช้า นี่ต้องทำให้ถูกตามคำสั่ง เคยมีพี่นักศึกษาคนไทย แกก็มาสอบขับเหมือนกัน ภาษาอังกฤษของแกก็ดี แต่ตอนหัดขับแกตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยขับรถมาก่อน แกก็มัวแต่ตั้งใจขับรถ โดยที่ไม่สนใจเจ้าหน้าที่ เขาให้จอดก็ไม่จอด ให้เลี้ยวตรงนี้ก็ไม่เลี้ยว แกขับได้ไม่ถึงยี่สิบนาที เจ้าหน้าที่ก็บอกว่ากลับเถอะ แกยังคิดในใจว่าทำไมง่ายนักว่ะ และก็ใช้เวลานิดเดียวเอง แต่พอกลับถึงสำนักงาน DMV อีตาเจ้าหน้าที่ให้แกตก เพราะแกขับไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่สนใจเจ้าหน้าที่เลย แต่ทางพ่อของฉัน คราวนี้เขากลับทำได้ดี แม้จะฟังเจ้าหน้าที่ อกกบ้าง ไม่ออกบ้าง แต่แกจะถามกลับ ทวนคำถามเจ้าหน้าที่ จนแกเข้าใจ ทางเจ้าหน้าที่ก็รู้หล่ะ ว่าแกพูดภาษาไม่ค่อยได้ และเข้าใจได้นิดหน่อย เขาก็จะสนใจเรื่องการขับรถของพ่อมากกว่า ซึ่งพ่อก็ขับเก่งอยู่แล้ว จึงสอบขับครั้งเดียวผ่าน
แต่แม่ของฉันนี่สิ ลองคิดดูนะคะ ผู้หญิงอายุห้าสิบกว่า ที่ตลอดชีวิต เป็นแต่แม่บ้าน ไม่เคยได้ขับรถไปไหนมาไหน ต้องมาหัดขับรถ และไม่ใช่รถธรรมดานะ มันเป็นรถตู้ เหมือนรถโรงเรียน ทั้งใหญ่ ทั้งยาว ที่มีที่นั้งประมาณสิบสองที่นั่ง ที่เราเอาไว้ขนสินค้าไปขาย รถเก๋งคันเล็กก็มี แต่มันเป็นเกียร์กระปุกมันยากอยู่นะ กับการที่เขาจะมาหัดขับคันนี้ แต่แม่เขาก็เลือกที่จะใช้รถตู้ เพราะมันเป็นเกียร์ออโต้ ถึงแม้รถมันคันใหญ่ ขาแกก็สั้น เหยียบคันเร่งก็ไม่ค่อยจะถึง และแกก็เตี้ย แกสูงประมาณประมาณหนึ่งร้อยสี่สิบเซ็นติเมตรเองมั้ง พอนั่งเบาะด้านคนขับ หัวแกพ้นพวงมาลัยมาได้ไม่กี่เซ็นติเมตร ต้องหาหมอนมารองนั่งสองชั้นถึงจะมองกระจกหน้ารถเห็น ส่วนขาสั้นก็เหยียบคันเร่งไม่ค่อยถึง แกก็เขยิบที่นั่งมาจนสุด แถมยังเขยิบหมอนรงนั่งมาจนสุดขอบเบาะ นั่งขับแบบหมิ่นเหม่นี่แหละ พอหมดเรื่องรถที่จะใช้สอบขับ ก็มาถึงตอนที่แกจะหัดขับ พ่อนี่แหละ เป็นคนสอนแม่ขับรถ หัดขับไป ทะเลาะกันไป ตีกันไป โอ๊ยฉันนี่ปวดหัว และก็ขำด้วย กับการเรียน การสอนของสองคนนี้จริงๆ พอถึงเวลาสอนพ่อเขาก็จะพาแม่ไปหาลานจอดรถที่มันกว้างๆ ไม่ค่อยจะทีมีรถจอดเท่าไหร่นัก แล้วก็ให้แม่ขับวนไปวนมา จนชินกับการควบคุมพวงมาลัย จากนั้นพ่อก็กางหนังสือคู่มือข้อสอบออก แล้วค่อยๆ สอนแม่ที่ละข้ออย่างช้าๆ เช่นการเบรคตรงป้ายหยุด การถอยหลัง เดินหน้า การจอดบนไล่เนิน เรื่อยไป จนแม่เคยชินแล้ว และพ่อเขาก็พาออกนอกถนนจริง โชคดีจริงๆ ที่เมืองที่เราอยู่นั้น ถนนโล่งมาก แม่เขาก็ไม่กลัว เขาจึงกล้าขับออกถนนได้ พ่อก็สอนเวลาชะลอรถ ก่อนติดไฟแดง การออกตัว หลังจากติดไฟแดง การเปิดสัญญาณเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา และอื่นๆอีกมากมาย จนแม่เริ่มคุ้นกับการขับรถ เขาจึงไปขอสอบภาคปฏิบัติ ทักษะการฟังของแม่นี่จะดีกว่าพ่อหน่อยนึง เพราะแม่เป็นคนชอบฟัง แต่พ่อเป็นคนชอบพูด 555 แม่เลยเข้าใจคำสั่งของเจ้าหน้าที่ ได้มากกว่าพ่อ แต่การสอบครั้งแรกของแม่ แม่เกร็งเกินไปกับการขับรถจึงไม่ผ่าน จนต้องมาสอบครั้งที่สอง ถึงจะผ่านการสอบขับ และได้รับใบอนุญาติขับขี่และมาครอบครองอย่างสมใจ สมศักดิ์ศรี และความพยายาม
คนเป็นลูกอย่างฉันนี่เป็นปลื้มมากๆค่ะ ประมาณว่าอยู่ในโหมด "คุณแม่ที่เห็นลูกๆ รับปริญญา" 55555
กรุณาติดตามตอนต่อไปนะคะ
พี่ใหญ่ บิ๊กเบิ้ม ที่แม่ใช้ไปขับสอบภาคปฏิบัติ
พี่บัวขาว รถเก๋งเกียร์กะปุก ที่พ่อเอาไปสอบขับภาคปฏิบัติค่ะ จอดอยู่หน้าบ้าน โมเบิลโฮม ของฉันเอง เห็นแล้วคิดถึงค่ะ บ้านหลังแรก บ้านนี้ซื้อเองด้วยน้ำพัก น้ำแรงตัวเอง ไม่ได้เห็นรูปนี้มานานเกือบยี่สิบปีแล้วค่ะ
พ่อกับช้าง Big Al มาสก๊อต ของมหาวิทยาลัยอลาบาม่าค่ะ
แหมไม่ใช่ว่าฉันจะให้พ่อแม่ เฝ้าร้านอย่างเดียวนะคะ วันว่างจากการเรียน ก็พาพ่อกับแม่ ไปเที่ยวชมเมืองบ้างค่ะ ที่เมืองนี้มีทะเลสาบ และมีเขื่อนด้วยค่ะ วันว่างจะนัดเพื่อนๆ มาปิ้งๆย่าง สไตล์บาร์บีคิวกินกัน (ไม่ปิ้งย่างชาบูนะคะ เพราะไม่รู้จักค่ะ ทำไม่เป็น)
เล่าได้เล่าดี ตอนชีวิตในอเมริกาของพ่อกับแม่ ตอนที่ 2
การขอสอบรับใบอนุญาติขับขี่ของที่อเมริกา หรือที่เรียกกันว่า Driver License มีสองขั้นตอนคือ การสอบข้อเขียน และ การสอบภาคปฏบัตื คือการสอบขับนั่นเอง การสอบข้อเขียน ก็เริ่มด้วยการ ไปขอหนังสือคู่มือการสอบข้อเขียนจาก DMV (Department Of Motor Vehicles) เอามาอ่าน กฎระเบียบ วินัยและข้อบังคับการใช้รถ ใช้ถนนของคนอเมริกัน ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าอ่านทำความเข้าใจเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ กลับไปที่ DMV เพื่อขอนัดวันสอบ เสียค่าธรรมเนียม และ ก็ไปสอบตามวันนัด ถ้าหากไม่ผ่าน เขาอนุญาตให้สอบข้อเขียนครั้งที่สอง โดยที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใหม่ แต่ถ้าหากครั้งที่สองไม่ผ่าน ก็ต้องไปยื่นคำร้องของสอบและเสียค่าธรรมเนียมใหม่ แต่ถ้าหากว่าผ่านแล้ว เขาก็จะให้ใบขับขี่ ที่เรียกว่า Learner Driver License เป็นใบขับขี่ ที่มีข้อความสลักหลังว่าเป็นนักเรียนฝึกหัดขับรถ ใครที่มีใบขับขี่แบบนี้ จะขับรถออกถนนคนเดียวไม่ได้ ต้องขับไปไหนมาไหนได้ ก็ต่อเมื่อ มีผู้ที่มีใบขับขี่ตัวจริง นั่งอยู่ด้วยเสมอ ถ้าหากพร้อมแล้วที่จะสอบภาคปฏิบัติแล้ว ก็ต้องไปยื่นคำร้องขอสอบขับ นัดวันสอบ และเสียค่าธรรมเมีนยม ที่ DMV ที่เดิม เมื่อถึงวันนัด ก็ไปสอบ
ที่เมืองที่เราอยู่ตอนนั้นเป็นเมืองเล็ก ดังนั้น จึงไม่มีรถของทางการให้ใช้สอบขับ ดังนั้นผู้สอบต้องเอารถไปเอง ส่วนใหญ่ก็จะเอารถที่หัดขับอยู่ก่อนหน้าอยู่แล้ว ไปขับในวันสอบ จะได้ไม่ตื่นเต้นมาก ตอนนั้นก็ประมาณเกือบยี่สิบปีมาแล้วนะ รถก็มีสองแบบคือแบบ เกียร์กระปุก และเกียร์ออโต้ ฉันก็ไม่รู้ว่าสมัยนี้ที่เมืองไทย ยังมีรถเกีนร์กระปุกอยู่หรือเปล่า แต่ตอนนั้นส่วนใหญ่ผู้สอบจะเอารถเกียร์ออโต้ ไปสอบกันทั้งนั้น เพราะถ้ามือใหม่หัดขับ เอาเกียร์รถเกียร์กระปุกไปสอบ พอถึงข้อสอบที่จะต้องจอดรถตรงไหล่เขา หรือตรงเนิน เป็นสอบตกกันทุกราย เพราะจะเข้าเกียร์ทีไร รถถอยหลัง ปรื๊ดดดด ลงเนินกันทุกคน เมื่อได้รถที่เอาไปสอบแล้ว เขาก็จะมีเจ้าหน้าที่ มานั่งไปในรถด้วย และก็จะบอกให้เรา ขับตรงไป ขับเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หยุดตรงป้ายหยุด และอื่นๆอีกมากมาย จนเขาพอใจ แล้วก็ขับกลับไปที่ออฟฟิต ถ้าตก คราวนี้ไม่ต้องกลับไปสอบข้อเขียนใหม่ สามารถมาขอสอบขับอีกได้เรื่อยๆจนกว่าจะผ่าน แต่ทุกครั้งต้องเสียค่าธรรมเนียมในการสอบขับทุกครั้งไป อย่างฉันนี้สอบข้อเขียนผ่าน ในครั้งเดียว แต่สอบขับต้องสอบ ถึงสองครั้งถึงจะผ่าน
ในเมื่อเรารู้ถึงกระบวนการขั้นตอนการสอบเอาใบขับขี่กันแล้ว ก็มาถึงตาพ่อกับแม่ของฉัน ที่จะต้องทำการสอบใบขับขี่แล้วหล่ะ ตอนที่พ่อกับแม่ไปขอหนังสือคู่มือการสอบข้อเขียนที่ DMV ทางเจ้าหน้าที่เขาถามว่า พ่อกับแม่พูดภาษาอะไร เราก็บอกเขาไปว่า พูดภาษาไทย ทางเจ้าหน้าที่ก็ไปรื้อๆ ตู้เอกสาร เพื่อที่จะหาหนังสือคู่มือที่แปลเป็นภาษาต่างชาติ ที่มีด้วยกันหลายภาษา อย่างเช่น ภาษาสเแปนนิช ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเวียดนาม ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น และภาษาตากาล๊อค แต่ดันไม่มีภาษาไทย ก็อย่างที่บอกแล้วไงว่า เมืองที่เราอยู่นั้นเป็นเมืองเล็ก คนไทยอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนคนไทย ชาวบ้านคนไทยที่อยู่จริงๆ ในเมืองนี้ มีไม่ถึงสิบครอบครัว เขาเลยไม่มีคู่มือภาษาไทยให้อ่าน คู่มือภาษาไทยและแบบทดสอบภาษาไทย จะมีให้ก็แต่ในเมืองใหญ่ๆ อย่างแอลเอ หรือนิวยอร์ค เป็นต้น พ่อกับแม่ก็บ่นๆออกแนวผิดหวัง บอกว่า อย่างนี้ไม่แฟร์กับคนไทย ในเมืองนี้ ทำไมทีพวกคนแม็กซิกัน ถึงอำนวยความสะดวกมากมาย เพราะอะไรๆ ก็ภาษาสแปนนิช ฉันก็บอกพ่อกับแม่ว่า อย่าเสียใจ น้อยใจไปเลย กับการที่เขาไม่มีคู่มือภาษาไทยให้เรา ขอให้ถือว่านี่คือบททดสอบบทหนึ่ง ถือว่ามันคือกำไรชีวิต เป็นอุปสรรค์ ที่ทำให้แข็งแกร่ง แข็งแรง และเป็นแรงผลักดันให้เราอยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้น และการที่เรามาอยู่เมืองเขา แล้วไม่รู้จักกฎจราจรในภาคภาษาอังกฤษ แปลว่าพ่อกับแม่ มาไม่ถึงอเมริกานะ นั้นแหละ ทั้งสองคนถึงได้มีแรงฮึด เอาหนังสือคู่มือกลับบ้านไปอ่านกัน พ่อกับแม่นี่ทำการบ้านกับการอ่านหนังสือคู่มือกันอย่างหนักมากเลย แม่แทบจะเปิดดิคชันนารี่ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทยแทบทุกตัวอักษร จากหน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ทำอยู่อย่างนั้นประมาณสี่เดือนได้ จึงตัดสินใจไปยื่นคำร้องเพื่อขอสอบข้อเขียน ทั้งพ่อและแม่ไปสอบรอบแรกก็ไม่ผ่าน ไปสอบรอบสองก็ไม่ผ่าน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ทั้งพ่อกับแม่ต้องสอบข้อเขียนกันถึงสี่รอบ ถึงจะได้ Learner Driver License มาครอบครอง
หลังจากที่ได้บัตรนักเรียนหัดขับกันแล้ว ทางพ่อนี้เป็นอะไรที่ง่ายมาก เพราะเขาก็ขับรถอยู่ทุกวัน เขาเพียงแต่แค่ต้องทำความเข้าใจกับ คำพูดของเจ้าหน้าที่ ที่นั่งไปด้วยในเวลาสอบขับ ให้ขับเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ให้หยุดตรงไหน ไปต่อ ไปเร็ว ไปช้า นี่ต้องทำให้ถูกตามคำสั่ง เคยมีพี่นักศึกษาคนไทย แกก็มาสอบขับเหมือนกัน ภาษาอังกฤษของแกก็ดี แต่ตอนหัดขับแกตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยขับรถมาก่อน แกก็มัวแต่ตั้งใจขับรถ โดยที่ไม่สนใจเจ้าหน้าที่ เขาให้จอดก็ไม่จอด ให้เลี้ยวตรงนี้ก็ไม่เลี้ยว แกขับได้ไม่ถึงยี่สิบนาที เจ้าหน้าที่ก็บอกว่ากลับเถอะ แกยังคิดในใจว่าทำไมง่ายนักว่ะ และก็ใช้เวลานิดเดียวเอง แต่พอกลับถึงสำนักงาน DMV อีตาเจ้าหน้าที่ให้แกตก เพราะแกขับไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่สนใจเจ้าหน้าที่เลย แต่ทางพ่อของฉัน คราวนี้เขากลับทำได้ดี แม้จะฟังเจ้าหน้าที่ อกกบ้าง ไม่ออกบ้าง แต่แกจะถามกลับ ทวนคำถามเจ้าหน้าที่ จนแกเข้าใจ ทางเจ้าหน้าที่ก็รู้หล่ะ ว่าแกพูดภาษาไม่ค่อยได้ และเข้าใจได้นิดหน่อย เขาก็จะสนใจเรื่องการขับรถของพ่อมากกว่า ซึ่งพ่อก็ขับเก่งอยู่แล้ว จึงสอบขับครั้งเดียวผ่าน
แต่แม่ของฉันนี่สิ ลองคิดดูนะคะ ผู้หญิงอายุห้าสิบกว่า ที่ตลอดชีวิต เป็นแต่แม่บ้าน ไม่เคยได้ขับรถไปไหนมาไหน ต้องมาหัดขับรถ และไม่ใช่รถธรรมดานะ มันเป็นรถตู้ เหมือนรถโรงเรียน ทั้งใหญ่ ทั้งยาว ที่มีที่นั้งประมาณสิบสองที่นั่ง ที่เราเอาไว้ขนสินค้าไปขาย รถเก๋งคันเล็กก็มี แต่มันเป็นเกียร์กระปุกมันยากอยู่นะ กับการที่เขาจะมาหัดขับคันนี้ แต่แม่เขาก็เลือกที่จะใช้รถตู้ เพราะมันเป็นเกียร์ออโต้ ถึงแม้รถมันคันใหญ่ ขาแกก็สั้น เหยียบคันเร่งก็ไม่ค่อยจะถึง และแกก็เตี้ย แกสูงประมาณประมาณหนึ่งร้อยสี่สิบเซ็นติเมตรเองมั้ง พอนั่งเบาะด้านคนขับ หัวแกพ้นพวงมาลัยมาได้ไม่กี่เซ็นติเมตร ต้องหาหมอนมารองนั่งสองชั้นถึงจะมองกระจกหน้ารถเห็น ส่วนขาสั้นก็เหยียบคันเร่งไม่ค่อยถึง แกก็เขยิบที่นั่งมาจนสุด แถมยังเขยิบหมอนรงนั่งมาจนสุดขอบเบาะ นั่งขับแบบหมิ่นเหม่นี่แหละ พอหมดเรื่องรถที่จะใช้สอบขับ ก็มาถึงตอนที่แกจะหัดขับ พ่อนี่แหละ เป็นคนสอนแม่ขับรถ หัดขับไป ทะเลาะกันไป ตีกันไป โอ๊ยฉันนี่ปวดหัว และก็ขำด้วย กับการเรียน การสอนของสองคนนี้จริงๆ พอถึงเวลาสอนพ่อเขาก็จะพาแม่ไปหาลานจอดรถที่มันกว้างๆ ไม่ค่อยจะทีมีรถจอดเท่าไหร่นัก แล้วก็ให้แม่ขับวนไปวนมา จนชินกับการควบคุมพวงมาลัย จากนั้นพ่อก็กางหนังสือคู่มือข้อสอบออก แล้วค่อยๆ สอนแม่ที่ละข้ออย่างช้าๆ เช่นการเบรคตรงป้ายหยุด การถอยหลัง เดินหน้า การจอดบนไล่เนิน เรื่อยไป จนแม่เคยชินแล้ว และพ่อเขาก็พาออกนอกถนนจริง โชคดีจริงๆ ที่เมืองที่เราอยู่นั้น ถนนโล่งมาก แม่เขาก็ไม่กลัว เขาจึงกล้าขับออกถนนได้ พ่อก็สอนเวลาชะลอรถ ก่อนติดไฟแดง การออกตัว หลังจากติดไฟแดง การเปิดสัญญาณเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา และอื่นๆอีกมากมาย จนแม่เริ่มคุ้นกับการขับรถ เขาจึงไปขอสอบภาคปฏิบัติ ทักษะการฟังของแม่นี่จะดีกว่าพ่อหน่อยนึง เพราะแม่เป็นคนชอบฟัง แต่พ่อเป็นคนชอบพูด 555 แม่เลยเข้าใจคำสั่งของเจ้าหน้าที่ ได้มากกว่าพ่อ แต่การสอบครั้งแรกของแม่ แม่เกร็งเกินไปกับการขับรถจึงไม่ผ่าน จนต้องมาสอบครั้งที่สอง ถึงจะผ่านการสอบขับ และได้รับใบอนุญาติขับขี่และมาครอบครองอย่างสมใจ สมศักดิ์ศรี และความพยายาม
คนเป็นลูกอย่างฉันนี่เป็นปลื้มมากๆค่ะ ประมาณว่าอยู่ในโหมด "คุณแม่ที่เห็นลูกๆ รับปริญญา" 55555
กรุณาติดตามตอนต่อไปนะคะ
พี่ใหญ่ บิ๊กเบิ้ม ที่แม่ใช้ไปขับสอบภาคปฏิบัติ
พี่บัวขาว รถเก๋งเกียร์กะปุก ที่พ่อเอาไปสอบขับภาคปฏิบัติค่ะ จอดอยู่หน้าบ้าน โมเบิลโฮม ของฉันเอง เห็นแล้วคิดถึงค่ะ บ้านหลังแรก บ้านนี้ซื้อเองด้วยน้ำพัก น้ำแรงตัวเอง ไม่ได้เห็นรูปนี้มานานเกือบยี่สิบปีแล้วค่ะ
พ่อกับช้าง Big Al มาสก๊อต ของมหาวิทยาลัยอลาบาม่าค่ะ
แหมไม่ใช่ว่าฉันจะให้พ่อแม่ เฝ้าร้านอย่างเดียวนะคะ วันว่างจากการเรียน ก็พาพ่อกับแม่ ไปเที่ยวชมเมืองบ้างค่ะ ที่เมืองนี้มีทะเลสาบ และมีเขื่อนด้วยค่ะ วันว่างจะนัดเพื่อนๆ มาปิ้งๆย่าง สไตล์บาร์บีคิวกินกัน (ไม่ปิ้งย่างชาบูนะคะ เพราะไม่รู้จักค่ะ ทำไม่เป็น)