สอบถามคนที่ซื้อรถ HR-V ระหว่าง E กับ EL คุณเลือกอะไร

กระทู้คำถาม
สองรุ่นนี้ราคาต่างกัน 110,000 บาท ค่ะ
E 949,000 บาท
EL 1,059,000 บาท เท่าที่ดู ที่ได้มาเพิ่มมีไฟตัดหมอก เบาะคนขับปรับแบบไฟฟ้า ด้านซ้ายมีแสดงภาพอับสายตา ถ้าเรายกไฟเลี้ยวซ้ายค่ะ
ส่วน RS นี่ไม่ไหวค่ะ ให้พิจารณาก็ว่าแพงไป
ใครซื้อรุ่นไหนแนะนำกันหน่อยนะคะ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ตอนแรก ผมดูจากที่คุณโพส ราคาต่างกัน 110,000 บาท ต่างกันแค่ 3 อย่างเนี่ยนะ ใครจะไปซื้อ EL

ด้วยความสงสัย ก็เลยเข้าไปในดูในเว็บ ผลปรากฏว่า มันต่างมีออฟชั่นที่ต่างกันเยอะกว่า 3 อย่างที่คุณบอกไว้นะครับ

1.ไฟหน้าต่างกัน

รุ่น E เป็นไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ ส่วน EL ขึ้นไป เป็นแบบ LED ซึ่งแน่นอนว่า ไฟหน้า LED นั้น จะให้ความสวยงามกว่าไฟแบบโปรเจคเตอร์ แถมยังกินกำลังไฟน้อยกว่า แต่ที่สำคัญคือ ราคามันแพงกว่า

2. ไฟท้าย LED

รุ่น E เป็น LED ธรรมดา ส่วน EL ขึ้นไปเป็นไฟแบบ TUBE อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบ แต่แน่นอนว่า สมัยนี้ ก็ต้องเป็น TUBE ตามสมัยนิยม

3. ระบบไฟหน้าปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ

รุ่น E ไม่มีออฟชั่นนี้ให้ ส่วน EL ขึ้นไปมีให้ ข้อดีของมันก็คือ ลำแสงของไฟหน้านั้น จะถูกตั้งโดยอัตโนมัติในมุมส่องที่เหมาะสม สำหรับการขับขี่ เช่น ในกรณีที่ มีผู้โดยสารนั่งกันหลายคน + บรรทุกของ หากรถที่มีไฟหน้าปกติตายตัว เมื่อท้ายรถถูกกด มุมของไฟหน้าก็จะเงยขึ้น ดังนั้น ทำให้ ไฟที่ส่องออกไป มันก็จะเงยขึ้นตามไปด้วย ทำให้ ระยะที่ส่องเห็นนั้น สั้นลงกว่าปกติ แถมยังจะไปรบกวนสายตา รถที่วิ่งสวนเรามาด้วย

4. ไฟหน้า เปิด/ปิดอัตโนมัติ

รุ่น E ไม่มีไฟเปิดอัตโนมัติมาให้ แต่จะมีเฉพาะปิดอัตโนมัติมาให้ คือ ระบบเปิดไฟหน้าอัตโนมัติของ รุ่น EL ขึ้นไป มันก็ดีตรงที่ว่า ป้องกันการลืมเปิดไฟหน้า โดยรถรุ่นปัจจุบัน คนขับมักจะลืมเปิดไฟหน้ากันง่าย สาเหตุเพราะ ไฟหน้าปัทม์ของรถรุ่นใหม่ ๆ นั้น จะทำงานตลอดวลา จะมีเพียงสัญลักษณ์แจ้งว่าไฟหน้าเปิดแล้ว แค่นั้น ทำให้ บางทีผู้ขับขี่ก็อาจจะลืมเปิดไฟหน้าได้ ดังนั้น ระบบอัตโนมัติ ก็จะมาช่วยในเรื่องนี้

หรือในกรณีที่ คุณขับเข้าบริเวณที่มืด เช่น อุโมงค์ ไฟหน้าและไฟท้ายก็จะติดขึ้นมาทันที เพื่อช่วยในเรื่องความปลอดภัยให้กับตัวคุณเอง และรถที่ขับตามมาก็จะเห็นไฟหรี่ของไฟท้ายด้วย

5. ไฟตัดหมอก

รุ่น E ไม่มี อันนี้ สำหรับผม ไม่ค่อยซีเรียสนะ มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่า ไฟตัดหมอก มันให้ความสวยงามมากกว่าโอกาสที่จะได้ใช้งานซะอีก

6. ระบบพับกระจกข้างไฟฟ้าอัตโนมัติ ควบคุมด้วยรีโมทหรือประตูอัจริยะ

รุ่น E ไม่มี ก็เป็นออฟชั่นที่ แล้วแต่คนจะมองนะ แต่สำหรับผม ผมชอบนะ เพราะการพับกระจกมองข้างทุกครั้ง (คือ รถผมไม่มีออฟชั่นนี้ ก็ต้องไปติดกล่องเพิ่ม) ผมชอบตรงที่ เราไม่ต้องมาคอยพับกระจกเวลาจอด และมันสามารถรู้ได้ทันทีว่า รถล็อคหรือไม่ได้ล็อค โดยสังเกตได้จากกระจกข้าง ในขณะที่บางคนอาจจะบอกว่า การพับกระจกบ่อย ๆ อาจจะทำให้เฟืองพับเสียหาย อันนั้นก็แล้วแต่ครับ

7. มือจับเปิดประตูด้านหน้า

รุ่น E สีเดียวกับตัวรถ รุ่น EL ขึ้นไป โครเมี่ยม

8. ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ

รุ่น E เป็นแบบธรรมดา ส่วนรุ่น EL ขึ้นไป เป็นแบบอัตโนมัติ ข้อดีของมันก็คือ ไม่ต้องมาคอยปรับตั้งระยะในการปัดน้ำฝน อย่าลืมว่า ฝนไม่ได้ตกสม่ำเสมอกันตลอดเวลา และความเร็วของรถที่เคลื่อนที่ มันก็ส่งผลต่อเม็ดฝนที่กระทบลงบนกระจกหน้า มันเลยทำให้ ที่ปัดน้ำฝนแบบธรรมดา คุณอาจจะต้องคอย ปัดมันเพิ่ม เพิ่มความเร็วในการปัด หรือ ปิดมัน

9. กันชนหน้า หลัง ชายกันกระแทกข้าง

รุ่น E เป็นสีดำ รุ่น EL เป็นสีเดียวกับตัวรถ

10. วัสดุตกแต่งเป็นโครเมี่ยมและ Paino Black

รุ่น EL ขึ้นไป จะมีออฟชั่นนี้ภายใน ก็ตามสมัยนิยมครับ

11. กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ

รุ่น E จะเป็นแบบธรรมดา ส่วน EL ขึ้นไปจะตัดแสงอัตโนมัติ ในกรณีที่ ไฟจากรถคันที่อยู่ข้างหลัง ส่องเข้ามา ระบบตัดแสงจะทำงาน ทำให้ แสงไฟที่เรามองในกระจกนั้น ถูกหรี่ลดลง

12. กระจกไฟฟ้า ขึ้น - ลงอัตโนมัติ

รุ่น E จะมีเฉพาะฝั่งคนขับ ส่วน EL ขึ้นไปจะมีทั้ง คนขับ + คนนั่ง ซึ่ง มันก็คือ ออฟชั่นเพิ่มความสะดวก ที่เราไม่ต้องกดปุ่มกระจกไฟฟ้าค้างไว้ตลอดเวลาจนเลื่อนสุด หรือ ต้องกดค้างไว้จนกระจกเลื่อนลงจนสุด

13. มาตรวัดพร้อมจอแสดงผล MID

รุ่น EL ขึ้นไป จะมีออฟชั่นนี้ โดยจะเป็นการแสดงข้อมูลการขับขี่ต่าง ๆ

14. เบาะคนขับปรับไฟฟ้า

ซึ่งจะมีเฉพาะรุ่น EL ขึ้นไปเท่านั้น แต่สำหรับผม เฉย ๆ กับเบาะไฟฟ้านะ ถ้าเราขับรถคนเดียว เพราะ เมื่อเราปรับเบาะไว้ตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว ก็จะใช้ตำแหน่งนั้นตลอด ยันขายรถนั่นเหละ จะมีบ้างที่อาจจะปรับเอนนอน ก็แค่นั้น ผมกลับไม่ชอบนะ เวลาปรับที ต้องมารอ สู้แบบ Manual ไม่ได้ เร็วมาก แป๊บเดียวรู้เรื่อง ไม่ต้องมากลัวว่า ระบบเบาะไฟฟ้าจะเสียหายหรือไม่ด้วย

15. แผงบังแดดคู่หน้า แบบมีไฟส่องสว่าง

มีเฉพาะ รุ่น EL ขึ้นไป ซึ่งออฟชั่นนี้ ไม่เข้าใจเลยว่า ค่อนข้าง หายากในรถ HONDA ถ้าจำไม่ผิด CRV ยังไม่มีออฟชั่นนี้เลย ผมว่า มี มันก็ดีนะ

16. หน้าจอเครื่องเสียง

รุ่น E ขนาด 6.8" ส่วน EL ขนาด 7"

17. พวงมาลัย Multifuction

มีทั้ง E และ EL ขึ้นไป แต่ ของ EL จะเพิ่มปุ่ม เพราะมันมีการแสดงผล MID ข้อมูลการขับขี่ด้วย

18. จำนวนลำโพง

รุ่น E 4 ตัว รุ่น EL ขึ้นไป 6 ตัว

19. HONDA LANE WATCH

รุ่น E ไม่มี มันก็เป็นออฟชั่นที่มีประโยชน์นะครับ แต่ถ้าคุณไม่เปิดไฟเลี้ยวทุกครั้ง มันก็ไม่ทำงาน ยกเว้นจะกดปุ่มบนก้านให้มันทำงานตลอด เท่าที่ฟังมาบางคน บอกว่า มันดูลำบากก็มีนะครับ

20. ม่านถุงลมด้านข้าง

รุ่น E ไม่มี มีตั้งแต่ EL ขึ้นไป ผมมองว่า ออฟชั่นนี้ ถือเป็นออฟชั่นด้านความปลอดภัยที่ดีและควรจะมีในรถทุกคัน ณ เวลานี้นะครับ อย่างของ TOYOTA เอง ขนาดรถ ECO CAR ของเขา ไม่ว่าจะเป็น YARIS หรือ ATIV ก็ยังให้ถุงลมถึง 7 ใบแล้วในทุกรุ่น

ม่านถุงลมด้านข้างนั้น ช่วยลดการบาดเจ็บบริเวณศรีษะ หากเกิดการชนด้านข้างได้ดีมากครับ บางทีมันอาจจะช่วยให้เรารอดพ้นจากการเสียชีวิตก็เป็นได้ครับ

21. ระบบล็อคอัตโนมัติ เมื่อกุญแจอยู่ห่างรถ

รุ่น E ไม่มี ข้อดีก็คือ ป้องกันการลืมล็อครถนั่นเหละครับ

22. เตือนคาดเข็มขัดนิรภัย

รุ่น E เตือนเฉพาะคนขับ ส่วนรุ่น EL ขึ้นไป เตือนทั้งคนขับ + คนนั่ง ซึ่งผมว่า มันดีนะ เพราะมันช่วยได้จริง เรียกได้ว่า ไม่ต้องพูดมาก ไม่ต้องบังคับอะไรกันเยอะเลย ถ้าไม่มีเสียงเตือน คนที่ไม่ชอบคาดนิรภัย ก็จะไม่คาดอยู่แล้ว แต่หากมีเสียงเตือน ส่วนใหญ่ก้จะยอมคาด

สรุปนะครับ มันก็ต่างกันที่ออฟชั่นนั่นเหละครับ กับค่าตัวที่ต่างกันประมาณ 110,000 บาท อยู่ที่คุณครับ ว่าจะจ่ายเงินเพื่อซื้อมันหรือไม่

เอาที่เราไหวครับ เพราะรถสมัยนี้ บอกตรง ๆ ว่า ออฟชั่นมันให้มาเหนือความจำเป็นไปเยอะแล้วครับ ที่จำเป็นก็เช่น ถุงลมคู่หน้า เบรก ABS เข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง ระบบควบคุมการทรงตัว VSA ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน อะไรพวกนี้ ก็มีให้ตั้งแต่รุ่นล่างสุดครับ ส่วนอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นก็แล้วแต่ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่