สุดยอดละครอภิอมตะมหานิรันดร์กาล (แปลว่าอะไรนิ..) @@@ ล่ากะหล่ำสุดขอบฟ้า ตอน 3 @@@

...


วิกสังกะสีภูมิใจเสนอ ...

ความเดิมจากสองตอนที่แล้ว ..
1. https://ppantip.com/topic/37896571
2. https://ppantip.com/topic/37908535

..
..
       รถสองแถวที่นั่งลงดอยมาคราวนี้ก็คือคันอีแก่ของบ้านผมนั่นเอง และคนขับก็คือพ่อผมที่จำเป็นต้องทำหน้าที่แทนระหว่างผมไปกรุงเทพฯ  วันนี้อีแก่วิ่งลงดอยได้ช้ากว่าปกติ  ส่วนหนึ่งเกิดจากเบรกเสื่อม  ซึ่งพ่อแกว่าหลังจากส่งผู้โดยสารเสร็จแล้ว จะเอาไปเข้าอู่สักหน่อย อีกอย่างคือผู้โดยสารส่วนใหญ่จะเป็นเที่ยวสั้น สลับกันขึ้นลงโดยตลอด  

       ผมนั่งอยู่ว่างจนเบื่อ ก็เลยสำรวจของที่จะเอาไปกรุงเทพฯ อีกครั้ง ถึงแม้ก่อนออกจากบ้านจะตรวจทานเป็นอย่างดีแล้ว แต่มันก็ยังมีหลายอย่างให้คอยเป็นกังวลอยู่    

       เริ่มจากกระเป๋าเสื้อผ้าของผม มีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดและก็ของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย แต่ที่น่าห่วงคือเงินจำนวนหลายพันที่ซ่อนไว้ใต้กระเป๋า อันนี้เป็นเหมยบอกว่าที่กรุงเทพฯจะมีพวกแก๊งค์ล้วงกระเป๋า เราจึงควรจะแยกเงินออกเก็บไว้หลาย ๆ ที่ เผื่อเงินในตัวสูญหายไป ก็ยังมีสำรองอยู่ที่อื่นด้วย  

       กระเป๋าใบนี้เป็นของพ่อผมที่แกใช้เดินทางค้าขายกับทางฝั่งพม่าตั้งแต่ยังหนุ่ม  แกเลยส่งต่อให้ผมใช้ด้วยความภูมิใจ  ไอ้ผมก็ไม่อยากจะขัดศรัทธาก็เลยรับมา  เป็นกระเป๋าผ้าใบที่ยังดูดีอยู่   แต่สายสะพายค่อนข้างชำรุดจะขาดแหล่ไม่ขาดแหล่  แม่ผมต้องเอาด้ายเย็บไว้ถึงพอใช้ได้  แต่อีตอนสะพายต้องคอยระวังอยู่บ้าง

       อีกอันก็กล่องกระดาษใบใหญ่ที่ใส่กะหล่ำไปประมาณสิบลูก ตั้งใจเอาไปฝากให้น้าเมื่อเจอหน้ากัน  เพราะแกไปอยู่กรุงเทพฯตั้งหลายเดือนคิดว่าแกคงคิดถึงและอยากกินกะหล่ำของที่บ้านเรามาก  กล่องนี้ก็แค่ผูกเชือกฟางให้แน่นหนา ไม่น่ามีอะไรเป็นห่วง เพียงแต่อาจจะเกะกะกินที่ไปบ้าง

    นอกจากนั้นผมยังมีย่ามใบเล็กที่เคยใช้สะพายไปโรงเรียนสมัยเด็ก ย่ามนี้ถือเป็นถุงเสบียงโดยเฉพาะ แม่ผมแกอัดข้าวเหนียวใส่ถุงพลาสติคมาให้ถุงเบ้อเริ่ม  พร้อมของกินจำพวกน้ำพริกตาแดง ไข่ต้ม  หมูปิ้ง แถมด้วยน้ำดื่มใส่กระติกใบเล็กยัดมาให้

       ถึงอันสุดท้ายคือเป้ใส่กะหล่ำของคุณปลัด  ชิ้นนี้กระเป๋าใบใหญ่แข็งแรงทนทาน แต่ผมต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ  และที่น่าเป็นกังวลคือตอนนี้กลับเป็นว่าผมมีของที่จะต้องกระเตงขึ้นรถถึงสี่ชิ้นใหญ่  กลัวว่าบางชิ้นจะมีการลืมหรือหายได้ในระหว่างทาง

       กำลังนั่งมองว่าจะจัดการอย่างไร  ก็มีเสียงทักมาจากป้าชาวไทยใหญ่

       “คิงจะไปอยู่กรุงเทพฯกี่วันนี่  หันเอาของไปปะเลอะปะเต๋อ ..”   ป้าแกถามว่าจะไปกรุงเทพฯกี่วัน  เห็นเอาของไปเยอะแยะ

       “...ยังบ่ฮู้เตื่อ  ของเฮาแต๊ ๆ ก็บ่มีอะหยัง   ที่หันว่านักมันเป๋นของฝาก  กำเดวก็เอาหื้อเปิ้นไปล่ะ .. “  

       ผมบอกยังไม่รู้   แล้วอธิบายต่อว่าของผมจริง ๆ ก็ไม่มีอะไร  ที่เห็นว่าเยอะมันเป็นของฝาก  ประเดี๋ยวก็ให้คนอื่นเขาไปล่ะ  

       “อันนี้ก็ห่อข้าว เอาไว้กิ๋นกลางตาง ..”    ผมชูย่ามที่ใส่ห่อข้าวกินกลางทางให้ดู

       พอลุงป้าน้าอาบนรถแกเห็นย่ามเสบียงในมือผมเท่านั้น  ก็เฮโลเอามาสมทบให้ผมกันอีกยกใหญ่ ห้ามอย่างไรก็ไม่ได้  สุดท้ายได้ข้าวหลามสามกระบอก กล้วยปิ้งหลายลูก มันอีกเผาถุงใหญ่  เล่นเอาในย่ามของผมที่ตอนแรกยังดูหลวม ๆ  กลายเป็นอัดของจนแน่น  

       กลายเป็นว่าของผมมากกว่าเดิม  นั่งตรองอยู่ชั่วครู่ก็จำความได้ว่าสมัยเรียนหนังสือ หากเหมยเธอมีของที่ล้นจากกระเป๋านักเรียน  เธอก็จะเอามายัดรวมกันในย่ามของผม  นึกได้อย่างนี้แล้วผมก็ตัดสินใจว่าจากของสี่ชิ้น  ผมน่าจะลดมันให้น้อยลงเผื่อจะได้หอบหิ้วและดูแลได้ง่ายกว่า

       ทีแรกผมจะเอาพวกของกินในย่ามใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าของผม  แต่ดูแล้วก็ไม่เข้าท่าเพราะพื้นที่กระเป๋ามันจุไม่พอ  เพียงแค่ข้าวหลามกระบอกยาว ๆ  ก็ไม่รู้จะยัดเข้าไปได้อย่างไร  ส่วนกล่องกระดาษนั่น แค่กะหล่ำก็บรรจุแน่นจนเต็ม  ไม่เหลือที่ให้ใส่อะไรอีก    

       คิดไปมาอยู่หลายตลบ ในที่สุดผมก็ตกลงใจว่าจะเอาเสื้อผ้าของผมออกจากกระเป๋าไปฝากไว้ในกระเป๋าของคุณปลัดน่าจะดีกว่า พร้อมกับม้วนเก็บกระเป๋าของผมใส่เข้าไปด้วย  โดยที่เงินหลายพันกับของใช้ส่วนตัวยังคงอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิม

       ตรองดูแล้วอย่างนี้น่าจะดีที่สุด  เพราะของสำคัญคือกะหล่ำคุณปลัดกับเสื้อผ้าและเงินหลายพันของผมมารวมอยู่ในที่เดียวกัน   ซึ่งคงทำให้ผมดูแลง่าย   กล่องกะหล่ำผมก็หิ้วเอา  ส่วนย่ามเสบียงผมก็จะใช้วิธีสะพายแบบคนเหนือเรียกว่า - เป๊อะแม้ว -  คือเอาสายย่ามแผ่ออกกว้างเท่าฝ่ามือแล้วพาดรั้งไว้กับหน้าผาก   ตัวย่ามก็หมุนไปเทินไว้กลางหลัง   วิธีแบกย่ามอย่างนี้จะใช้ศีรษะเป็นตัวรับน้ำหนัก   เวลาเดินก็ก้มหัวไปข้างหน้าเล็กน้อย  เดินงุด ๆ ไป  ข้ามเขาได้เป็นสิบ ๆ ลูก  

       แต่ถ้าเป็นถุงใบใหญ่บรรจุของเยอะ ๆ ต้องคอแข็งหน่อยนะ ของแบบนี้อยู่ที่การฝึกฝน   มีบ้างเหมือนกันระหว่างช่วงฝึกหัดใหม่ ๆ  ผมกำลังเดินขึ้นดอยแล้วเผลอเงยหน้าขึ้นมา  ปรากฏว่าน้ำหนักของถุงกระชากคอจนหงายเก๋ง ตีลังกาตกดอย  

       พอสรุปได้ว่าจะจัดของอย่างไร  ผมก็เปิดกระเป๋าของคุณปลัด กะว่าแค่เอาเสื้อผ้ากับกระเป๋าของผมวางโปะไว้ข้างบนเท่านั้นพอ แต่พอเปิดออกเห็นของในกระเป๋าเท่านั้นก็เล่นเอาผมถึงกับตลึง

       พุทโธ่เอ๋ย  !!  กะหล่ำสวย ๆ ของที่บ้าน  ผมอุตส่าห์คัดให้เป็นอย่างดีมอบให้แก่คุณปลัด  ดันถูกลูกน้องของแกทำเสียจนดูไม่ได้   กลีบกะหล่ำถูกดึงออกครึ่ง ๆ กลาง ๆ  ลูกก็เหมือนถูกบีบจนช้ำ  ยังไม่พอผมล้วงมือลงไปดูลูกล่าง ๆ  บางหัวมีรอยมีดเจาะปาดทางก้นไปอีก  อย่างนี้จะเอาไปให้ญาติของคุณปลัดกินได้อย่างไร  

       ด้วยจะยอมไม่ได้ให้คนกรุงเทพฯมาดูถูกกะหล่ำของดอยเรา   ผมเลยตัดสินใจให้น้านุกัวเสียสละสักหน่อย  โดยเอากะหล่ำที่จะเอาไปฝากน้าสับเปลี่ยนกับของคุณปลัดเสีย   ระหว่างที่ผมเอากะหล่ำออกจากกระเป๋าลงกล่อง  ก็พบว่าของอื่น ๆ ที่คุณปลัดบอกไว้ว่าจะใส่มาในกระเป๋าด้วย  เป็นเพียงจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่ด้านล่างสุด และถูกกะหล่ำทับจนเยิน  

       ผมต้องส่ายหน้าอีกครั้งกับความชุ่ยของลูกน้องคุณปลัด ต้องช่วยเปลี่ยนเอาจดหมายมาเก็บไว้ในย่ามของผมแทน  และเพื่อกันจดหมายยับจึงสอดไว้ในหนังสือศาลาคนเศร้าที่ผมติดมือมาอ่านระหว่างทาง กะว่าพอถึงท่ารถหมอชิต ตอนเอาเสื้อผ้ากับกระเป๋าของผมออก ค่อยเอาจดหมายวางไว้ข้างบนกะหล่ำแทน

       มีเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่เล็กน้อยคืออีตอนผมจัดของกินในย่าม  พบขวดยาพาราฯขวดใหญ่ขวดหนึ่งซุกอยู่ก้นย่าม   ไม่ยักรู้ว่าแม่จะเป็นห่วงผมขนาดนี้  ถึงขนาดจัดยาพารามาให้  คือพวกเรามักจะหัวแข็ง  ไม่ป่วยไข้ได้โดยง่าย  ถึงจะเป็นบ้างเล็กน้อยเพียงต้มยาผีบอกสักหม้อสองหม้อก็หาย  ยาพาราจึงค่อนข้างเป็นของหายากสำหรับบ้านเรา  เห็นแม่เป็นห่วงขนาดนี้  ผมเลยหยิบขวดยามาพกไว้กับตัว

       กว่าจะจัดของเป็นที่เรียบร้อยรถก็ใกล้ถึงท่ารถอำเภอแม่จัน  ผมผูกเชือกรัดกล่องกะหล่ำเสร็จ  ก็มีลุงคนหนึ่งแนะนำว่าบนกล่องน่าจะเขียนชื่อติดไว้  เพราะกล่องที่ผมใส่กะหล่ำมานั้นก็ไปหาซื้อมาจากร้านขายของชำในตลาดแถวบ้าน   เผื่อบนรถจะมีคนหิ้วกล่องคล้ายของผมก็คงจะไม่แปลก   ดีที่ในเก๊ะหน้ารถสองแถวของเรามีปากกาติดอยู่เสมอ เพียงต้องรอรถจอดก่อนถึงจะเอามาเขียนชื่อได้

       เมื่อรถถึงท่ารถแม่จันปรากฏว่ามีรถเที่ยวห้าโมงกำลังจะออกพอดี   เพราะมีเสียงคนเรียกผู้โดยสารอยู่โหวกเหวก   ผมรีบไปหน้ารถเอาปากกามาเขียนกล่อง  ขณะจรดปากกา พ่อผมซึ่งมายืนดูอยู่ก็ถามขึ้น

       “เขียนอะหยังไอ่เอิง...”  

       “เขียนชื่อเฮาไว้บนกล่อง  เผื่อคนจะหยิบผิดเอาไป ...”

       “เขียนชื่อคิง เขียนยะหยัง   ตุ๋ย !! ..มันจะไปได้เรื่องจะได พ่อว่าคิงเขียนชื่อปลัดสมศักดิ์ลงไปนั่นล่ะ รับรองบ่มีไผกล้ายุ่ง ถ้าจะหื้อดี ใส่คำว่าอำเภอแม่ฟ้าหลวงลงไปโตย ...”

       พ่อผมมักมีไอเดียดี ๆ แบบนี้เสมอ  ดูอย่างตอนดับเครื่องรถลงดอยเพื่อประหยัดน้ำมันนั่นปะไร  ผมฟังแล้วก็เห็นดีด้วยที่แกว่าถ้าเขียนชื่อผมลงไปคงไม่ได้เรื่อง  ถ้าลงชื่อคุณปลัดพร้อมระบุที่ทำการอำเภอแม่ฟ้าหลวง รับรองไม่มีใครกล้าหยิบหรือหายไปแน่ ๆ

       ผมเขียนชื่อเสร็จก็ได้ยินคนรถตะโกนบอกว่ารถจะออกแล้ว  จึงวิ่งไปถามว่าซื้อตั๋วตรงไหน  แต่คนรถกลับบอกให้ขึ้นไปก่อนแล้วไปจ่ายเงินบนรถก็ได้   วิธีนี้ผมคุ้นเคยดีอยู่เพราะใช้เป็นประจำอยู่แล้วตอนขึ้นรถเมล์เขียวจากปากทางแม่สะลองไปตัวอำเภอแม่จัน  เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าขึ้นรถทัวร์ก็ง่ายแบบนั้นเหมือนกัน

       คนรถบอกแล้วก็ดันผมขึ้นไปบนรถทันที  ตอนนี้บนไหล่ผมสะพายกระเป๋าของปลัด  กลางหลังก็สะพายย่ามแบบเป๊ะแม้วไว้ ขณะจะหันไปยกกล่อง  ก็ได้ยินคนรถบอกว่าให้พ่อช่วยยกกล่องไปเก็บไว้ในใต้ท้องรถ พร้อมบอกที่เก็บของจะเปิดก็ต่อเมื่อถึงหมอชิตรับรองไม่มีหาย

       ผมรีบด่วนขึ้นรถ ยังไม่ทันได้สังเกตรอบตัว ก็มีสาวชุดสีชมพูดึงแขนขึ้นบันไดไปยังที่นั่งว่างเกือบท้ายสุด ที่นั่งผมจะติดทางเดิน ตัวคู่กับผมด้านติดหน้าต่างเป็นป้าแก่ ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว  เห็นแกกำลังง่วนอยู่กับการคลี่ผ้าห่มผืนเล็กออกคลุมตัว    

       ขณะผมหย่อนก้นลงนั่งก็เห็นว่ามีผู้โดยสารสองคนกระหืดกระหอบวิ่งขึ้นรถมาเหมือนกัน  เดินมานั่งอยู่แถวหลังสุด ด้านหลังของผมที่เหลือว่างอยู่สองตัวพอดี    

       ...มีต่อ...





..
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่