...
วิกสังกะสีภูมิใจเสนอ ...
ความเดิมจากสองตอนที่แล้ว ..
1.
https://ppantip.com/topic/37896571
2.
https://ppantip.com/topic/37908535
..
..
รถสองแถวที่นั่งลงดอยมาคราวนี้ก็คือคันอีแก่ของบ้านผมนั่นเอง และคนขับก็คือพ่อผมที่จำเป็นต้องทำหน้าที่แทนระหว่างผมไปกรุงเทพฯ วันนี้อีแก่วิ่งลงดอยได้ช้ากว่าปกติ ส่วนหนึ่งเกิดจากเบรกเสื่อม ซึ่งพ่อแกว่าหลังจากส่งผู้โดยสารเสร็จแล้ว จะเอาไปเข้าอู่สักหน่อย อีกอย่างคือผู้โดยสารส่วนใหญ่จะเป็นเที่ยวสั้น สลับกันขึ้นลงโดยตลอด
ผมนั่งอยู่ว่างจนเบื่อ ก็เลยสำรวจของที่จะเอาไปกรุงเทพฯ อีกครั้ง ถึงแม้ก่อนออกจากบ้านจะตรวจทานเป็นอย่างดีแล้ว แต่มันก็ยังมีหลายอย่างให้คอยเป็นกังวลอยู่
เริ่มจากกระเป๋าเสื้อผ้าของผม มีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดและก็ของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย แต่ที่น่าห่วงคือเงินจำนวนหลายพันที่ซ่อนไว้ใต้กระเป๋า อันนี้เป็นเหมยบอกว่าที่กรุงเทพฯจะมีพวกแก๊งค์ล้วงกระเป๋า เราจึงควรจะแยกเงินออกเก็บไว้หลาย ๆ ที่ เผื่อเงินในตัวสูญหายไป ก็ยังมีสำรองอยู่ที่อื่นด้วย
กระเป๋าใบนี้เป็นของพ่อผมที่แกใช้เดินทางค้าขายกับทางฝั่งพม่าตั้งแต่ยังหนุ่ม แกเลยส่งต่อให้ผมใช้ด้วยความภูมิใจ ไอ้ผมก็ไม่อยากจะขัดศรัทธาก็เลยรับมา เป็นกระเป๋าผ้าใบที่ยังดูดีอยู่ แต่สายสะพายค่อนข้างชำรุดจะขาดแหล่ไม่ขาดแหล่ แม่ผมต้องเอาด้ายเย็บไว้ถึงพอใช้ได้ แต่อีตอนสะพายต้องคอยระวังอยู่บ้าง
อีกอันก็กล่องกระดาษใบใหญ่ที่ใส่กะหล่ำไปประมาณสิบลูก ตั้งใจเอาไปฝากให้น้าเมื่อเจอหน้ากัน เพราะแกไปอยู่กรุงเทพฯตั้งหลายเดือนคิดว่าแกคงคิดถึงและอยากกินกะหล่ำของที่บ้านเรามาก กล่องนี้ก็แค่ผูกเชือกฟางให้แน่นหนา ไม่น่ามีอะไรเป็นห่วง เพียงแต่อาจจะเกะกะกินที่ไปบ้าง
นอกจากนั้นผมยังมีย่ามใบเล็กที่เคยใช้สะพายไปโรงเรียนสมัยเด็ก ย่ามนี้ถือเป็นถุงเสบียงโดยเฉพาะ แม่ผมแกอัดข้าวเหนียวใส่ถุงพลาสติคมาให้ถุงเบ้อเริ่ม พร้อมของกินจำพวกน้ำพริกตาแดง ไข่ต้ม หมูปิ้ง แถมด้วยน้ำดื่มใส่กระติกใบเล็กยัดมาให้
ถึงอันสุดท้ายคือเป้ใส่กะหล่ำของคุณปลัด ชิ้นนี้กระเป๋าใบใหญ่แข็งแรงทนทาน แต่ผมต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ และที่น่าเป็นกังวลคือตอนนี้กลับเป็นว่าผมมีของที่จะต้องกระเตงขึ้นรถถึงสี่ชิ้นใหญ่ กลัวว่าบางชิ้นจะมีการลืมหรือหายได้ในระหว่างทาง
กำลังนั่งมองว่าจะจัดการอย่างไร ก็มีเสียงทักมาจากป้าชาวไทยใหญ่
“คิงจะไปอยู่กรุงเทพฯกี่วันนี่ หันเอาของไปปะเลอะปะเต๋อ ..” ป้าแกถามว่าจะไปกรุงเทพฯกี่วัน เห็นเอาของไปเยอะแยะ
“...ยังบ่ฮู้เตื่อ ของเฮาแต๊ ๆ ก็บ่มีอะหยัง ที่หันว่านักมันเป๋นของฝาก กำเดวก็เอาหื้อเปิ้นไปล่ะ .. “
ผมบอกยังไม่รู้ แล้วอธิบายต่อว่าของผมจริง ๆ ก็ไม่มีอะไร ที่เห็นว่าเยอะมันเป็นของฝาก ประเดี๋ยวก็ให้คนอื่นเขาไปล่ะ
“อันนี้ก็ห่อข้าว เอาไว้กิ๋นกลางตาง ..” ผมชูย่ามที่ใส่ห่อข้าวกินกลางทางให้ดู
พอลุงป้าน้าอาบนรถแกเห็นย่ามเสบียงในมือผมเท่านั้น ก็เฮโลเอามาสมทบให้ผมกันอีกยกใหญ่ ห้ามอย่างไรก็ไม่ได้ สุดท้ายได้ข้าวหลามสามกระบอก กล้วยปิ้งหลายลูก มันอีกเผาถุงใหญ่ เล่นเอาในย่ามของผมที่ตอนแรกยังดูหลวม ๆ กลายเป็นอัดของจนแน่น
กลายเป็นว่าของผมมากกว่าเดิม นั่งตรองอยู่ชั่วครู่ก็จำความได้ว่าสมัยเรียนหนังสือ หากเหมยเธอมีของที่ล้นจากกระเป๋านักเรียน เธอก็จะเอามายัดรวมกันในย่ามของผม นึกได้อย่างนี้แล้วผมก็ตัดสินใจว่าจากของสี่ชิ้น ผมน่าจะลดมันให้น้อยลงเผื่อจะได้หอบหิ้วและดูแลได้ง่ายกว่า
ทีแรกผมจะเอาพวกของกินในย่ามใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าของผม แต่ดูแล้วก็ไม่เข้าท่าเพราะพื้นที่กระเป๋ามันจุไม่พอ เพียงแค่ข้าวหลามกระบอกยาว ๆ ก็ไม่รู้จะยัดเข้าไปได้อย่างไร ส่วนกล่องกระดาษนั่น แค่กะหล่ำก็บรรจุแน่นจนเต็ม ไม่เหลือที่ให้ใส่อะไรอีก
คิดไปมาอยู่หลายตลบ ในที่สุดผมก็ตกลงใจว่าจะเอาเสื้อผ้าของผมออกจากกระเป๋าไปฝากไว้ในกระเป๋าของคุณปลัดน่าจะดีกว่า พร้อมกับม้วนเก็บกระเป๋าของผมใส่เข้าไปด้วย โดยที่เงินหลายพันกับของใช้ส่วนตัวยังคงอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิม
ตรองดูแล้วอย่างนี้น่าจะดีที่สุด เพราะของสำคัญคือกะหล่ำคุณปลัดกับเสื้อผ้าและเงินหลายพันของผมมารวมอยู่ในที่เดียวกัน ซึ่งคงทำให้ผมดูแลง่าย กล่องกะหล่ำผมก็หิ้วเอา ส่วนย่ามเสบียงผมก็จะใช้วิธีสะพายแบบคนเหนือเรียกว่า - เป๊อะแม้ว - คือเอาสายย่ามแผ่ออกกว้างเท่าฝ่ามือแล้วพาดรั้งไว้กับหน้าผาก ตัวย่ามก็หมุนไปเทินไว้กลางหลัง วิธีแบกย่ามอย่างนี้จะใช้ศีรษะเป็นตัวรับน้ำหนัก เวลาเดินก็ก้มหัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เดินงุด ๆ ไป ข้ามเขาได้เป็นสิบ ๆ ลูก
แต่ถ้าเป็นถุงใบใหญ่บรรจุของเยอะ ๆ ต้องคอแข็งหน่อยนะ ของแบบนี้อยู่ที่การฝึกฝน มีบ้างเหมือนกันระหว่างช่วงฝึกหัดใหม่ ๆ ผมกำลังเดินขึ้นดอยแล้วเผลอเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏว่าน้ำหนักของถุงกระชากคอจนหงายเก๋ง ตีลังกาตกดอย
พอสรุปได้ว่าจะจัดของอย่างไร ผมก็เปิดกระเป๋าของคุณปลัด กะว่าแค่เอาเสื้อผ้ากับกระเป๋าของผมวางโปะไว้ข้างบนเท่านั้นพอ แต่พอเปิดออกเห็นของในกระเป๋าเท่านั้นก็เล่นเอาผมถึงกับตลึง
พุทโธ่เอ๋ย !! กะหล่ำสวย ๆ ของที่บ้าน ผมอุตส่าห์คัดให้เป็นอย่างดีมอบให้แก่คุณปลัด ดันถูกลูกน้องของแกทำเสียจนดูไม่ได้ กลีบกะหล่ำถูกดึงออกครึ่ง ๆ กลาง ๆ ลูกก็เหมือนถูกบีบจนช้ำ ยังไม่พอผมล้วงมือลงไปดูลูกล่าง ๆ บางหัวมีรอยมีดเจาะปาดทางก้นไปอีก อย่างนี้จะเอาไปให้ญาติของคุณปลัดกินได้อย่างไร
ด้วยจะยอมไม่ได้ให้คนกรุงเทพฯมาดูถูกกะหล่ำของดอยเรา ผมเลยตัดสินใจให้น้านุกัวเสียสละสักหน่อย โดยเอากะหล่ำที่จะเอาไปฝากน้าสับเปลี่ยนกับของคุณปลัดเสีย ระหว่างที่ผมเอากะหล่ำออกจากกระเป๋าลงกล่อง ก็พบว่าของอื่น ๆ ที่คุณปลัดบอกไว้ว่าจะใส่มาในกระเป๋าด้วย เป็นเพียงจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่ด้านล่างสุด และถูกกะหล่ำทับจนเยิน
ผมต้องส่ายหน้าอีกครั้งกับความชุ่ยของลูกน้องคุณปลัด ต้องช่วยเปลี่ยนเอาจดหมายมาเก็บไว้ในย่ามของผมแทน และเพื่อกันจดหมายยับจึงสอดไว้ในหนังสือศาลาคนเศร้าที่ผมติดมือมาอ่านระหว่างทาง กะว่าพอถึงท่ารถหมอชิต ตอนเอาเสื้อผ้ากับกระเป๋าของผมออก ค่อยเอาจดหมายวางไว้ข้างบนกะหล่ำแทน
มีเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่เล็กน้อยคืออีตอนผมจัดของกินในย่าม พบขวดยาพาราฯขวดใหญ่ขวดหนึ่งซุกอยู่ก้นย่าม ไม่ยักรู้ว่าแม่จะเป็นห่วงผมขนาดนี้ ถึงขนาดจัดยาพารามาให้ คือพวกเรามักจะหัวแข็ง ไม่ป่วยไข้ได้โดยง่าย ถึงจะเป็นบ้างเล็กน้อยเพียงต้มยาผีบอกสักหม้อสองหม้อก็หาย ยาพาราจึงค่อนข้างเป็นของหายากสำหรับบ้านเรา เห็นแม่เป็นห่วงขนาดนี้ ผมเลยหยิบขวดยามาพกไว้กับตัว
กว่าจะจัดของเป็นที่เรียบร้อยรถก็ใกล้ถึงท่ารถอำเภอแม่จัน ผมผูกเชือกรัดกล่องกะหล่ำเสร็จ ก็มีลุงคนหนึ่งแนะนำว่าบนกล่องน่าจะเขียนชื่อติดไว้ เพราะกล่องที่ผมใส่กะหล่ำมานั้นก็ไปหาซื้อมาจากร้านขายของชำในตลาดแถวบ้าน เผื่อบนรถจะมีคนหิ้วกล่องคล้ายของผมก็คงจะไม่แปลก ดีที่ในเก๊ะหน้ารถสองแถวของเรามีปากกาติดอยู่เสมอ เพียงต้องรอรถจอดก่อนถึงจะเอามาเขียนชื่อได้
เมื่อรถถึงท่ารถแม่จันปรากฏว่ามีรถเที่ยวห้าโมงกำลังจะออกพอดี เพราะมีเสียงคนเรียกผู้โดยสารอยู่โหวกเหวก ผมรีบไปหน้ารถเอาปากกามาเขียนกล่อง ขณะจรดปากกา พ่อผมซึ่งมายืนดูอยู่ก็ถามขึ้น
“เขียนอะหยังไอ่เอิง...”
“เขียนชื่อเฮาไว้บนกล่อง เผื่อคนจะหยิบผิดเอาไป ...”
“เขียนชื่อคิง เขียนยะหยัง ตุ๋ย !! ..มันจะไปได้เรื่องจะได พ่อว่าคิงเขียนชื่อปลัดสมศักดิ์ลงไปนั่นล่ะ รับรองบ่มีไผกล้ายุ่ง ถ้าจะหื้อดี ใส่คำว่าอำเภอแม่ฟ้าหลวงลงไปโตย ...”
พ่อผมมักมีไอเดียดี ๆ แบบนี้เสมอ ดูอย่างตอนดับเครื่องรถลงดอยเพื่อประหยัดน้ำมันนั่นปะไร ผมฟังแล้วก็เห็นดีด้วยที่แกว่าถ้าเขียนชื่อผมลงไปคงไม่ได้เรื่อง ถ้าลงชื่อคุณปลัดพร้อมระบุที่ทำการอำเภอแม่ฟ้าหลวง รับรองไม่มีใครกล้าหยิบหรือหายไปแน่ ๆ
ผมเขียนชื่อเสร็จก็ได้ยินคนรถตะโกนบอกว่ารถจะออกแล้ว จึงวิ่งไปถามว่าซื้อตั๋วตรงไหน แต่คนรถกลับบอกให้ขึ้นไปก่อนแล้วไปจ่ายเงินบนรถก็ได้ วิธีนี้ผมคุ้นเคยดีอยู่เพราะใช้เป็นประจำอยู่แล้วตอนขึ้นรถเมล์เขียวจากปากทางแม่สะลองไปตัวอำเภอแม่จัน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าขึ้นรถทัวร์ก็ง่ายแบบนั้นเหมือนกัน
คนรถบอกแล้วก็ดันผมขึ้นไปบนรถทันที ตอนนี้บนไหล่ผมสะพายกระเป๋าของปลัด กลางหลังก็สะพายย่ามแบบเป๊ะแม้วไว้ ขณะจะหันไปยกกล่อง ก็ได้ยินคนรถบอกว่าให้พ่อช่วยยกกล่องไปเก็บไว้ในใต้ท้องรถ พร้อมบอกที่เก็บของจะเปิดก็ต่อเมื่อถึงหมอชิตรับรองไม่มีหาย
ผมรีบด่วนขึ้นรถ ยังไม่ทันได้สังเกตรอบตัว ก็มีสาวชุดสีชมพูดึงแขนขึ้นบันไดไปยังที่นั่งว่างเกือบท้ายสุด ที่นั่งผมจะติดทางเดิน ตัวคู่กับผมด้านติดหน้าต่างเป็นป้าแก่ ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว เห็นแกกำลังง่วนอยู่กับการคลี่ผ้าห่มผืนเล็กออกคลุมตัว
ขณะผมหย่อนก้นลงนั่งก็เห็นว่ามีผู้โดยสารสองคนกระหืดกระหอบวิ่งขึ้นรถมาเหมือนกัน เดินมานั่งอยู่แถวหลังสุด ด้านหลังของผมที่เหลือว่างอยู่สองตัวพอดี
...มีต่อ...
..
สุดยอดละครอภิอมตะมหานิรันดร์กาล (แปลว่าอะไรนิ..) @@@ ล่ากะหล่ำสุดขอบฟ้า ตอน 3 @@@
วิกสังกะสีภูมิใจเสนอ ...
ความเดิมจากสองตอนที่แล้ว ..
1. https://ppantip.com/topic/37896571
2. https://ppantip.com/topic/37908535
..
..
รถสองแถวที่นั่งลงดอยมาคราวนี้ก็คือคันอีแก่ของบ้านผมนั่นเอง และคนขับก็คือพ่อผมที่จำเป็นต้องทำหน้าที่แทนระหว่างผมไปกรุงเทพฯ วันนี้อีแก่วิ่งลงดอยได้ช้ากว่าปกติ ส่วนหนึ่งเกิดจากเบรกเสื่อม ซึ่งพ่อแกว่าหลังจากส่งผู้โดยสารเสร็จแล้ว จะเอาไปเข้าอู่สักหน่อย อีกอย่างคือผู้โดยสารส่วนใหญ่จะเป็นเที่ยวสั้น สลับกันขึ้นลงโดยตลอด
ผมนั่งอยู่ว่างจนเบื่อ ก็เลยสำรวจของที่จะเอาไปกรุงเทพฯ อีกครั้ง ถึงแม้ก่อนออกจากบ้านจะตรวจทานเป็นอย่างดีแล้ว แต่มันก็ยังมีหลายอย่างให้คอยเป็นกังวลอยู่
เริ่มจากกระเป๋าเสื้อผ้าของผม มีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดและก็ของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย แต่ที่น่าห่วงคือเงินจำนวนหลายพันที่ซ่อนไว้ใต้กระเป๋า อันนี้เป็นเหมยบอกว่าที่กรุงเทพฯจะมีพวกแก๊งค์ล้วงกระเป๋า เราจึงควรจะแยกเงินออกเก็บไว้หลาย ๆ ที่ เผื่อเงินในตัวสูญหายไป ก็ยังมีสำรองอยู่ที่อื่นด้วย
กระเป๋าใบนี้เป็นของพ่อผมที่แกใช้เดินทางค้าขายกับทางฝั่งพม่าตั้งแต่ยังหนุ่ม แกเลยส่งต่อให้ผมใช้ด้วยความภูมิใจ ไอ้ผมก็ไม่อยากจะขัดศรัทธาก็เลยรับมา เป็นกระเป๋าผ้าใบที่ยังดูดีอยู่ แต่สายสะพายค่อนข้างชำรุดจะขาดแหล่ไม่ขาดแหล่ แม่ผมต้องเอาด้ายเย็บไว้ถึงพอใช้ได้ แต่อีตอนสะพายต้องคอยระวังอยู่บ้าง
อีกอันก็กล่องกระดาษใบใหญ่ที่ใส่กะหล่ำไปประมาณสิบลูก ตั้งใจเอาไปฝากให้น้าเมื่อเจอหน้ากัน เพราะแกไปอยู่กรุงเทพฯตั้งหลายเดือนคิดว่าแกคงคิดถึงและอยากกินกะหล่ำของที่บ้านเรามาก กล่องนี้ก็แค่ผูกเชือกฟางให้แน่นหนา ไม่น่ามีอะไรเป็นห่วง เพียงแต่อาจจะเกะกะกินที่ไปบ้าง
นอกจากนั้นผมยังมีย่ามใบเล็กที่เคยใช้สะพายไปโรงเรียนสมัยเด็ก ย่ามนี้ถือเป็นถุงเสบียงโดยเฉพาะ แม่ผมแกอัดข้าวเหนียวใส่ถุงพลาสติคมาให้ถุงเบ้อเริ่ม พร้อมของกินจำพวกน้ำพริกตาแดง ไข่ต้ม หมูปิ้ง แถมด้วยน้ำดื่มใส่กระติกใบเล็กยัดมาให้
ถึงอันสุดท้ายคือเป้ใส่กะหล่ำของคุณปลัด ชิ้นนี้กระเป๋าใบใหญ่แข็งแรงทนทาน แต่ผมต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ และที่น่าเป็นกังวลคือตอนนี้กลับเป็นว่าผมมีของที่จะต้องกระเตงขึ้นรถถึงสี่ชิ้นใหญ่ กลัวว่าบางชิ้นจะมีการลืมหรือหายได้ในระหว่างทาง
กำลังนั่งมองว่าจะจัดการอย่างไร ก็มีเสียงทักมาจากป้าชาวไทยใหญ่
“คิงจะไปอยู่กรุงเทพฯกี่วันนี่ หันเอาของไปปะเลอะปะเต๋อ ..” ป้าแกถามว่าจะไปกรุงเทพฯกี่วัน เห็นเอาของไปเยอะแยะ
“...ยังบ่ฮู้เตื่อ ของเฮาแต๊ ๆ ก็บ่มีอะหยัง ที่หันว่านักมันเป๋นของฝาก กำเดวก็เอาหื้อเปิ้นไปล่ะ .. “
ผมบอกยังไม่รู้ แล้วอธิบายต่อว่าของผมจริง ๆ ก็ไม่มีอะไร ที่เห็นว่าเยอะมันเป็นของฝาก ประเดี๋ยวก็ให้คนอื่นเขาไปล่ะ
“อันนี้ก็ห่อข้าว เอาไว้กิ๋นกลางตาง ..” ผมชูย่ามที่ใส่ห่อข้าวกินกลางทางให้ดู
พอลุงป้าน้าอาบนรถแกเห็นย่ามเสบียงในมือผมเท่านั้น ก็เฮโลเอามาสมทบให้ผมกันอีกยกใหญ่ ห้ามอย่างไรก็ไม่ได้ สุดท้ายได้ข้าวหลามสามกระบอก กล้วยปิ้งหลายลูก มันอีกเผาถุงใหญ่ เล่นเอาในย่ามของผมที่ตอนแรกยังดูหลวม ๆ กลายเป็นอัดของจนแน่น
กลายเป็นว่าของผมมากกว่าเดิม นั่งตรองอยู่ชั่วครู่ก็จำความได้ว่าสมัยเรียนหนังสือ หากเหมยเธอมีของที่ล้นจากกระเป๋านักเรียน เธอก็จะเอามายัดรวมกันในย่ามของผม นึกได้อย่างนี้แล้วผมก็ตัดสินใจว่าจากของสี่ชิ้น ผมน่าจะลดมันให้น้อยลงเผื่อจะได้หอบหิ้วและดูแลได้ง่ายกว่า
ทีแรกผมจะเอาพวกของกินในย่ามใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าของผม แต่ดูแล้วก็ไม่เข้าท่าเพราะพื้นที่กระเป๋ามันจุไม่พอ เพียงแค่ข้าวหลามกระบอกยาว ๆ ก็ไม่รู้จะยัดเข้าไปได้อย่างไร ส่วนกล่องกระดาษนั่น แค่กะหล่ำก็บรรจุแน่นจนเต็ม ไม่เหลือที่ให้ใส่อะไรอีก
คิดไปมาอยู่หลายตลบ ในที่สุดผมก็ตกลงใจว่าจะเอาเสื้อผ้าของผมออกจากกระเป๋าไปฝากไว้ในกระเป๋าของคุณปลัดน่าจะดีกว่า พร้อมกับม้วนเก็บกระเป๋าของผมใส่เข้าไปด้วย โดยที่เงินหลายพันกับของใช้ส่วนตัวยังคงอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิม
ตรองดูแล้วอย่างนี้น่าจะดีที่สุด เพราะของสำคัญคือกะหล่ำคุณปลัดกับเสื้อผ้าและเงินหลายพันของผมมารวมอยู่ในที่เดียวกัน ซึ่งคงทำให้ผมดูแลง่าย กล่องกะหล่ำผมก็หิ้วเอา ส่วนย่ามเสบียงผมก็จะใช้วิธีสะพายแบบคนเหนือเรียกว่า - เป๊อะแม้ว - คือเอาสายย่ามแผ่ออกกว้างเท่าฝ่ามือแล้วพาดรั้งไว้กับหน้าผาก ตัวย่ามก็หมุนไปเทินไว้กลางหลัง วิธีแบกย่ามอย่างนี้จะใช้ศีรษะเป็นตัวรับน้ำหนัก เวลาเดินก็ก้มหัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เดินงุด ๆ ไป ข้ามเขาได้เป็นสิบ ๆ ลูก
แต่ถ้าเป็นถุงใบใหญ่บรรจุของเยอะ ๆ ต้องคอแข็งหน่อยนะ ของแบบนี้อยู่ที่การฝึกฝน มีบ้างเหมือนกันระหว่างช่วงฝึกหัดใหม่ ๆ ผมกำลังเดินขึ้นดอยแล้วเผลอเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏว่าน้ำหนักของถุงกระชากคอจนหงายเก๋ง ตีลังกาตกดอย
พอสรุปได้ว่าจะจัดของอย่างไร ผมก็เปิดกระเป๋าของคุณปลัด กะว่าแค่เอาเสื้อผ้ากับกระเป๋าของผมวางโปะไว้ข้างบนเท่านั้นพอ แต่พอเปิดออกเห็นของในกระเป๋าเท่านั้นก็เล่นเอาผมถึงกับตลึง
พุทโธ่เอ๋ย !! กะหล่ำสวย ๆ ของที่บ้าน ผมอุตส่าห์คัดให้เป็นอย่างดีมอบให้แก่คุณปลัด ดันถูกลูกน้องของแกทำเสียจนดูไม่ได้ กลีบกะหล่ำถูกดึงออกครึ่ง ๆ กลาง ๆ ลูกก็เหมือนถูกบีบจนช้ำ ยังไม่พอผมล้วงมือลงไปดูลูกล่าง ๆ บางหัวมีรอยมีดเจาะปาดทางก้นไปอีก อย่างนี้จะเอาไปให้ญาติของคุณปลัดกินได้อย่างไร
ด้วยจะยอมไม่ได้ให้คนกรุงเทพฯมาดูถูกกะหล่ำของดอยเรา ผมเลยตัดสินใจให้น้านุกัวเสียสละสักหน่อย โดยเอากะหล่ำที่จะเอาไปฝากน้าสับเปลี่ยนกับของคุณปลัดเสีย ระหว่างที่ผมเอากะหล่ำออกจากกระเป๋าลงกล่อง ก็พบว่าของอื่น ๆ ที่คุณปลัดบอกไว้ว่าจะใส่มาในกระเป๋าด้วย เป็นเพียงจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่ด้านล่างสุด และถูกกะหล่ำทับจนเยิน
ผมต้องส่ายหน้าอีกครั้งกับความชุ่ยของลูกน้องคุณปลัด ต้องช่วยเปลี่ยนเอาจดหมายมาเก็บไว้ในย่ามของผมแทน และเพื่อกันจดหมายยับจึงสอดไว้ในหนังสือศาลาคนเศร้าที่ผมติดมือมาอ่านระหว่างทาง กะว่าพอถึงท่ารถหมอชิต ตอนเอาเสื้อผ้ากับกระเป๋าของผมออก ค่อยเอาจดหมายวางไว้ข้างบนกะหล่ำแทน
มีเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่เล็กน้อยคืออีตอนผมจัดของกินในย่าม พบขวดยาพาราฯขวดใหญ่ขวดหนึ่งซุกอยู่ก้นย่าม ไม่ยักรู้ว่าแม่จะเป็นห่วงผมขนาดนี้ ถึงขนาดจัดยาพารามาให้ คือพวกเรามักจะหัวแข็ง ไม่ป่วยไข้ได้โดยง่าย ถึงจะเป็นบ้างเล็กน้อยเพียงต้มยาผีบอกสักหม้อสองหม้อก็หาย ยาพาราจึงค่อนข้างเป็นของหายากสำหรับบ้านเรา เห็นแม่เป็นห่วงขนาดนี้ ผมเลยหยิบขวดยามาพกไว้กับตัว
กว่าจะจัดของเป็นที่เรียบร้อยรถก็ใกล้ถึงท่ารถอำเภอแม่จัน ผมผูกเชือกรัดกล่องกะหล่ำเสร็จ ก็มีลุงคนหนึ่งแนะนำว่าบนกล่องน่าจะเขียนชื่อติดไว้ เพราะกล่องที่ผมใส่กะหล่ำมานั้นก็ไปหาซื้อมาจากร้านขายของชำในตลาดแถวบ้าน เผื่อบนรถจะมีคนหิ้วกล่องคล้ายของผมก็คงจะไม่แปลก ดีที่ในเก๊ะหน้ารถสองแถวของเรามีปากกาติดอยู่เสมอ เพียงต้องรอรถจอดก่อนถึงจะเอามาเขียนชื่อได้
เมื่อรถถึงท่ารถแม่จันปรากฏว่ามีรถเที่ยวห้าโมงกำลังจะออกพอดี เพราะมีเสียงคนเรียกผู้โดยสารอยู่โหวกเหวก ผมรีบไปหน้ารถเอาปากกามาเขียนกล่อง ขณะจรดปากกา พ่อผมซึ่งมายืนดูอยู่ก็ถามขึ้น
“เขียนอะหยังไอ่เอิง...”
“เขียนชื่อเฮาไว้บนกล่อง เผื่อคนจะหยิบผิดเอาไป ...”
“เขียนชื่อคิง เขียนยะหยัง ตุ๋ย !! ..มันจะไปได้เรื่องจะได พ่อว่าคิงเขียนชื่อปลัดสมศักดิ์ลงไปนั่นล่ะ รับรองบ่มีไผกล้ายุ่ง ถ้าจะหื้อดี ใส่คำว่าอำเภอแม่ฟ้าหลวงลงไปโตย ...”
พ่อผมมักมีไอเดียดี ๆ แบบนี้เสมอ ดูอย่างตอนดับเครื่องรถลงดอยเพื่อประหยัดน้ำมันนั่นปะไร ผมฟังแล้วก็เห็นดีด้วยที่แกว่าถ้าเขียนชื่อผมลงไปคงไม่ได้เรื่อง ถ้าลงชื่อคุณปลัดพร้อมระบุที่ทำการอำเภอแม่ฟ้าหลวง รับรองไม่มีใครกล้าหยิบหรือหายไปแน่ ๆ
ผมเขียนชื่อเสร็จก็ได้ยินคนรถตะโกนบอกว่ารถจะออกแล้ว จึงวิ่งไปถามว่าซื้อตั๋วตรงไหน แต่คนรถกลับบอกให้ขึ้นไปก่อนแล้วไปจ่ายเงินบนรถก็ได้ วิธีนี้ผมคุ้นเคยดีอยู่เพราะใช้เป็นประจำอยู่แล้วตอนขึ้นรถเมล์เขียวจากปากทางแม่สะลองไปตัวอำเภอแม่จัน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าขึ้นรถทัวร์ก็ง่ายแบบนั้นเหมือนกัน
คนรถบอกแล้วก็ดันผมขึ้นไปบนรถทันที ตอนนี้บนไหล่ผมสะพายกระเป๋าของปลัด กลางหลังก็สะพายย่ามแบบเป๊ะแม้วไว้ ขณะจะหันไปยกกล่อง ก็ได้ยินคนรถบอกว่าให้พ่อช่วยยกกล่องไปเก็บไว้ในใต้ท้องรถ พร้อมบอกที่เก็บของจะเปิดก็ต่อเมื่อถึงหมอชิตรับรองไม่มีหาย
ผมรีบด่วนขึ้นรถ ยังไม่ทันได้สังเกตรอบตัว ก็มีสาวชุดสีชมพูดึงแขนขึ้นบันไดไปยังที่นั่งว่างเกือบท้ายสุด ที่นั่งผมจะติดทางเดิน ตัวคู่กับผมด้านติดหน้าต่างเป็นป้าแก่ ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว เห็นแกกำลังง่วนอยู่กับการคลี่ผ้าห่มผืนเล็กออกคลุมตัว
ขณะผมหย่อนก้นลงนั่งก็เห็นว่ามีผู้โดยสารสองคนกระหืดกระหอบวิ่งขึ้นรถมาเหมือนกัน เดินมานั่งอยู่แถวหลังสุด ด้านหลังของผมที่เหลือว่างอยู่สองตัวพอดี
...มีต่อ...
..