[หนังโรงเรื่องที่ 236] App War : ขาดนิด เกินหน่อย แต่ก็ยอดเยี่ยม
คะแนนความชอบ : A+ (จากสเกล D-A)
(ยรรยง คุรุอังกูร, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีมีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: "บอมบ์" โปรแกรมเมอร์หนุ่มฝีมือดีได้ไปพบกับหญิงสาวอารมณ์สดใสที่ชอบอะไรคล้ายๆ กับเขาอย่าง "จูน" ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะสร้างแอปพลิเคชันที่จะนำพาคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กันมารวมตัวกันได้
... โปรเจกต์นี้เหมือนจะรุ่งไปได้สวยจนกระทั่งมีแอปฯ คู่แข่งที่มีฟังก์ชันแทบจะเหมือนกับแอปฯ ของบอมบ์มาแย่งลูกค้าไปอย่างหนัก ยิ่งไปกว่านั้นบอมบ์ก็ดันมาพบอีกว่าผู้เขียนแอปคู่แข่งก็คือจูนนั่นเอง!
สงครามชิงไหวชิงพริบจึงเกิดขึ้น มีการส่งสายลับไปสอดแนมล้วงความลับของอีกฝ่าย มีการหักหลัง หลอกลวง และผิดใจกัน ทั้งหมดก็เพื่อคำว่า "ชัยชนะ" และเงินทุนมหาศาลที่มีเพียงผู้ชนะการประลองครั้งนี้เท่านั้นที่จะได้ไป
.
.
📖 การดำเนินเรื่อง 📖
บอกเลยว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ก็คือ "การเล่าเรื่อง" ที่ดุเด็ดเผ็ดมันส์นี่แหละ หนังตั้งใจหยิบเอาโมเม้นต์เข้มๆ ตึงเครียด กดดันของการเป็น startup เข้ามาบีบคั้นอารมณ์ของคนดูอย่างเรา โดยมีความสัมพันธ์ระหว่างพระเอก-นางเอกเป็นเครื่องมือเชื่อมเนื้อเรื่องเข้าด้วยกัน
ซึ่งส่วนที่เจ๋งก็คือในหลายๆ สถานการณ์ (scenario) มันก็ดู real มากเพราะมันก็เป็นเรื่องที่เราเจอกันในชีวิตประจำวันนี่แหละ แต่อาจจะปรุงแต่งเพิ่มรสชาติเข้าไปเล็กน้อยให้มันมีความเป็นหนังมากขึ้น
ใจความสำคัญหนึ่งของหนังที่ผู้เขียนชอบที่สุดก็คือ "โมเม้นต์ของการทำงานกับเพื่อน" ที่ทำให้เราเห็นว่าแค่เราลืมเคารพความเห็นของกันและกัน ละเลยความสำคัญของเพื่อนคนใดคนหนึ่งไป หรือที่แย่ที่สุดคือเราไม่จริงใจ ไม่พูดเปิดอกใส่กัน มันก็ทำให้เกิดความบรรลัยให้กับทุกคนได้ขนาดนี้แล้ว
ส่วนที่ผู้เขียนไม่ชอบก็คือการดำเนินเรื่องในบางจุดที่ไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไร ขอยกตัวอย่างเป็นฉากขับรถไล่ล่าคอมพิวเตอร์ที่ดันไปติดไฟแดงแถวย่านตัวเมืองนานมาก แต่ตัวละครที่ไล่ล่ากันมาก็ยังนั่งรออยู่บนรถแท็กซี่สบายใจเฉิบ ทั้งที่ในความเป็นจริงมันควรจะลงรถมาทุบกระจกกดดันแล้ว มันไม่มีเซนส์ของความด่วนเลย นั่นทำคอมพิวเตอร์หายนะคุณ ไม่ใช่ดินสอกด แสดงอาการร้อนรนหน่อยก็ได้
นี่ยังมีอีกหลายฉากที่อยากพูดถึงแต่ก็กลัวจะสปอยล์เรื่องโดยไม่รู้ตัว ขอแปะไว้ก่อนแล้วกัน แต่พูดไว้ตรงนี้เลยว่ามีหลายจุดมากๆ ทื่เหมือนผกก.จะมันส์มือไปหน่อยจนลืมเบรกตัวเองไป แต่ด้วยภาพรวมที่มันดีมากๆ ก็เลยช่วยกันกลบจุดนั้นไปด้วย
.
.
📖 ความบันเทิง 📖
ถ้าว่ากันตามตรงก็ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้ "มันไม่ตลกขนาดนั้น" ไม่ใช่ว่าเพราะหนังมันแป้กนะ แต่เพราะหนังมันซีเรียสกับแก่นของตัวเองมากๆ จนทำให้เรื่องเล่นมุกแทบจะหลุดจากสารบบไปเลย กลายเป็นว่า "ความฮา" มันเป็นของแถมเป็นบางวาระบางโอกาสแทน (ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นซีนของพี่หนึ่งในเสือร้องไห้คนนั้นน่ะ จำชื่อไม่ได้)
แต่ถึงความฮาจะไม่มาก แต่ความเดือดดาลของการเฉือนคมก็เข้ามาชดเชยกันได้ดีอยู่ ถึงแม้มันอาจจะไม่เฉียบหรือล้ำระดับ "ฉลาดเกมส์โกง" แต่ก็ถือว่าเจ๋งแล้วกับหนังที่กล้าหยิบเรื่องใหม่มาขยี้ได้มากขนาดนี้
หนังอาจจะเค้นความระทึกออกมาได้ดีกว่านี้ถ้าตัดหลายๆ ฉากที่ยืดยาวอย่างไม่จำเป็นออกไป ลดฉากเหม่อความรักของพระเอกบ้างก็ได้ ลดฉากของตัวละครเสริมบ้างก็ดี ตบนิดแต่งหน่อยให้มันกระชับมากขี้น เพราะขณะที่ดูรู้สึกเลยว่ามันมีช่วงที่ชวนง่วงจริงๆ มันกลายเป็นว่าหนังมันรักษาระดับของตัวเองให้สม่ำเสมอไม่ได้ เหมือนปล่อยพลังออกมาเป็นระลอกๆ มากกว่าทำให้อารมณ์ขาดตอนไปสมควร
.
.
📖 ความพิเศษ 📖
ตัวละครที่ผู้เขียนชอบที่สุดก็คือ "ไต๋" นักออกแบบหน้าตาแอปสุดเนิร์ดที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียงในกลุ่มเพื่อนเท่าไร เป็นคนประเภทที่เพื่อนว่าไงฉันก็เอาด้วย -- ไต๋เป็นตัวละครที่มีปมน่าสนใจที่สุด เป็นยอดฝีมือที่ประสบปัญหา "ไม่มีคนเห็นคุณค่างาน" (underappreciated) ทั้งที่งานของเขามันก็ระดับมือดีไม่แพ้ใครเหมือนกัน
ทีนี้พอเขาไปอยู่ในจุดที่มีคนชื่นชมงานเขาแบบนั้น มีคนเห็นคุณค่าของผลงานจริงๆ แล้วเขาจะห้ามใจไม่ให้แปรพักต์ได้หรือ? แล้วยิ่งพ่วงด้วยการแสดงออกที่ดูเนิร์ดแบบสมจริงสุดๆ แบบนั้นยิ่งทำให้ผมชอบตัวละครนี้เข้าไปอีก และรู้สึกว่า "คนนี้แหละเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว"
ไฮไลต์อีกอย่างที่ยากจะปฏิเสธได้ก็คือตัวละคร "น้องมายด์" หรือว่า "อรอุ๋ง" ที่หนังใช้โอกาสดีให้น้องเข้ามาเล่นบทนำ ซึ่งผมก็ต้องยอมรับเลยว่าน้องเขาเล่นดีกว่าที่คาดไว้เยอะมาก (เพราะคาดหวังไว้น้อย) จังหวะเรียบๆ ของตัวละครนี้ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีเป็นธรรมชาติ
แต่พอถึงซีนอารมณ์จริงๆ น้องดันเกินอาการ "ไม่ล้นก็ขาด" ขึ้นมาซะงั้น มันเป็น mixed feeling ขึ้นๆลงๆ ตลอดช่วงเวลาหนัง แล้วยิ่งตัวหนังเองก็พยายามดันตัวละครนี้ให้เด่นซะเหลือเกิน (เผลอๆ screentime เยอะกว่าตัวเอกอีกมั้ง) มันก็อาจจะดู "เยอะ" เกินไปหน่อย
อันนี้ก็น่าสนใจ หนังยังนำเสนอ "การละเมิด" อะไรหลายๆ อย่างที่ล้วนเป็นเรื่องจริงในสังคมเรามาช้านานแล้วด้วย -- อย่างเช่นการ abuse นักศึกษาฝึกงานให้ไปทำอะไรที่มันเกินตัวหรือไม่สมควร โอเค มันอาจจะไม่เลยเถิดเหมือนกับในหนังหรอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีหลายๆ องค์กรที่ใช้งานเด็กฝึกงานได้ไม่แฟร์มากๆ ถ้าคลาสสิคหน่อยก็คือจ้างไปชงกาแฟกับถ่ายเอกสารนั่นแหละ
.
.
สรุป! App War: แอปชนแอป เป็นหนังสายเลือดใหม่ที่กล้าหยิบจับเรื่องร่วมสมัยอย่างการพัฒนาแอปพลิเคชันเข้ามาเล่าเรื่องได้อย่างไหลลื่นและเป็นระบบ จังหวะระทึกและลุ้นกดดันก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี
ติดขัดในเรื่องของการแสดงและความสมเหตุผลในบางจุดบ้าง แต่โดยรวมแล้วผมคิดว่าหนังเรื่องนี้คุ้มค่าครับ มีศักยภาพมากๆ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคอหนังไทยในสัปดาห์นี้
ป.ล.ก็ยังเป็นอีกเรื่องที่ระบบเสียงของหนังค่ายนี้ไม่ค่อยดีครับ น่าหงุดหงิดใจพอสมควร ลองไปดูในโรงนะ แล้วจะเข้าใจว่าผู้เขียนพูดถึงช่วงไหน
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ:
https://www.facebook.com/expensivemovie/
[หนังโรงเรื่องที่ 236] App War : ขาดนิด เกินหน่อย แต่ก็ยอดเยี่ยม by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 236] App War : ขาดนิด เกินหน่อย แต่ก็ยอดเยี่ยม
คะแนนความชอบ : A+ (จากสเกล D-A)
(ยรรยง คุรุอังกูร, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีมีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: "บอมบ์" โปรแกรมเมอร์หนุ่มฝีมือดีได้ไปพบกับหญิงสาวอารมณ์สดใสที่ชอบอะไรคล้ายๆ กับเขาอย่าง "จูน" ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะสร้างแอปพลิเคชันที่จะนำพาคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กันมารวมตัวกันได้
... โปรเจกต์นี้เหมือนจะรุ่งไปได้สวยจนกระทั่งมีแอปฯ คู่แข่งที่มีฟังก์ชันแทบจะเหมือนกับแอปฯ ของบอมบ์มาแย่งลูกค้าไปอย่างหนัก ยิ่งไปกว่านั้นบอมบ์ก็ดันมาพบอีกว่าผู้เขียนแอปคู่แข่งก็คือจูนนั่นเอง!
สงครามชิงไหวชิงพริบจึงเกิดขึ้น มีการส่งสายลับไปสอดแนมล้วงความลับของอีกฝ่าย มีการหักหลัง หลอกลวง และผิดใจกัน ทั้งหมดก็เพื่อคำว่า "ชัยชนะ" และเงินทุนมหาศาลที่มีเพียงผู้ชนะการประลองครั้งนี้เท่านั้นที่จะได้ไป
.
📖 การดำเนินเรื่อง 📖
บอกเลยว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ก็คือ "การเล่าเรื่อง" ที่ดุเด็ดเผ็ดมันส์นี่แหละ หนังตั้งใจหยิบเอาโมเม้นต์เข้มๆ ตึงเครียด กดดันของการเป็น startup เข้ามาบีบคั้นอารมณ์ของคนดูอย่างเรา โดยมีความสัมพันธ์ระหว่างพระเอก-นางเอกเป็นเครื่องมือเชื่อมเนื้อเรื่องเข้าด้วยกัน
ซึ่งส่วนที่เจ๋งก็คือในหลายๆ สถานการณ์ (scenario) มันก็ดู real มากเพราะมันก็เป็นเรื่องที่เราเจอกันในชีวิตประจำวันนี่แหละ แต่อาจจะปรุงแต่งเพิ่มรสชาติเข้าไปเล็กน้อยให้มันมีความเป็นหนังมากขึ้น
ใจความสำคัญหนึ่งของหนังที่ผู้เขียนชอบที่สุดก็คือ "โมเม้นต์ของการทำงานกับเพื่อน" ที่ทำให้เราเห็นว่าแค่เราลืมเคารพความเห็นของกันและกัน ละเลยความสำคัญของเพื่อนคนใดคนหนึ่งไป หรือที่แย่ที่สุดคือเราไม่จริงใจ ไม่พูดเปิดอกใส่กัน มันก็ทำให้เกิดความบรรลัยให้กับทุกคนได้ขนาดนี้แล้ว
ส่วนที่ผู้เขียนไม่ชอบก็คือการดำเนินเรื่องในบางจุดที่ไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไร ขอยกตัวอย่างเป็นฉากขับรถไล่ล่าคอมพิวเตอร์ที่ดันไปติดไฟแดงแถวย่านตัวเมืองนานมาก แต่ตัวละครที่ไล่ล่ากันมาก็ยังนั่งรออยู่บนรถแท็กซี่สบายใจเฉิบ ทั้งที่ในความเป็นจริงมันควรจะลงรถมาทุบกระจกกดดันแล้ว มันไม่มีเซนส์ของความด่วนเลย นั่นทำคอมพิวเตอร์หายนะคุณ ไม่ใช่ดินสอกด แสดงอาการร้อนรนหน่อยก็ได้
นี่ยังมีอีกหลายฉากที่อยากพูดถึงแต่ก็กลัวจะสปอยล์เรื่องโดยไม่รู้ตัว ขอแปะไว้ก่อนแล้วกัน แต่พูดไว้ตรงนี้เลยว่ามีหลายจุดมากๆ ทื่เหมือนผกก.จะมันส์มือไปหน่อยจนลืมเบรกตัวเองไป แต่ด้วยภาพรวมที่มันดีมากๆ ก็เลยช่วยกันกลบจุดนั้นไปด้วย
.
ถ้าว่ากันตามตรงก็ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้ "มันไม่ตลกขนาดนั้น" ไม่ใช่ว่าเพราะหนังมันแป้กนะ แต่เพราะหนังมันซีเรียสกับแก่นของตัวเองมากๆ จนทำให้เรื่องเล่นมุกแทบจะหลุดจากสารบบไปเลย กลายเป็นว่า "ความฮา" มันเป็นของแถมเป็นบางวาระบางโอกาสแทน (ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นซีนของพี่หนึ่งในเสือร้องไห้คนนั้นน่ะ จำชื่อไม่ได้)
แต่ถึงความฮาจะไม่มาก แต่ความเดือดดาลของการเฉือนคมก็เข้ามาชดเชยกันได้ดีอยู่ ถึงแม้มันอาจจะไม่เฉียบหรือล้ำระดับ "ฉลาดเกมส์โกง" แต่ก็ถือว่าเจ๋งแล้วกับหนังที่กล้าหยิบเรื่องใหม่มาขยี้ได้มากขนาดนี้
หนังอาจจะเค้นความระทึกออกมาได้ดีกว่านี้ถ้าตัดหลายๆ ฉากที่ยืดยาวอย่างไม่จำเป็นออกไป ลดฉากเหม่อความรักของพระเอกบ้างก็ได้ ลดฉากของตัวละครเสริมบ้างก็ดี ตบนิดแต่งหน่อยให้มันกระชับมากขี้น เพราะขณะที่ดูรู้สึกเลยว่ามันมีช่วงที่ชวนง่วงจริงๆ มันกลายเป็นว่าหนังมันรักษาระดับของตัวเองให้สม่ำเสมอไม่ได้ เหมือนปล่อยพลังออกมาเป็นระลอกๆ มากกว่าทำให้อารมณ์ขาดตอนไปสมควร
.
📖 ความพิเศษ 📖
ตัวละครที่ผู้เขียนชอบที่สุดก็คือ "ไต๋" นักออกแบบหน้าตาแอปสุดเนิร์ดที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียงในกลุ่มเพื่อนเท่าไร เป็นคนประเภทที่เพื่อนว่าไงฉันก็เอาด้วย -- ไต๋เป็นตัวละครที่มีปมน่าสนใจที่สุด เป็นยอดฝีมือที่ประสบปัญหา "ไม่มีคนเห็นคุณค่างาน" (underappreciated) ทั้งที่งานของเขามันก็ระดับมือดีไม่แพ้ใครเหมือนกัน
ทีนี้พอเขาไปอยู่ในจุดที่มีคนชื่นชมงานเขาแบบนั้น มีคนเห็นคุณค่าของผลงานจริงๆ แล้วเขาจะห้ามใจไม่ให้แปรพักต์ได้หรือ? แล้วยิ่งพ่วงด้วยการแสดงออกที่ดูเนิร์ดแบบสมจริงสุดๆ แบบนั้นยิ่งทำให้ผมชอบตัวละครนี้เข้าไปอีก และรู้สึกว่า "คนนี้แหละเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว"
ไฮไลต์อีกอย่างที่ยากจะปฏิเสธได้ก็คือตัวละคร "น้องมายด์" หรือว่า "อรอุ๋ง" ที่หนังใช้โอกาสดีให้น้องเข้ามาเล่นบทนำ ซึ่งผมก็ต้องยอมรับเลยว่าน้องเขาเล่นดีกว่าที่คาดไว้เยอะมาก (เพราะคาดหวังไว้น้อย) จังหวะเรียบๆ ของตัวละครนี้ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีเป็นธรรมชาติ
แต่พอถึงซีนอารมณ์จริงๆ น้องดันเกินอาการ "ไม่ล้นก็ขาด" ขึ้นมาซะงั้น มันเป็น mixed feeling ขึ้นๆลงๆ ตลอดช่วงเวลาหนัง แล้วยิ่งตัวหนังเองก็พยายามดันตัวละครนี้ให้เด่นซะเหลือเกิน (เผลอๆ screentime เยอะกว่าตัวเอกอีกมั้ง) มันก็อาจจะดู "เยอะ" เกินไปหน่อย
อันนี้ก็น่าสนใจ หนังยังนำเสนอ "การละเมิด" อะไรหลายๆ อย่างที่ล้วนเป็นเรื่องจริงในสังคมเรามาช้านานแล้วด้วย -- อย่างเช่นการ abuse นักศึกษาฝึกงานให้ไปทำอะไรที่มันเกินตัวหรือไม่สมควร โอเค มันอาจจะไม่เลยเถิดเหมือนกับในหนังหรอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีหลายๆ องค์กรที่ใช้งานเด็กฝึกงานได้ไม่แฟร์มากๆ ถ้าคลาสสิคหน่อยก็คือจ้างไปชงกาแฟกับถ่ายเอกสารนั่นแหละ
.
สรุป! App War: แอปชนแอป เป็นหนังสายเลือดใหม่ที่กล้าหยิบจับเรื่องร่วมสมัยอย่างการพัฒนาแอปพลิเคชันเข้ามาเล่าเรื่องได้อย่างไหลลื่นและเป็นระบบ จังหวะระทึกและลุ้นกดดันก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี
ติดขัดในเรื่องของการแสดงและความสมเหตุผลในบางจุดบ้าง แต่โดยรวมแล้วผมคิดว่าหนังเรื่องนี้คุ้มค่าครับ มีศักยภาพมากๆ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคอหนังไทยในสัปดาห์นี้
ป.ล.ก็ยังเป็นอีกเรื่องที่ระบบเสียงของหนังค่ายนี้ไม่ค่อยดีครับ น่าหงุดหงิดใจพอสมควร ลองไปดูในโรงนะ แล้วจะเข้าใจว่าผู้เขียนพูดถึงช่วงไหน
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ: https://www.facebook.com/expensivemovie/