“มิงกะลาบา Part2/1” มีโอกาสไปเยือนเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่าเป็นครั้งที่ 2

โดยผมเคยมีคุยงานที่ย้างกุ้งรอบแรกแล้ว ไม่มีเวลาไปแวะไหนเลยนอกจากเดินชมในเมือง รอบนี้มีการจัดสรรเวลาได้ดีขึ้นและเริ่มรู้ที่รู้ทางแล้ว ก็จะได้แวะสักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) ที่ชาวพม่านับถือ และได้เที่ยวไหว้พระขอพร เจดีย์โบตะตาว หรือ เจดีย์โบตาทาวน์ (Botahtaung Pagoda)


ในการเดินทางครั้งนี้ใช้บริการของสายการบินสีแดง สะดวกสบายดีครับใช้เวลาบินไม่นานประมาณ 30 นาที เครื่องก็ถึงเมืองย่างกุ้งแล้ว ประเทศพม่าเป็น visa on arrival อยู่ได้ 14 วันครับ


เมื่อมาถึงเมืองย่างกุ้งก็จะพบสถาปัตยกรรมในเมืองย่างกุ้ง มีอาคารสวยแปลกตา ที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป


ในเมืองย่างกุ้งมีนกที่พบเห็นได้เกือบจะทุกที่ก็ว่าได้ นั้นคือ “อีกา” นั้นเอง นอกจากอีกาแล้วยังมีนกพิราบ ซึ่งเยอะไม่แพ้กัน แล้วก็ไม่ต่างจากกรุงเทพมหานคร บ้านเราเท่าไหร่นัก


ซึ่งอีกาเยอะขนาดที่มีบางคนแซวกันเล่นๆว่า มีเยอะจนน่าจะทำเป็นนกประจำชาติได้กันเลยทีเดียว

ทำให้คิดว่าสาเหตุที่ทำให้มีอีกาเยอะทั้งในกรุงเทพหมานครและย่างกุ้ง เนื่องจากในเมืองขนาดใหญ่ จะมีปริมาณของขยะหรือเศษอาหารที่เยอะตามไปด้วยทำให้เป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ มีซอกตึกต่างๆที่สะดวกในการอาศัยและขยายพันธ์เป็นอย่างดี


มารอบนี้ก็ต้องไม่พลาดผลไม้ขึ้นชื่อเหมือนเดิม ซึ่งไปร้านไหนส่วนใหญ่จะมีติดร้านเอาไว้เลย นั้นก็คือมะม่วงที่ขึ้นชื่อของพม่า "Sein Ta Lone" หรือ "One Dimon" ปัจจุบันพม่ากำลังพัฒนามะม่วงสายพันธุ์นี้เพื่อการส่งออก มะม่วงพันธุ์นี้จัดเป็นมะม่วงกินสุกที่มีรสชาติอร่อยที่สุด ในพม่ามีรสชาติหวานหอม เนื้อแข็งและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว


เมนูนี้ “ก๋วยเตี่ยวผัดไก่"
เส้นก๋วยเตียวไม่เล็กไม่ใหญ่กำลังพอดี นำมาผัดเหมือนก๋วยเตี่ยวคั่วไก่บ้านเรา แต่ที่นี้มีผักนานาชนิดมากกว่าก็ใส่ลงไป โดยรวมรสชาติดีครับ


มื้อเย็นเมนูนี้ “ข้าวผัดไก่"
เหมือนข้าวผัดบ้านเราดีๆนั้นเองแหละครับ แต่จะมีกลิ่นของเครื่องเทศที่จัดจ้านมากกว่านิดหน่อย ได้เยอะจานใหม่มากๆครับ ร้านอยู่ใกล้โรงแรมที่พักเลยทีเดียว

พอมืดก็ได้ขึ้นไปชั้นบนสุดของโรงแรมที่พัก ที่เราจองเอาไว้ เนื่องจากมีประสบการณ์จากรอบที่แล้วจองที่พักไกลความเจริญมากพอมืดหาของกินยาก รอบนี้เอาใหม่จองในตลาดเลย ใกล้ๆ ตัวพระมหาเจดีย์ชเวดากอง พอตกดึกก็ได้โอกาสมาดูวิวยามราตรีของพระมหาเจดีย์ชเวดากอง สวยมากครับ สว่าง ทอง อร่ามไปทั่วบริเวณนี้เลยทีเดียว ส่วนโรงแรมที่จองชื่อ Hotel Lavender, Yangon, Myanmar ครับ เพื่อใครอยากไปชมวิวบรรยากาศแบบนี้

เช้าวันรุ่งขึ้น ก็มีคิวไปคุยงานกับลูกค้า พอคุยงานเสร็จช่วงบ่ายแก่ๆ ก็กลับมาที่โรงแรมเพื่อทำการเตรียมตัวขึ้นไปสักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เพราะเราจะว่าจะไปถ่ายภาพทไวไลท์ด้านบนเลยต้องขึ้นไปเตรียมตัวไว้ก่อนเนินๆ เราเลือกเดินขึ้นทางด้านทิศตะวันออก ทางขึ้นอยู่ใกล้กับโรงแรมมากครับ สามารถเดินออกจากโรงแรมแล้วเลี้ยวขวามาหน่อย แล้วเดินขึ้นได้เลย ซึ่งความเชื่อของคนพม่านั้นมี 5 สิ่งที่จะต้องมาสัการะให้ได้ในชีวิตนี้ ได้แก่
1. พระธาตุชเวดาดอง
2. พระธาตุชเวสิกอง
3. พระธาตุชเวมอดอ พระธาตุมุเตา
4. พระธาตุอินแขวน
5. พระมหามยะมุนี

เรามาแล้ว 1 ที่เดี่ยวจะค่อยๆทยอยเก็บตกไป

อันนี้คือทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ค่อนข้างไกล และเดินขึ้นบันไดพอสมควร
สิ่งที่ควรรู้นะครับเมื่อมาเที่ยวที่พม่า เมื่อเข้าวัดในพม่าจะต้องถอดรองเท้าและถุงเท้านะครับ ดังนั้นสิ่งที่ควรเตรียมมาด้วย คือ
1. ถุงที่สามารถใส่รองเท้าของเราแล้วหิ้วเอาไปด้วยได้ แต่บ้างที่จะมีจุดรับฝากรองเท้าบริการครับ แต่ติดเผื่อเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
2. กระดาษเปียกหรือผ้าเปียก เนื่องจากเราต้องเดินเท้าเปล่าบ้างครั้งข้ามถนนด้วยครับ ซึ่งก็ค่อนข้างจะลุยๆ เผื่อว่าใครต้องการที่จะเช็ดเท้าหลังเดินเสร็จแล้วก็จะได้สะดวกครับ ซึ่งในบ้างที่ก็มีแจกกระดาษเปียกเช่นกัน แต่มีไว้ไม่เสียหาย

อันนี้ขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว เดินเหนื่อยพอสมควรครับ
พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ตั้งแต่ยอดจนถึงตัวระฆังทำจากแผ่นทองคำจริงโดยจะมีการบูรณะทุกๆ 5 ปี ยอดสุดของพระเจดีย์บริเวณลูกแก้วหรือหยาดน้ำข้างประดับด้วยเครื่องประดับต่างๆและเพชร 5,448 เม็ด ชั้นบนสุดมีทับทิม 2,317 เม็ดและเพชรเม็ดใหญ่ 76 กะรัต เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ภายในบรรจุพระเกษาของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น

บริเวณรอบ ๆ องค์เจดีย์จะพบว่ามีพระพุทธรูปจำนวนมากซึ่งจะมีน้ำและขันให้ทำการรดน้ำพระ โดยให้รดตามจำนวนอายุ ผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชมมักนิยมเดินตามเข็มนาฬิกาวนรอบพระเจดีย์

ถึงเวลาที่เรารอคอยรอช่วงเวลาทไวไลท์ (Twilight) ช่วงนี้คือช่วงอะไร ? ทำไมเราถึงต้องมารอ

ยิ่งมืดตัวเจดีย์ ยิ่งสว่างเด่นชัดมากๆ เมื่อเราได้อยู่ต่อหน้าเจดีย์ขนาดใหญ่และสวยมากๆ ทำให้เราใช้เวลาดูโน้นนี้นั้นไปจนมืด
หลังจากถ่ายรูป ก็นั้งดูเจดีย์เพลินๆ ข้างบนอากาศดีมากๆครับเนื่องจากเหมือนอยู่บนเขาน้อยๆ ลมจึงพัดตลอด แล้วจะมีชาวพม่ามานั้งสวดมนต์ ขอพร มีพระมานั้งสมาธิ ผู้คนมากมายจริงๆครับ

พระพุทธรูปของพม่าเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจิตรศิลปของชาวพม่ามานานกว่า 1500 ปีมาแล้ว เป็นทั้งเครื่องสะท้อนลักษณะการดำรงชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ งานช่างฝีมือ พระพุทธรูปศิลปแบบพม่ามีลายแบบหลายชนิดหากแบ่งตามยุคสมัยโดยใช้ศิลปและแหล่งกำเนิดแล้วอาจแบ่งเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้


อันนี้ไม่ถนัดเลยศึกษามีจากเน็ต ใครเชียวชาญวานชี้แนะข้าน้อยด้วย
ยุคที่หนึ่ง ศิลปแบบปะกั่น ( Pagan ) พุทธศตวรรษที่ 11-13
วัสดุนั้นส่วนใหญ่เป็นปูนขาว และสำริด ไม้แกะนั้นมีน้อย ลักษณะเด่น คือ พระวรกายล่ำสัน พระอังสากว้าง พระพักตร์ใหญ่ พระศอสั้น พระเศียรโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย รายละเอียดนั้นมักขึ้นอยู่กับผู้สร้างและวัตถุประสงค์ในการสร้างหากเป็นฝีมือช่างหลวงแล้วมักมีความวิจิตรพิสดารมากกว่าช่างฝีมือชาวบ้านมาก และประกอบไปด้วยวัสดุที่สูงค่า

ยุคที่สอง ศิลปแบบประไคน์ ( PaKain ) พุทธศตวรรษที่ 13-16
พัฒนาขึ้นจากดินแดนในแถบเทือกเขาระไคน์และเมืองเมี่ยวอู พระพุทธรูปลักษณะที่พบมักมีพระวรกายกำยำ พระพักตร์สี่เหลี่ยม พระขนงต่อกันเป็นแบบปีกกามักสวมมงกุฎกษัตริย์ เช่น พระมหามุรนีที่ถูกย้ายจากประไคน์เมื่อพุทธศตวรรษที่ 1784 ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดมหามุนีในเมืองมัณฑะเลย์ แต่องค์พระถูกปิดทองหนาเสียจนมองไม่เห็นลวดลายของศิลปขององค์พระเลย

ยุคที่สาม พระพุทธรูปแบบมอญ รามัญ พุทธศตวรรษที่ 16-19
ศิลปมอญ

ที่มา : http://dvthai5.tripod.com/Bermese-Buddha-0562.htm

อย่างระฆังในรูปเป็นระฆังที่มีการปั้นรูปสิงห์และนางในวรรณคดีอื่นๆ ตกแต่งอยู่ และโดยรอบๆมีสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ที่มีความสวยงามมาก มีการปั้นรูปนูนต่ำเพื่อใช้ในการประดับตกแต่งอยู่ทั่วไป มีการฉลุ แกะสลักไม้เป็นเรื่องราวต่างๆอย่างสวยงาม

ภาพฝาผนังที่เล่าเรื่องราวโดยไม่ได้ใช้การวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังเพียงอย่างเดียวมีการปั้นรูปนูนต่ำมาประกอบทำให้ดูมีความละเอียด สวยงามมากขึ้น

เดี่ยวขอจบไว้ที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ก่อนไว้เดี่ยวมาต่อที่ เจดีย์โบตะตาว ครับ

จริงๆมีพิกัดสถานที่ต่างๆ อยู่ใน facebook ครับ ยังไงถ้าสนใจลองติดตามได้ทาง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/indyexp/