จาก The Classic สู่ Something in the rain
(Spoil เนื้อหาบางส่วน ไม่ใช่เนื้อหาหลัก)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Something in the rain เป็นซีรีย์เกาหลีเรื่องแรกๆ เลยที่เป็น Netflix original ความจริงผมได้ยินชื่อเรื่องนี้ตั้งแต่สองสามเดือนก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นยังติดสอบเลยต้องอดใจไว้ยังไม่ดู เพราะรู้ว่าดูแล้วจะหยุดไม่ได้ 🤣🤣 แต่ยังไงก็ตั้งใจว่าต้องดูให้ได้เพราะนางเอก ซนเยจิน เป็นนางเอกหนังเกาหลีในดวงใจเลย คือติดตามผลงานของนูน่ามาตลอดตั้งแต่ 16 ปีที่แล้วจากหนัง The Classic เมื่อปี 2002 ซึ่งเป็นหนังเกาหลีที่ดังมากๆ ในตอนนั้น และเป็นยุคบุกเบิกของสายเกาที่ทำให้ใครหลายๆ คนหันมาติดตามหนังและซีรีย์เกาหลีกันมากขึ้น
16 ปีผ่านไป นางเอกเราแทบไม่เปลี่ยนไปเลย คือตอนนี้นางอายุ 36 แล้วก็ยังหน้าเด็กเหมือนอายุ 20 กว่าๆ ในขณะที่คนดูอย่างเราๆ แก่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 555 ตอนเล่นหนัง The Classic ที่เป็นหนังสร้างชื่อเสียงให้เยจินนูน่าแจ้งเกิดในเอเชีย ตอนนั้นพระเอกจงใจลืมร่มไว้ที่ร้านขายของ เพราะอยากจะใช้ “ร่มวิเศษ” วิ่งฝ่าสายฝนกับนางเอก เป็นฉากสุดโรแมนติดที่คนที่เคยดูเรื่องนี้จะจำได้ไม่ลืม ผ่านมาจนถึงปี 2018 นางก็ยังต้องฝ่าฝนเหมือนเดิม ต่างจากเดิมนิดหน่อยคือพระเอกจงใจซื้อร่มสีแดงคันเดียวเพราะว่าจะได้เดินฝ่าสายฝนไปด้วยกัน ไม่รู้ว่านูน่าจะถูกโฉลกอะไรกับสายฝนนักหนา 😅
ตอนเรื่องนี้ออกฉาย ได้ยินผ่านๆ เป็นสองกระแส บางคนก็ชอบเรื่องนี้มาก แต่บางคนก็บอกว่าน่าเบื่อมาก ดูไม่จบ เทตั้งแต่กลางเรื่อง 😜 เอาเข้าจริงๆ พอดูจบแล้วผมก็ว่ามันก็ไม่ได้เนือยมากอะไรหรอก เพราะปกติซีรีย์เกาหลีมันก็จะเนือยๆ ไม่ค่อยกระชับเท่าซีรีย์ญี่ปุ่นอยู่แล้ว (เรื่องที่เยจินเคยเล่นกับซึงฮอน Summer Scent นั่นก็ slow life ชวนง่วงพอๆ กัน) เป็นอารมณ์ค่อยๆ ซึมซับความสัมพันธ์ของตัวละครที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นพี่น้องสู่การเป็นคนรัก หลายๆ ฉากคือแช่อยู่นานมาก เหมือนให้ค่อยซึมซับอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครเข้าไป คนที่ไม่ชอบละครแนวละมุนแบบนี้ก็อาจจะเทไปเลยตั้งแต่กลางเรื่อง แต่ผมชอบนะ 🤗 ยกตัวอย่างของไทยก็เช่น รัตนาวดีของค่ายศรีคำรุ้ง ทางช่อง PPTV เป็นละครแบบ road-trip ที่ดูความสัมพันธ์ของตัวละครไปเรื่อยๆ โดยมียุโรปเป็นฉากหลัง และมีความละมุนละไมมาก ซึ่งผมชอบเรื่องนี้มาก แต่บางคนก็ไม่ชอบเลยด้วยความเนือยของมันนั่นแหละ
ฉากที่ชอบที่สุด คือตอนที่นางเอกพระเอกและเพื่อนๆ ไปดื่มกันที่บาร์ ตอนที่นางเอกจับมือพระเอกใต้โต๊ะ แล้วพระเอกจับมือตอบ เป็นการยืนยัน “ความรู้สึก” อะไรบางอย่าง ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง เป็นการบอกรักกันแบบไม่ต้องใช้คำพูดเลย ส่วนอื่นๆ ของเรื่อง (sub-plot) เป็นเรื่องสังคมการทำงานเกาหลี และประเด็น Sexual harassment ซึ่งเรามักไม่ค่อยเห็นในซีรีย์เกาหลียุคก่อนๆ ทำให้เราเห็นวัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่คนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยนัก คือเอาจริงๆ เรื่องนี้บ้านเราดีกว่าพอสมควร แต่ยังรู้สึกว่าบทสรุปของประเด็นนี้ยังทำได้ไม่สุด ยังไม่ได้คลี่คลายปมอีกหลายอย่างในตอนจบ ซึ่งนี่เป็นจุดบอดของเรื่องนี้เลยทีเดียว (โดนสปอยล์มาตั้งแต่ก่อนดูเลยว่าเรื่องนี้จบไม่ค่อยดี ถึงแม้ว่าจะ Happy Ending)
สรุป ให้คะแนน 8.5/10
หักหนึ่งคะแนนสำหรับมุมกล้อง เป็นแนวหนังแบบถ่ายแช่มุมเดียวเลย ตัวละครหันหลังให้กล้องบ่อยมาก เวลาแสดงอารมณ์อะไรบางทีก็เห็นไม่ชัดเลย อีกครึ่งคะแนนหักสำหรับตอนจบที่ “มันไม่สุด” มันน่าจะคลี่คลายปมของเรื่องได้ดีกว่านี้ เข้าใจว่าจบแบบปลายเปิด แต่หลายๆ อย่างมันควรจะมีคำตอบให้คนดูนะ
ถือเป็นซีรีย์เกาหลีอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างฟินและละมุน อาจจะมีเนือยๆ เนิบๆ บ้างช่วงกลางค่อนไปท้ายเรื่องเทียบกับซีรีย์เกาหลีอื่นๆ แต่รวมๆ ก็ไม่แย่นะครับ (ความเห็นส่วนตัว)
ปล. พระนางคู่นี้เคมีดีมาก ฟินมาก ยิ่งไปดูคลิปงานแถลงข่าว+คลิปเบื้องหลัง บอกเลยว่าไม่ธรรมดา 😍😍 ถึงว่าทำไมถึงมีข่าวลือตั้งแต่ตอนที่ซีรีย์ออกฉาย
They are just another Song-Song couple. Only time can proof this.
จาก The Classic สู่ Something in the rain
(Spoil เนื้อหาบางส่วน ไม่ใช่เนื้อหาหลัก)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุป ให้คะแนน 8.5/10
หักหนึ่งคะแนนสำหรับมุมกล้อง เป็นแนวหนังแบบถ่ายแช่มุมเดียวเลย ตัวละครหันหลังให้กล้องบ่อยมาก เวลาแสดงอารมณ์อะไรบางทีก็เห็นไม่ชัดเลย อีกครึ่งคะแนนหักสำหรับตอนจบที่ “มันไม่สุด” มันน่าจะคลี่คลายปมของเรื่องได้ดีกว่านี้ เข้าใจว่าจบแบบปลายเปิด แต่หลายๆ อย่างมันควรจะมีคำตอบให้คนดูนะ
ถือเป็นซีรีย์เกาหลีอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างฟินและละมุน อาจจะมีเนือยๆ เนิบๆ บ้างช่วงกลางค่อนไปท้ายเรื่องเทียบกับซีรีย์เกาหลีอื่นๆ แต่รวมๆ ก็ไม่แย่นะครับ (ความเห็นส่วนตัว)
ปล. พระนางคู่นี้เคมีดีมาก ฟินมาก ยิ่งไปดูคลิปงานแถลงข่าว+คลิปเบื้องหลัง บอกเลยว่าไม่ธรรมดา 😍😍 ถึงว่าทำไมถึงมีข่าวลือตั้งแต่ตอนที่ซีรีย์ออกฉาย
They are just another Song-Song couple. Only time can proof this.