อย่างเช่นคำว่า "อัตตา" ความจริงคำนี้มันมีความหมายเป็นอย่างมาก เป็นคำมงคล
ไม่ว่าจะเกี่ยวกับตัวคน หรือตัวธรรม ก็จะมีความหมายว่าเป็นผู้มั่งคั่ง มั่นคง ถาวร ไม่มีความจน
ความเสื่อม เป็นสิ่งที่มีจริง เที่ยง ไม่มีความแปรปรวน ...
พระพุทธเจ้าจึงหวงนักหวงหนากับคำๆนี้ ไม่อยากให้ใครเอาใช้มั่วชั่ว เอาไปใชกับของต่ำๆ ที่ไม่มีสาระแก่นสาร
หรือของที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่า ไม่มีความจริง โดยเฉพาะเอาไปใช้กับขันธ์ ๕ ยิ่งไม่เหมาะ สมควรด้วยปรการทั้งปวง...
....แต่คนไทยใครก็ไม่รุ้เอาคำๆนี้ไปแปลว่า "ตัวกูของกู" ตั้งแต่นั้นมาเลยทำให้คำๆนี้มันเสื่อม
ความหมายไปอย่างเห็นได้ชัด ...
คำๆนี้มันก็เลยกลายเป็นมาร เป็นตัวกิเลส เป็นตัวไม่ดีไปโดยปริยาย
ความจริงคำว่า "ตัวกูของกู" มันจะตรงกับคำว่า ตัณหา มานะ ทิฏฐิ หรือคำในภาษาอังกฤษ ว่า " อีโก้ "
นั่นแหละจึงจะถุกต้องใกล้เคียง
เช่นตัวกูของกู ของพวกที่สวมหัวโขนทั้งหลาย ไม่ว่าจะ ทหาร ตำรวจ ทนาย อัยการ นักเรียนช่างกล
พวกกู พวก พวกกูแน่ พวกกระจอก อย่างนี้เป็นต้น
ประเทศไทยมันเลยเพี้ยนไปกันหมด เป็นถิ่นกาขาวอย่างที่มีคนว่ามาไม่ผิดเพี้ยน....
จะอู้หื้อ.....
ใครคือผู้ที่ทำให้ศัพท์ในพระไตรปิฏกมันเสื่อมความหมายไป ?
ไม่ว่าจะเกี่ยวกับตัวคน หรือตัวธรรม ก็จะมีความหมายว่าเป็นผู้มั่งคั่ง มั่นคง ถาวร ไม่มีความจน
ความเสื่อม เป็นสิ่งที่มีจริง เที่ยง ไม่มีความแปรปรวน ...
พระพุทธเจ้าจึงหวงนักหวงหนากับคำๆนี้ ไม่อยากให้ใครเอาใช้มั่วชั่ว เอาไปใชกับของต่ำๆ ที่ไม่มีสาระแก่นสาร
หรือของที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่า ไม่มีความจริง โดยเฉพาะเอาไปใช้กับขันธ์ ๕ ยิ่งไม่เหมาะ สมควรด้วยปรการทั้งปวง...
....แต่คนไทยใครก็ไม่รุ้เอาคำๆนี้ไปแปลว่า "ตัวกูของกู" ตั้งแต่นั้นมาเลยทำให้คำๆนี้มันเสื่อม
ความหมายไปอย่างเห็นได้ชัด ...
คำๆนี้มันก็เลยกลายเป็นมาร เป็นตัวกิเลส เป็นตัวไม่ดีไปโดยปริยาย
ความจริงคำว่า "ตัวกูของกู" มันจะตรงกับคำว่า ตัณหา มานะ ทิฏฐิ หรือคำในภาษาอังกฤษ ว่า " อีโก้ "
นั่นแหละจึงจะถุกต้องใกล้เคียง
เช่นตัวกูของกู ของพวกที่สวมหัวโขนทั้งหลาย ไม่ว่าจะ ทหาร ตำรวจ ทนาย อัยการ นักเรียนช่างกล
พวกกู พวก พวกกูแน่ พวกกระจอก อย่างนี้เป็นต้น
ประเทศไทยมันเลยเพี้ยนไปกันหมด เป็นถิ่นกาขาวอย่างที่มีคนว่ามาไม่ผิดเพี้ยน....
จะอู้หื้อ.....