สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
5 ช่องทางสำหรับผู้สนใจสร้างเนื้อสร้างตัวในอเมริกา
โจทย์: หากต้องการโยกย้ายไปปักหลักลงทุนหรือทำธุรกิจในสหรัฐอเมริกา คุณมีช่องทางหรือแผนการสำหรับตัวเองและครอบครัวอย่างไรบ้าง
Andy J. Semotiuk นักกฏหมายผู้เชี่ยวชาญด้านคนเข้าเมือง สรุปช่องทางพอสังเขปไว้ทั้งหมด 5 ทาง ดังนี้
1) ถือวีซ่า EB-5 เพื่อนำเงินไปลงทุนตามแหล่งต่างๆ (EB-5 Regional Center Investment)
ข้อดี - ใช้เงินต่ำกว่า 500,000 เหรียญสหรัฐ ก็ได้กรีนการ์ดแล้ว และไม่ต้องวุ่นวายมากนัก
ข้อเสีย - จะไม่มีโอกาสจัดการเงินลงทุนขอตัวเองโดยตรง
คุณต้องจ่าย 500,000 เหรียญเป็นเงินลงทุน ภายใต้การกำกับของหน่วยงานที่รับมอบอำนาจจากรัฐบาลในโครงการ EB-5 เป็นระยะเวลา 5 ปี ภายในช่วงเวลา 18 เดือน คุณจะได้รับกรีนการ์ดในแบบมีเงื่อนไข เพื่อให้ตัวเองและครอบครัวพักอาศัยในสหรัฐฯ และยังสามารถใช้ชีวิต ทำงาน หรือเข้าเรียนที่ไหนก็ได้ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านคุณสมบัติการศึกษา อายุ หรือความสามารถทางภาษาอังกฤษแต่ประการใด
การลงทุนหรือประกอบกิจการภายใต้ EB-5 เงินของคุณจะถูกส่งไปยังโปรเจคธุรกิจของใครสักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงแรม บ้านพักอาศัย หรืออาคารสำนักงาน โดยเงินของคุณซึ่งถูกนำไปลงทุนตามโครงการที่กำหนดนั้น จะต้องว่าจ้างคนงานอเมริกันให้มีงานทำอย่างน้อย 10 คน เป็นระยะเวลานาน 2 ปี
เมื่อครบตามเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว คุณสามารถยื่นเรื่องเพื่อรับกรีนการ์ดอยู่อาศัยอย่างถาวรได้ หากอยู่อาศัยครบ 5 ปี นับตั้งแต่วันเข้าประเทศ แล้วเงินก้อนนี้จะกลับคืนสู่กระเป๋าคุณอีกครั้ง
หากมองในเชิงลงทุนแล้ว ต้องถือว่าเงินก้อนนี้อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงมาก แต่อย่างไรก็ตาม โปรแกรม EB-5 ดำเนินมานานกว่า 20 ปีแล้ว และมีประวัติที่ดีมาโดยตลอด
2) ถือว่าวีซ่า EB-5 เพื่อลงทุนโดยตัวเอง
ช่องทางนี้ต่างจากข้อ 1) เพียงเล็กน้อย นั่นคือตัวเองลงทุนเอง เพื่อให้ได้กรีนการ์ดสำหรับตัวเองและครอบครัว โดยจะต้องควักเงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อลงทุนหรือสร้างกิจการของตนเอง โดยต้องมีการว่าจ้างงานไม่ว่ากว่า 10 คน ในระยะเวลา 2 ปี
กระบวนการตามแผนนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 18 เดือน แต่หากนำไปรวมกับการได้สิทธิจากการถือวีซ่า E-2 (ช่องทางที่ 4) คุณอาจจะใช้เวลาเดินเรื่องเพื่อเข้าสหรัฐฯ เพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น
หลังผ่านช่วงเวลา 2 ปี และว่าจ้างแรงงานอย่างต่ำ 10 คนตามเงื่อนไข โดยที่ยังคงเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ที่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ ถือว่าสอบผ่านคุณสมบัติที่จะได้รับกรีนการ์ดถาวร
ถ้าหากว่าคุณต้องไปลงทุนในภูมิภาคที่มีการว่างงานสูง อาจสามารถปรับลดวงเงินลงทุนให้เหลือ 500,000 เหรียญได้ ช่องทางนี้เหมาะจะเป็นทางเลือกที่จะลงทุนในกิจการแฟรนไชส์ดีๆ ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเชนโรงแรมหรือร้านอาหาร
3) โอนย้ายเข้ามาทำงาน
หากบริษัทของคุณย้ายคุณจากบ้านเกิด ให้มาทำงานบริษัทในเครือ ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ในฐานะผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือผู้ชำนาญการพิเศษก็ตาม อาจจะได้สิทธิรับกรีนการ์ด ดังเช่นผู้บริหารจาก Toyota มาอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เพื่อบริหารโรงงานในเครือ
แต่สิทธิตามช่องทางนี้ ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขสองประการ หนึ่ง) คุณจะต้องเคยทำงานในบริษัทลูก ในอีกประเทศหนึ่งอย่างน้อย 1 ปี ภายในช่วง 3 ปีหลังสุด และสอง) หน้าที่การงานในสหรัฐฯ จะต้องใกล้เคียงกับงานที่ทำในบ้านตัวเอง
ระยะเวลาในการดำเนินการจนได้กรีนการ์ดตามช่องทางนี้ ใช้เวลาประมาณ 18 เดือน
4) ถือวีซ่าทำงานแบบ E-2
สามารถว่าจ้างตัวเองเพื่อทำงานในสหรัฐฯ ได้หรือไม่?
หากคุณเป็นพลเมืองในประเทศที่มีสนธิสัญญาว่าด้วยการลงทุน (investment treaty) กับสหรัฐฯ (สำหรับประเทศไทยลงนามมาตั้งแต่ปี 1968) อาจได้ถือวีซ่า E-2 เพื่อทำงานให้กับบริษัทที่ตัวคุณเองก่อตั้งขึ้นในประเทศนี้
ส่วนเม็ดเงินในการลงทุนนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ประเภทของกิจการและอุตสาหกรรม ขั้นต่ำสุดจะอยู่ราว 75,000 เหรียญ ก็สามารถได้สิทธิครบถ้วนแล้ว แต่หากเพิ่มเป็น 200,000 เหรียญ ก็ยิ่งจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
สิทธิตามวีซ่า E-2 กำหนดระยะเวลาไว้ 5 ปี โดยจะต้องขอต่อเวลาไปเรื่อยๆ ส่วนคู่สมรสของผู้ถือ E-2 จะได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศสหรัฐฯ ได้เช่นเดียวกัน
การถือวีซ่า E-2 จะช่วยทำให้การขอตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น เพราะมันเป็นเหมือนใบเบิกทางไปสู่การรับกรีนการ์ด ตามช่องทาง EB-5 ในฐานะผู้ลงทุนโดยตรง ตัวอย่างเช่นลูกค้าชาวอียิปต์ของผู้เขียน ใช้วีซ่าประเภทนี้เพื่อตั้งต้นกิจการรถเช่าใน Florida เวลานี้เขากำลังเดินเรื่องขอ EB-5 เพื่อจะลงทุนกิจการของตัวเอง
5) ถือวีซ่า O-1 ในฐานะผู้มีความสามารถพิเศษ
หากคุณมีทักษะฝีมือในระดับที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะในด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์ การศึกษา ธุรกิจ และการกีฬา มีสิทธิยื่นขอกรีนการ์ดตามช่องทางนี้ด้วยตัวเองโดยตรง คนที่เคยถือวีซ่าแบบนี้ได้แก่ Julio Iglesias, Albert Einstein, Yao Ming หรือ Gordon Ramsay
แต่ต้องพิสูจน์ให้ประจักษ์ชัดว่า ความเชี่ยวชาญหรือความสามารถพิเศษของคุณตามแต่ละสาขานั้น เข้าเกณฑ์ตามมาตรฐานของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือไม่ เพื่อจะได้สิทธิเป็นผู้อพยพถือวีซ่า O-1
ส่วนว่าเข้าเกณฑ์หรือไม่นั้น ก็จะพิจารณาจากรางวัลหรือเกียรติยศต่างๆ ที่ได้รับ รวมไปถึงงานเขียนที่พูดถึงตัวคุณเอง และแน่นอนว่าการเป็นดาราหนังย่อมได้เปรียบ
หากคุณต้องการไปลงทุนหรือสร้างกิจการของตัวเอง ในดินแดนแห่งเสรีภาพอันกว้างขวาง ลองพิจารณาว่าคุณเหมาะสำหรับแผนการหรือช่องทางใดทางหนึ่ง จากทั้ง 5 ข้อนี้หรือไม่
ภายหลังได้รับกรีนการ์ดครบ 5 ปี คุณต้องยื่นคำร้องเพื่อให้ได้สถานภาพพลเมืองสหรัฐฯ และได้รับพาสปอร์ต แม้คุณจะไม่พร้อมที่จะอพยพโยกย้ายในช่วงนี้ ก็อาจจะได้ไอเดียเพื่อตระเตรียมตัวในอนาคตได้บ้าง
เรียบเรียงจาก 5 Best Ways For Investors To Immigrate To The United States โดย Andy J. Semotiuk นักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญด้านคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ และแคนาดา
โจทย์: หากต้องการโยกย้ายไปปักหลักลงทุนหรือทำธุรกิจในสหรัฐอเมริกา คุณมีช่องทางหรือแผนการสำหรับตัวเองและครอบครัวอย่างไรบ้าง
Andy J. Semotiuk นักกฏหมายผู้เชี่ยวชาญด้านคนเข้าเมือง สรุปช่องทางพอสังเขปไว้ทั้งหมด 5 ทาง ดังนี้
1) ถือวีซ่า EB-5 เพื่อนำเงินไปลงทุนตามแหล่งต่างๆ (EB-5 Regional Center Investment)
ข้อดี - ใช้เงินต่ำกว่า 500,000 เหรียญสหรัฐ ก็ได้กรีนการ์ดแล้ว และไม่ต้องวุ่นวายมากนัก
ข้อเสีย - จะไม่มีโอกาสจัดการเงินลงทุนขอตัวเองโดยตรง
คุณต้องจ่าย 500,000 เหรียญเป็นเงินลงทุน ภายใต้การกำกับของหน่วยงานที่รับมอบอำนาจจากรัฐบาลในโครงการ EB-5 เป็นระยะเวลา 5 ปี ภายในช่วงเวลา 18 เดือน คุณจะได้รับกรีนการ์ดในแบบมีเงื่อนไข เพื่อให้ตัวเองและครอบครัวพักอาศัยในสหรัฐฯ และยังสามารถใช้ชีวิต ทำงาน หรือเข้าเรียนที่ไหนก็ได้ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านคุณสมบัติการศึกษา อายุ หรือความสามารถทางภาษาอังกฤษแต่ประการใด
การลงทุนหรือประกอบกิจการภายใต้ EB-5 เงินของคุณจะถูกส่งไปยังโปรเจคธุรกิจของใครสักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงแรม บ้านพักอาศัย หรืออาคารสำนักงาน โดยเงินของคุณซึ่งถูกนำไปลงทุนตามโครงการที่กำหนดนั้น จะต้องว่าจ้างคนงานอเมริกันให้มีงานทำอย่างน้อย 10 คน เป็นระยะเวลานาน 2 ปี
เมื่อครบตามเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว คุณสามารถยื่นเรื่องเพื่อรับกรีนการ์ดอยู่อาศัยอย่างถาวรได้ หากอยู่อาศัยครบ 5 ปี นับตั้งแต่วันเข้าประเทศ แล้วเงินก้อนนี้จะกลับคืนสู่กระเป๋าคุณอีกครั้ง
หากมองในเชิงลงทุนแล้ว ต้องถือว่าเงินก้อนนี้อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงมาก แต่อย่างไรก็ตาม โปรแกรม EB-5 ดำเนินมานานกว่า 20 ปีแล้ว และมีประวัติที่ดีมาโดยตลอด
2) ถือว่าวีซ่า EB-5 เพื่อลงทุนโดยตัวเอง
ช่องทางนี้ต่างจากข้อ 1) เพียงเล็กน้อย นั่นคือตัวเองลงทุนเอง เพื่อให้ได้กรีนการ์ดสำหรับตัวเองและครอบครัว โดยจะต้องควักเงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อลงทุนหรือสร้างกิจการของตนเอง โดยต้องมีการว่าจ้างงานไม่ว่ากว่า 10 คน ในระยะเวลา 2 ปี
กระบวนการตามแผนนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 18 เดือน แต่หากนำไปรวมกับการได้สิทธิจากการถือวีซ่า E-2 (ช่องทางที่ 4) คุณอาจจะใช้เวลาเดินเรื่องเพื่อเข้าสหรัฐฯ เพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น
หลังผ่านช่วงเวลา 2 ปี และว่าจ้างแรงงานอย่างต่ำ 10 คนตามเงื่อนไข โดยที่ยังคงเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ที่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ ถือว่าสอบผ่านคุณสมบัติที่จะได้รับกรีนการ์ดถาวร
ถ้าหากว่าคุณต้องไปลงทุนในภูมิภาคที่มีการว่างงานสูง อาจสามารถปรับลดวงเงินลงทุนให้เหลือ 500,000 เหรียญได้ ช่องทางนี้เหมาะจะเป็นทางเลือกที่จะลงทุนในกิจการแฟรนไชส์ดีๆ ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเชนโรงแรมหรือร้านอาหาร
3) โอนย้ายเข้ามาทำงาน
หากบริษัทของคุณย้ายคุณจากบ้านเกิด ให้มาทำงานบริษัทในเครือ ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ในฐานะผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือผู้ชำนาญการพิเศษก็ตาม อาจจะได้สิทธิรับกรีนการ์ด ดังเช่นผู้บริหารจาก Toyota มาอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เพื่อบริหารโรงงานในเครือ
แต่สิทธิตามช่องทางนี้ ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขสองประการ หนึ่ง) คุณจะต้องเคยทำงานในบริษัทลูก ในอีกประเทศหนึ่งอย่างน้อย 1 ปี ภายในช่วง 3 ปีหลังสุด และสอง) หน้าที่การงานในสหรัฐฯ จะต้องใกล้เคียงกับงานที่ทำในบ้านตัวเอง
ระยะเวลาในการดำเนินการจนได้กรีนการ์ดตามช่องทางนี้ ใช้เวลาประมาณ 18 เดือน
4) ถือวีซ่าทำงานแบบ E-2
สามารถว่าจ้างตัวเองเพื่อทำงานในสหรัฐฯ ได้หรือไม่?
หากคุณเป็นพลเมืองในประเทศที่มีสนธิสัญญาว่าด้วยการลงทุน (investment treaty) กับสหรัฐฯ (สำหรับประเทศไทยลงนามมาตั้งแต่ปี 1968) อาจได้ถือวีซ่า E-2 เพื่อทำงานให้กับบริษัทที่ตัวคุณเองก่อตั้งขึ้นในประเทศนี้
ส่วนเม็ดเงินในการลงทุนนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ประเภทของกิจการและอุตสาหกรรม ขั้นต่ำสุดจะอยู่ราว 75,000 เหรียญ ก็สามารถได้สิทธิครบถ้วนแล้ว แต่หากเพิ่มเป็น 200,000 เหรียญ ก็ยิ่งจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
สิทธิตามวีซ่า E-2 กำหนดระยะเวลาไว้ 5 ปี โดยจะต้องขอต่อเวลาไปเรื่อยๆ ส่วนคู่สมรสของผู้ถือ E-2 จะได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศสหรัฐฯ ได้เช่นเดียวกัน
การถือวีซ่า E-2 จะช่วยทำให้การขอตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น เพราะมันเป็นเหมือนใบเบิกทางไปสู่การรับกรีนการ์ด ตามช่องทาง EB-5 ในฐานะผู้ลงทุนโดยตรง ตัวอย่างเช่นลูกค้าชาวอียิปต์ของผู้เขียน ใช้วีซ่าประเภทนี้เพื่อตั้งต้นกิจการรถเช่าใน Florida เวลานี้เขากำลังเดินเรื่องขอ EB-5 เพื่อจะลงทุนกิจการของตัวเอง
5) ถือวีซ่า O-1 ในฐานะผู้มีความสามารถพิเศษ
หากคุณมีทักษะฝีมือในระดับที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะในด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์ การศึกษา ธุรกิจ และการกีฬา มีสิทธิยื่นขอกรีนการ์ดตามช่องทางนี้ด้วยตัวเองโดยตรง คนที่เคยถือวีซ่าแบบนี้ได้แก่ Julio Iglesias, Albert Einstein, Yao Ming หรือ Gordon Ramsay
แต่ต้องพิสูจน์ให้ประจักษ์ชัดว่า ความเชี่ยวชาญหรือความสามารถพิเศษของคุณตามแต่ละสาขานั้น เข้าเกณฑ์ตามมาตรฐานของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือไม่ เพื่อจะได้สิทธิเป็นผู้อพยพถือวีซ่า O-1
ส่วนว่าเข้าเกณฑ์หรือไม่นั้น ก็จะพิจารณาจากรางวัลหรือเกียรติยศต่างๆ ที่ได้รับ รวมไปถึงงานเขียนที่พูดถึงตัวคุณเอง และแน่นอนว่าการเป็นดาราหนังย่อมได้เปรียบ
หากคุณต้องการไปลงทุนหรือสร้างกิจการของตัวเอง ในดินแดนแห่งเสรีภาพอันกว้างขวาง ลองพิจารณาว่าคุณเหมาะสำหรับแผนการหรือช่องทางใดทางหนึ่ง จากทั้ง 5 ข้อนี้หรือไม่
ภายหลังได้รับกรีนการ์ดครบ 5 ปี คุณต้องยื่นคำร้องเพื่อให้ได้สถานภาพพลเมืองสหรัฐฯ และได้รับพาสปอร์ต แม้คุณจะไม่พร้อมที่จะอพยพโยกย้ายในช่วงนี้ ก็อาจจะได้ไอเดียเพื่อตระเตรียมตัวในอนาคตได้บ้าง
เรียบเรียงจาก 5 Best Ways For Investors To Immigrate To The United States โดย Andy J. Semotiuk นักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญด้านคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ และแคนาดา
แสดงความคิดเห็น
++ ใครทราบเกี่ยวกับ วีซ่า นักลงทุน ใครมีประสบการณ์ ช่วยแบ่งปันหน่อยครับ +++
ใครเคยมีประสบการณ์อยู่ แล้วตอนนี้อาศัยที่อเมริกาด้วยวีซ่านี้บ้าง อยากให้ช่วยแบ่งปันข้อมูล ประสบการณ์หน่อยครับ
ขอบคุณครับ