ช่วงนี้ผมมีโอกาสได้ไปอบรมการเขียนและไปฟังงานเสวนาทางวรรณกรรมมาหลายครั้ง ผมจึงเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากนักเขียนคนอื่นที่ประสบความสำเร็จมาบันทึกเป็นองค์ความรู้เก็บไว้ โดยเฉพาะเรื่องการเขียนนวนิยายขายในออนไลน์ซึ่งกำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ ผมลองจดจำวิธีการของเขาที่ผมได้รับรู้มา เอามาเขียนเรียบเรียงเพื่อเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ โดยส่วนหนึ่งหวังว่าจะเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับนักเขียนออนไลน์หน้าใหม่ด้วย เพื่อนๆ ลองอ่านกันดูนะครับ
++++++++++
@@> ก่อนอื่นนักเขียนควรจะต้องถามตัวเองก่อนว่า งานของเราจะขายได้ไหม? ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่างานของเราแต่ละเรื่องขายอะไร? ขายเรื่องราวที่สนุกสนานหรือขายตัวตนของนักเขียน?
@@> มีคนมองว่า การที่นักเขียนเอานวนิยายมาขายในโลกออนไลน์ (กรณีเป็นนักเขียนใหม่ที่สร้างผลงานใหม่) นั้น เล่มแรกสุดที่ขายได้นั้นมันฟลุ๊ค ถ้าของจริงต้องดูว่าเล่มต่อๆ ไปขายได้ด้วยหรือไม่?
@@> การขายนวนิยายในโลกออนไลน์ นักเขียนควรหมั่นตรวจสอบดูยอดขายของตัวเองด้วย ว่าเรื่องแนวไหนขายได้ดี เรื่องแนวไหนขายได้ไม่ดี นอกจากนั้นยังควรดูคอมเม้นท์ของนักอ่านที่ให้ไว้ด้วย เพราะความคิดเห็นจากคนอ่านจะเป็นข้อเสนอแนะที่ดีสำหรับเรา
@@> เราต้องหาจุดขายของตัวเองเองให้ได้ ถ้าในโลกออนไลน์ ในเว็บเด็กดี ในเว็บธัญวลัย ฯลฯ นิยายที่ติดอันดับขายดีอาจะเป็นแนวรักโรแมนติค ต้องดูว่าเราสู้กับเขาได้ไหม? เราเขียนเรื่องรักโรแมนติคได้ดีกว่าเขาไหม? ถ้าทำไม่ได้ต้องไปหาจุดอื่นดู ลองเขียนในแนวที่ยังไม่ค่อยมีมากได้ไหม? หรือเขียนในแนวที่ต่างประเทศกำลังเป็นที่นิยมอยู่ได้ไหม? ต้องคิดให้ออกว่าถ้าไม่ใช่แนวโรแมนติดเราจะเขียนแนวไหน? เราจะขายอะไร?
@@> เรื่องที่มีอยู่ในท้องตลาดไม่มากคือเรื่องตลก ต้องดูว่าเราเขียนเรื่องตลกได้ไหม?
@@> ต้องลองจับจุดของนักเขียนที่ประสบความสำเร็จในการขายนวนิยายออนไลน์ ทั้งอีบุ๊กและขายออนไลน์ โดยดูว่าเขาทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ หาจุดนั้นให้เจอแล้วลองเอามาสร้างเป็นไอเดียของตัวเอง
@@> ในกรณีขายเป็นอีบุ๊กคือเรื่องที่เขียนจบแล้ว แต่ถ้าเรื่องยังเขียนไม่จบสารถขายได้ทางเว็บขายนิยายออนไลน์ เช่น Fictionlog , readAwritre , jamplay.world ฯลฯ
@@> สำหรับการขายนิยายออนไลน์ทีเรากำลังเขียนอยู่ ให้ลงขายทีละฉาก แต่ลงถี่ๆ ทุกวัน ลงตามเวลาเดียวกันทุกวัน จะช่วยให้ยอดวิวสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้
@@> อย่างในเว็บเด็กดี คนจะอ่านนิยายหลังเลิกงานเป็นหลัก ดังนั้นเราควรโพสขายเรื่องในช่วงเวลา 6 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม หรือเราจะตัดบทนิยายให้สั้นๆ เพื่อลงขายในตอนเช้า ลงประมาณ 6 โมงเช้าถึง 8 โมงเช้า สำหรับคนที่กำลังเดินทางไปทำงาน โดยการตัดแต่ละบทให้สั้นลงหรือให้โพสลงแค่ฉากเดียว ให้สั้นพอสำหรับอ่านได้สะดวกในสมาร์ทโฟน เพื่อที่คนจะอ่านจบได้ในระหว่างที่ขึ้นรถไฟฟ้า หรือนั่งอ่านบนรถเมล์ตอนไปทำงานได้
@@> พยายามมองหากลุ่มลูกค้าของเราให้เจอ เช่นถ้าเราขายเรื่องสำหรับกลุ่มแม่บ้านเราต้องโพสตอนกลางวัน ระหว่าง 10 โมงเช้าถึงบ่ายสอง , ถ้าขายคนทำงานโพสตอนเช้าที่คนกำลังไปทำงานหรือโพสตอนเย็นที่คนเลิกงาน , ถ้าขายให้วัยรุ่นอาจจะโพสตอนหัวค่ำถึงดึกได้ (สองทุ่มถึงเที่ยงคืน)
@@> เราต้องพยายามสร้างแฟนคลับใหม่ให้มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราขายในออนไลน์แล้วมีคนอ่านมาคอมเม้นท์แสดงความคิดเห็น นักเขียนควรจะไปเขียนตอบคอมเม้นท์นั้นด้วยตัวเอง จะสร้างความประทับใจให้แก่คนอ่าน เขาจะได้ติดตามอ่านงานเราไปเรื่อยๆ
@@> พยายามสร้างกลุ่มเป้าหมายให้หลากหลายมากขึ้น เราอาจจะเอาเรื่องที่เป็นอีบุ๊กของเราไปโพสขายให้เว็บบอร์ดที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ก็ได้ ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มคนที่อยู่ในเว็บบอร์ดซื้อขายสินค้าเหล่านี้คือคนที่มีกำลังซื้อและยินดีที่จะซื้อของทางออนไลน์อยู่แล้ว
@@> ถ้าเราอยากจะเขียนอย่างเดียว ให้เราจ้างทีมงานที่ทำหน้าที่โพสแปะลิงค์ในกลุ่มต่างๆ เพื่อทำการตลาดให้เราแทนก็ได้ ให้ลองจ้างคนที่ชอบเล่นโซเซียลเป็นประจำหรือพวกนักศึกษาที่ชอบเล่นเน็ต โดยอาจจะจ้างเขาโพสเป็นรายเดือนเลย ตกลงล่วงหน้าเลยว่าเดือนหนึ่งจะให้เขาโพสกี่โพส ให้เงินเขาเดือนละ 1,000 บาท หรือ 2,000 เลยก็ได้ เพราะถ้ามีการโพสขายเรื่องหรือโพสโฆษณาได้เยอะ ก็มีโอกาสขายงานของเราได้เยอะตามไปด้วย
@@> เวลาที่โพสขายเรื่องหรือขายอีบุ๊กควรตั้งหัวข้อให้ชัดเจนว่าเราขายอะไร? เราขายนวนิยายเรื่องไหน? เป็นเรื่องแนวไหน? เรื่องเกี่ยวกับอะไร? ต้องโพสหัวข้อให้ชัดเจนไปเลย
@@> การที่เราจะขายนิยายทางออนไลน์ เราจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์และโฆษณาด้วยวิธีการแปะลิงค์ให้คนเห็นเยอะๆ คนจะได้คลิกเข้าไปดูเข้าไปลองอ่านบทตัวอย่างที่ลองให้อ่านฟรีก่อนได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนคนอื่นก๊อปปี้เรื่องของเรา เพราะว่าในโลกออนไลน์มีกลุ่มคนที่คอยจะประชาทัณฑ์คนที่ชอบขโมยของคนอื่น ถ้าเรามีกลุ่มแฟนคลับที่หนาแน่น บรรดาแฟนคลับเหล่านี้จะเป็นผู้ช่วยสอดส่องให้เราเอง
@@> ทุกวันนี้คนในวงการนักเขียนต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนด้วยกันเอง สำนักพิมพ์เอง บรรณาธิการเอง หรือคนที่ทำหน้าที่ต่างๆ เพราะว่าทุกวันนี้คู่แข่งจริงๆ ของพวกเราคือพวกมือถือต่างๆ
@@> การตั้งชื่อเรื่องต้องดี คำแนะนำเรื่องและคำแนะนำเนื้อหาต้องชัดเจนด้วย บางครั้งเวลาที่โพสแปะลิงค์อาจไม่ต้องนำเนื้อเรื่องมาให้อ่านเลยก็ได้ แต่ใช้วิธีโพสชื่อเรื่องหรือคำแนะนำเรื่องแทน แล้วโพสท้าทายเลยว่า “ลองคลิกไปอ่านดู ถ้าอ่านแล้วไม่สนุกให้มาเตะก้นได้เลย” แบบนี้จะดึงดูดความสนใจช่วยให้คนคลิกไปหาเรื่องเราได้
@@> ในการทำการตลาดในโลกออน์ไลน์ เราต้องทำพร้อมๆ กันทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางเพจเฟสบุ๊ก ทางไลน์ ทางทวิเตอร์ ทางเว็บไซต์ขายอีบุ๊ก ทางเว็บไซด์ส่วนตัว ฯลฯ
@@> นักเขียนควรจะต้องมีบรรณาธิการของตัวเอง เพราะอีบุ๊กส่วนใหญ่ที่ขายได้ คือเรื่องที่เคยจัดพิมพ์ผ่านสำนักพิมพ์มาก่อนแล้ว เรื่องพวกนี้จะผ่านสายตาของบรรณาธิการแล้ว ผ่านการตรวจสอบของสำนักพิมพ์แล้ว ถือว่าผ่านการกลั่นกรองมาชั้นหนึ่งแล้ว
@@> เราต้องพยายามเกลาแก้ไขงานของเราก่อน ถ้าไม่มีบรรณาธิการจริงๆ หรือเราเองยังไม่ได้เกลาแก้ไขเลย ถ้าจะโพสขายไปก่อน ให้ระบุบอกไว้ด้วยว่า “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกลานะครับ รีบเอามาลงให้อ่านกันก่อน” แล้วหลังจากนั้นพอมีเวลาต้องกลับไปเกลาแก้ไขใหม่ด้วย
@@> บรรณาธิการของเราอาจจะเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ก็ได้ หรือจะเป็นเพื่อนนักเขียนด้วยกันก็ได้ เราต้องช่วยกันอ่าน ช่วยกันดูงานซึ่งกันและกัน
@@> ในกรณีที่จัดทำเป็นอีบุ๊กขายแล้วมีการลงฟรีให้อ่านก่อน 5 บท บทที่ 5 ต้องเป็นบทที่ทำให้นักอ่านอยากจะอ่านต่อมากที่สุด ซึ่งบทที่ 5 นี้ต้องทำให้คนอ่านอยากติดตามต่อมากที่สุด อีบุ๊กของเราจึงจะขายได้
@@> อาจจะใช้เทคนิคการเขียนบทละครมาช่วยด้วยก็ได้ คือทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวละครเกิดการปะทะกันเร็วที่สุด โดยตัดเอาบทที่เกิดการเผชิญหน้ากันขึ้นมาก่อนเลย แล้วค่อยกลับไปเขียนเนื้อเรื่องต่อตามปกติ
@@> การขายเรื่องเป็นอีบุ๊กได้เงินมากกว่าที่คุณคิด ต้องเปิดใจให้กว้างยอมรับการเปลี่ยนแปลง เอาเรื่องไปลองขายเป็นอีบุ๊กแล้วคุณจะรู้ว่าเรื่องของคุณขายได้ จากยอดขายเราจะได้สูงถึง 65 % เลย จะโดนหักค่าดำเนินการไปประมาณ 35% ซึ่งพอเห็นยอดขายแล้วความขี้เกียจเขียนของเราจะหายไปในทันทีเลย
@@> ไม่ต้องไปจงรักภักดีกับเว็บใดเว็บเดียวตลอดไป เช่นไม่จำเป็นว่าต้องโพสที่เด็กดีที่เดียว ให้โพสทุกที่ทุกเว็บเลย ให้คนได้เห็นพร้อมกันเยอะๆ พอให้เขาอ่านฟรีก่อนแล้วจึงโพสแปะลิงค์ที่ขายอีบุ๊กของเราเลย อย่างที่บอกเราต้องพยายามสร้างกลุ่มเป้าหมายของเราให้กว้างที่สุด และให้หลากหลายที่สุดด้วย
@@> ปัจจุบันเฟสบุ๊กไม่ยอมให้เราโพสอะไรที่ซ้ำๆ กันแล้ว อย่างเช่นเราจะโพสเรื่องเดียวกันซ้ำๆ ทั้ง 5 ครั้งไม่ได้ เฟสบุ๊กมันจะบล็อกโพสของเรา ต้องใช้วิธีให้คน 5 คนโพสแทนดีกว่า (แสดงว่าถ้าไม่มีเพื่อนถึง 5 คน เราก็ควรมี 5 เฟส ใช่ไหม?)
@@> ในกรณีที่เราโพสแล้วไม่เห็นมีคอมเม้นท์ใดตอบกลับมาเลย ไม่มีใครเม้นท์หรือกดไลท์ให้เลย ให้ลองโพสบอกว่า “มีของแจกให้ค่ะ ใครอยากได้บ้าง?” ลองโพสดูว่ายังมีคนตอบเราไหม? ถ้าไม่มีเลยแสดงว่าโพสนี้อาจจะถูกเฟสบุ๊กบล็อกไปแล้วก็ได้ ทำให้คนอื่นไม่เห็นโพสของเรา
@@> งานที่ดีที่สุดของเราอาจะไม่ใช่งานที่ขายดีที่สุดก็ได้ แต่งานชิ้นใดก็ตามที่ทำการตลาดออนไลน์อย่างหลากหลาย ซึ่งแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่งานที่ดีที่สุดแต่มันอาจจะขายดีที่สุดก็ได้ (แต่ต้นฉบับทั้งหมดต้องดีด้วยนะ)
@@> จากที่เคยขายได้หลักหมื่น ถ้ามีการทำการตลาดออนไลน์ที่ดีๆ อาจจะขายได้ถึงหลักแสนก็เป็นได้ มีนักเขียนหลายท่านที่ขายอีบุ๊กได้ถึง 300,000 บาทเลย (โห ... ของผมขายยังไม่ได้เลยอ่ะ)
@@> นักเขียนต้องมีเทคนิคการขายออนไลน์ให้หลากหลายและพรั่งพราวที่สุด ถ้านิยายของเราขายดีจนติดอันดับท็อปเท็นได้ ให้ปล่อยขายไปเรื่อยๆ สักประมาณ 6 เดือน พอยอดขายเริ่มตกลง ให้เราทำการรีเซ็ตเรื่องใหม่ ให้ลบเรื่องออกแล้วลงขายใหม่โดยบอกว่า “เป็นเรื่องในเวอร์ชั่นใหม่นะคะ ใช้เวอร์ชั่นของสำนักพิมพ์ค่ะ” (แถไว้ก่อน) มันจะทำให้เรื่องของเรากลับมาขายได้อีก คนที่ยังไม่เคยเห็นเรื่องของเราอาจจะซื้อเพิ่มขึ้นก็ได้
@@> นักเขียนต้องยืดเรื่องให้เป็น เผื่อว่าจะมีคนขอซื้อเรื่องของเราไปทำเป็นละครได้ โดยต้องคำนึงถึงว่า ถ้านิยายจะสนุกมันจะต้องมีตัวละครอะไรบ้าง? ต้องมีพระเอกนางเอกที่เป็นตัวละครหลัก , ต้องมีพระรองและนางรองเอาไว้เป็นซับพล็อตไหม? ถ้าได้เพิ่มขึ้นอีกคู่จะดีไหม? , ต้องผูกเรื่องของพระรองกับนางรองกี่ปม(กี่ประเด็น)ดี? , ผู้ร้ายต้องมีสักกี่คนดี? มีผู้ร้ายเป็นกลุ่มเลยดีไหมจะได้กดดันพระเอกมากๆ , ต้องมีตำรวจมาคอยช่วยพระเอกไหม? , ตัวละครประกอบที่มีบทพูดต้องมีใครบ้าง? ต้องมีคนใช้ มีคนสวน มีคนขับรถไหม? ตัวละครพ่อแม่พระเอกนางเอกต้องมีไหมเพื่อจะได้สร้างคุณค่าให้เพิ่มขึ้น รวมทั้งสร้างความสมจริงให้แก่ตัวเรื่องของเรามากขึ้นด้วย ฯลฯ
@@> แต่จุดสำคัญก็คือ เรื่องต้องสนุกไว้ก่อน ถ้าเรื่องสนุกมากในเรื่องอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นนักเขียนต้องมีวิธีการเล่าเรื่องให้สนุกด้วย
@@> เวลาที่นักเขียนมีโอกาสได้ไปอบรมหรือไปเรียนอะไรเพิ่มเติม เราอย่าไปนั่งด้วยกัน หมายถึงถ้าเรากับเพื่อนมาอบรมด้วยกันสองคน เราก็ควรแยกกันนั่ง จะได้เจอเพื่อนใหม่ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะซึ่งกันและกัน เป็นการสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ด้วย เพราะว่าถ้าอยู่กับเพื่อนคนเดิมหรือกลุ่มเดิมก็จะได้เรื่องราวเดิมๆ แต่ถ้าไปเจอเพื่อนใหม่เราจะได้ประสบการณ์อื่นที่หลากหลายมากกว่าเดิม
@@> อย่าลืมว่าความรู้อยู่รอบตัวเราตลอดเวลา เราต้องเดินออกไปหามัน ออกไปเก็บเกี่ยวมันมาให้ได้ นักเขียนต้องคุยกับคนอื่นด้วยไม่ใช่เก็บตัวอยู่คนเดียว เพื่อนใหม่ที่เป็นกลุ่มนักเขียนด้วยกันจะคอยช่วยเหลือกันได้
++++++++++
ท้ายสุดนี้ผมคิดว่ารายละเอียดที่ผมเก็บบันทึกไว้นี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจบ้าง น่าจะเอาไปใช้ได้บ้างไม่มากก็น้อย อาจจะมีผิดถูกอย่างไรก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพราะในโลกวรรณกรรมคงไม่มีอะไรที่ผิดถูก 100% แน่ๆ ที่สำคัญที่สุดในยุคออนไลน์นี้โลกมันปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขอให้ทุกๆ ท่านสามารถขยับตัวก้าวตามทันการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายด้วยครับ
เคล็บ(ไม่)ลับ ... การขายนวนิยายในโลกออนไลน์
ช่วงนี้ผมมีโอกาสได้ไปอบรมการเขียนและไปฟังงานเสวนาทางวรรณกรรมมาหลายครั้ง ผมจึงเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากนักเขียนคนอื่นที่ประสบความสำเร็จมาบันทึกเป็นองค์ความรู้เก็บไว้ โดยเฉพาะเรื่องการเขียนนวนิยายขายในออนไลน์ซึ่งกำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ ผมลองจดจำวิธีการของเขาที่ผมได้รับรู้มา เอามาเขียนเรียบเรียงเพื่อเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ โดยส่วนหนึ่งหวังว่าจะเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับนักเขียนออนไลน์หน้าใหม่ด้วย เพื่อนๆ ลองอ่านกันดูนะครับ
++++++++++
@@> ก่อนอื่นนักเขียนควรจะต้องถามตัวเองก่อนว่า งานของเราจะขายได้ไหม? ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่างานของเราแต่ละเรื่องขายอะไร? ขายเรื่องราวที่สนุกสนานหรือขายตัวตนของนักเขียน?
@@> มีคนมองว่า การที่นักเขียนเอานวนิยายมาขายในโลกออนไลน์ (กรณีเป็นนักเขียนใหม่ที่สร้างผลงานใหม่) นั้น เล่มแรกสุดที่ขายได้นั้นมันฟลุ๊ค ถ้าของจริงต้องดูว่าเล่มต่อๆ ไปขายได้ด้วยหรือไม่?
@@> การขายนวนิยายในโลกออนไลน์ นักเขียนควรหมั่นตรวจสอบดูยอดขายของตัวเองด้วย ว่าเรื่องแนวไหนขายได้ดี เรื่องแนวไหนขายได้ไม่ดี นอกจากนั้นยังควรดูคอมเม้นท์ของนักอ่านที่ให้ไว้ด้วย เพราะความคิดเห็นจากคนอ่านจะเป็นข้อเสนอแนะที่ดีสำหรับเรา
@@> เราต้องหาจุดขายของตัวเองเองให้ได้ ถ้าในโลกออนไลน์ ในเว็บเด็กดี ในเว็บธัญวลัย ฯลฯ นิยายที่ติดอันดับขายดีอาจะเป็นแนวรักโรแมนติค ต้องดูว่าเราสู้กับเขาได้ไหม? เราเขียนเรื่องรักโรแมนติคได้ดีกว่าเขาไหม? ถ้าทำไม่ได้ต้องไปหาจุดอื่นดู ลองเขียนในแนวที่ยังไม่ค่อยมีมากได้ไหม? หรือเขียนในแนวที่ต่างประเทศกำลังเป็นที่นิยมอยู่ได้ไหม? ต้องคิดให้ออกว่าถ้าไม่ใช่แนวโรแมนติดเราจะเขียนแนวไหน? เราจะขายอะไร?
@@> เรื่องที่มีอยู่ในท้องตลาดไม่มากคือเรื่องตลก ต้องดูว่าเราเขียนเรื่องตลกได้ไหม?
@@> ต้องลองจับจุดของนักเขียนที่ประสบความสำเร็จในการขายนวนิยายออนไลน์ ทั้งอีบุ๊กและขายออนไลน์ โดยดูว่าเขาทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ หาจุดนั้นให้เจอแล้วลองเอามาสร้างเป็นไอเดียของตัวเอง
@@> ในกรณีขายเป็นอีบุ๊กคือเรื่องที่เขียนจบแล้ว แต่ถ้าเรื่องยังเขียนไม่จบสารถขายได้ทางเว็บขายนิยายออนไลน์ เช่น Fictionlog , readAwritre , jamplay.world ฯลฯ
@@> สำหรับการขายนิยายออนไลน์ทีเรากำลังเขียนอยู่ ให้ลงขายทีละฉาก แต่ลงถี่ๆ ทุกวัน ลงตามเวลาเดียวกันทุกวัน จะช่วยให้ยอดวิวสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้
@@> อย่างในเว็บเด็กดี คนจะอ่านนิยายหลังเลิกงานเป็นหลัก ดังนั้นเราควรโพสขายเรื่องในช่วงเวลา 6 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม หรือเราจะตัดบทนิยายให้สั้นๆ เพื่อลงขายในตอนเช้า ลงประมาณ 6 โมงเช้าถึง 8 โมงเช้า สำหรับคนที่กำลังเดินทางไปทำงาน โดยการตัดแต่ละบทให้สั้นลงหรือให้โพสลงแค่ฉากเดียว ให้สั้นพอสำหรับอ่านได้สะดวกในสมาร์ทโฟน เพื่อที่คนจะอ่านจบได้ในระหว่างที่ขึ้นรถไฟฟ้า หรือนั่งอ่านบนรถเมล์ตอนไปทำงานได้
@@> พยายามมองหากลุ่มลูกค้าของเราให้เจอ เช่นถ้าเราขายเรื่องสำหรับกลุ่มแม่บ้านเราต้องโพสตอนกลางวัน ระหว่าง 10 โมงเช้าถึงบ่ายสอง , ถ้าขายคนทำงานโพสตอนเช้าที่คนกำลังไปทำงานหรือโพสตอนเย็นที่คนเลิกงาน , ถ้าขายให้วัยรุ่นอาจจะโพสตอนหัวค่ำถึงดึกได้ (สองทุ่มถึงเที่ยงคืน)
@@> เราต้องพยายามสร้างแฟนคลับใหม่ให้มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราขายในออนไลน์แล้วมีคนอ่านมาคอมเม้นท์แสดงความคิดเห็น นักเขียนควรจะไปเขียนตอบคอมเม้นท์นั้นด้วยตัวเอง จะสร้างความประทับใจให้แก่คนอ่าน เขาจะได้ติดตามอ่านงานเราไปเรื่อยๆ
@@> พยายามสร้างกลุ่มเป้าหมายให้หลากหลายมากขึ้น เราอาจจะเอาเรื่องที่เป็นอีบุ๊กของเราไปโพสขายให้เว็บบอร์ดที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ก็ได้ ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มคนที่อยู่ในเว็บบอร์ดซื้อขายสินค้าเหล่านี้คือคนที่มีกำลังซื้อและยินดีที่จะซื้อของทางออนไลน์อยู่แล้ว
@@> ถ้าเราอยากจะเขียนอย่างเดียว ให้เราจ้างทีมงานที่ทำหน้าที่โพสแปะลิงค์ในกลุ่มต่างๆ เพื่อทำการตลาดให้เราแทนก็ได้ ให้ลองจ้างคนที่ชอบเล่นโซเซียลเป็นประจำหรือพวกนักศึกษาที่ชอบเล่นเน็ต โดยอาจจะจ้างเขาโพสเป็นรายเดือนเลย ตกลงล่วงหน้าเลยว่าเดือนหนึ่งจะให้เขาโพสกี่โพส ให้เงินเขาเดือนละ 1,000 บาท หรือ 2,000 เลยก็ได้ เพราะถ้ามีการโพสขายเรื่องหรือโพสโฆษณาได้เยอะ ก็มีโอกาสขายงานของเราได้เยอะตามไปด้วย
@@> เวลาที่โพสขายเรื่องหรือขายอีบุ๊กควรตั้งหัวข้อให้ชัดเจนว่าเราขายอะไร? เราขายนวนิยายเรื่องไหน? เป็นเรื่องแนวไหน? เรื่องเกี่ยวกับอะไร? ต้องโพสหัวข้อให้ชัดเจนไปเลย
@@> การที่เราจะขายนิยายทางออนไลน์ เราจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์และโฆษณาด้วยวิธีการแปะลิงค์ให้คนเห็นเยอะๆ คนจะได้คลิกเข้าไปดูเข้าไปลองอ่านบทตัวอย่างที่ลองให้อ่านฟรีก่อนได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนคนอื่นก๊อปปี้เรื่องของเรา เพราะว่าในโลกออนไลน์มีกลุ่มคนที่คอยจะประชาทัณฑ์คนที่ชอบขโมยของคนอื่น ถ้าเรามีกลุ่มแฟนคลับที่หนาแน่น บรรดาแฟนคลับเหล่านี้จะเป็นผู้ช่วยสอดส่องให้เราเอง
@@> ทุกวันนี้คนในวงการนักเขียนต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนด้วยกันเอง สำนักพิมพ์เอง บรรณาธิการเอง หรือคนที่ทำหน้าที่ต่างๆ เพราะว่าทุกวันนี้คู่แข่งจริงๆ ของพวกเราคือพวกมือถือต่างๆ
@@> การตั้งชื่อเรื่องต้องดี คำแนะนำเรื่องและคำแนะนำเนื้อหาต้องชัดเจนด้วย บางครั้งเวลาที่โพสแปะลิงค์อาจไม่ต้องนำเนื้อเรื่องมาให้อ่านเลยก็ได้ แต่ใช้วิธีโพสชื่อเรื่องหรือคำแนะนำเรื่องแทน แล้วโพสท้าทายเลยว่า “ลองคลิกไปอ่านดู ถ้าอ่านแล้วไม่สนุกให้มาเตะก้นได้เลย” แบบนี้จะดึงดูดความสนใจช่วยให้คนคลิกไปหาเรื่องเราได้
@@> ในการทำการตลาดในโลกออน์ไลน์ เราต้องทำพร้อมๆ กันทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางเพจเฟสบุ๊ก ทางไลน์ ทางทวิเตอร์ ทางเว็บไซต์ขายอีบุ๊ก ทางเว็บไซด์ส่วนตัว ฯลฯ
@@> นักเขียนควรจะต้องมีบรรณาธิการของตัวเอง เพราะอีบุ๊กส่วนใหญ่ที่ขายได้ คือเรื่องที่เคยจัดพิมพ์ผ่านสำนักพิมพ์มาก่อนแล้ว เรื่องพวกนี้จะผ่านสายตาของบรรณาธิการแล้ว ผ่านการตรวจสอบของสำนักพิมพ์แล้ว ถือว่าผ่านการกลั่นกรองมาชั้นหนึ่งแล้ว
@@> เราต้องพยายามเกลาแก้ไขงานของเราก่อน ถ้าไม่มีบรรณาธิการจริงๆ หรือเราเองยังไม่ได้เกลาแก้ไขเลย ถ้าจะโพสขายไปก่อน ให้ระบุบอกไว้ด้วยว่า “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกลานะครับ รีบเอามาลงให้อ่านกันก่อน” แล้วหลังจากนั้นพอมีเวลาต้องกลับไปเกลาแก้ไขใหม่ด้วย
@@> บรรณาธิการของเราอาจจะเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ก็ได้ หรือจะเป็นเพื่อนนักเขียนด้วยกันก็ได้ เราต้องช่วยกันอ่าน ช่วยกันดูงานซึ่งกันและกัน
@@> ในกรณีที่จัดทำเป็นอีบุ๊กขายแล้วมีการลงฟรีให้อ่านก่อน 5 บท บทที่ 5 ต้องเป็นบทที่ทำให้นักอ่านอยากจะอ่านต่อมากที่สุด ซึ่งบทที่ 5 นี้ต้องทำให้คนอ่านอยากติดตามต่อมากที่สุด อีบุ๊กของเราจึงจะขายได้
@@> อาจจะใช้เทคนิคการเขียนบทละครมาช่วยด้วยก็ได้ คือทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวละครเกิดการปะทะกันเร็วที่สุด โดยตัดเอาบทที่เกิดการเผชิญหน้ากันขึ้นมาก่อนเลย แล้วค่อยกลับไปเขียนเนื้อเรื่องต่อตามปกติ
@@> การขายเรื่องเป็นอีบุ๊กได้เงินมากกว่าที่คุณคิด ต้องเปิดใจให้กว้างยอมรับการเปลี่ยนแปลง เอาเรื่องไปลองขายเป็นอีบุ๊กแล้วคุณจะรู้ว่าเรื่องของคุณขายได้ จากยอดขายเราจะได้สูงถึง 65 % เลย จะโดนหักค่าดำเนินการไปประมาณ 35% ซึ่งพอเห็นยอดขายแล้วความขี้เกียจเขียนของเราจะหายไปในทันทีเลย
@@> ไม่ต้องไปจงรักภักดีกับเว็บใดเว็บเดียวตลอดไป เช่นไม่จำเป็นว่าต้องโพสที่เด็กดีที่เดียว ให้โพสทุกที่ทุกเว็บเลย ให้คนได้เห็นพร้อมกันเยอะๆ พอให้เขาอ่านฟรีก่อนแล้วจึงโพสแปะลิงค์ที่ขายอีบุ๊กของเราเลย อย่างที่บอกเราต้องพยายามสร้างกลุ่มเป้าหมายของเราให้กว้างที่สุด และให้หลากหลายที่สุดด้วย
@@> ปัจจุบันเฟสบุ๊กไม่ยอมให้เราโพสอะไรที่ซ้ำๆ กันแล้ว อย่างเช่นเราจะโพสเรื่องเดียวกันซ้ำๆ ทั้ง 5 ครั้งไม่ได้ เฟสบุ๊กมันจะบล็อกโพสของเรา ต้องใช้วิธีให้คน 5 คนโพสแทนดีกว่า (แสดงว่าถ้าไม่มีเพื่อนถึง 5 คน เราก็ควรมี 5 เฟส ใช่ไหม?)
@@> ในกรณีที่เราโพสแล้วไม่เห็นมีคอมเม้นท์ใดตอบกลับมาเลย ไม่มีใครเม้นท์หรือกดไลท์ให้เลย ให้ลองโพสบอกว่า “มีของแจกให้ค่ะ ใครอยากได้บ้าง?” ลองโพสดูว่ายังมีคนตอบเราไหม? ถ้าไม่มีเลยแสดงว่าโพสนี้อาจจะถูกเฟสบุ๊กบล็อกไปแล้วก็ได้ ทำให้คนอื่นไม่เห็นโพสของเรา
@@> งานที่ดีที่สุดของเราอาจะไม่ใช่งานที่ขายดีที่สุดก็ได้ แต่งานชิ้นใดก็ตามที่ทำการตลาดออนไลน์อย่างหลากหลาย ซึ่งแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่งานที่ดีที่สุดแต่มันอาจจะขายดีที่สุดก็ได้ (แต่ต้นฉบับทั้งหมดต้องดีด้วยนะ)
@@> จากที่เคยขายได้หลักหมื่น ถ้ามีการทำการตลาดออนไลน์ที่ดีๆ อาจจะขายได้ถึงหลักแสนก็เป็นได้ มีนักเขียนหลายท่านที่ขายอีบุ๊กได้ถึง 300,000 บาทเลย (โห ... ของผมขายยังไม่ได้เลยอ่ะ)
@@> นักเขียนต้องมีเทคนิคการขายออนไลน์ให้หลากหลายและพรั่งพราวที่สุด ถ้านิยายของเราขายดีจนติดอันดับท็อปเท็นได้ ให้ปล่อยขายไปเรื่อยๆ สักประมาณ 6 เดือน พอยอดขายเริ่มตกลง ให้เราทำการรีเซ็ตเรื่องใหม่ ให้ลบเรื่องออกแล้วลงขายใหม่โดยบอกว่า “เป็นเรื่องในเวอร์ชั่นใหม่นะคะ ใช้เวอร์ชั่นของสำนักพิมพ์ค่ะ” (แถไว้ก่อน) มันจะทำให้เรื่องของเรากลับมาขายได้อีก คนที่ยังไม่เคยเห็นเรื่องของเราอาจจะซื้อเพิ่มขึ้นก็ได้
@@> นักเขียนต้องยืดเรื่องให้เป็น เผื่อว่าจะมีคนขอซื้อเรื่องของเราไปทำเป็นละครได้ โดยต้องคำนึงถึงว่า ถ้านิยายจะสนุกมันจะต้องมีตัวละครอะไรบ้าง? ต้องมีพระเอกนางเอกที่เป็นตัวละครหลัก , ต้องมีพระรองและนางรองเอาไว้เป็นซับพล็อตไหม? ถ้าได้เพิ่มขึ้นอีกคู่จะดีไหม? , ต้องผูกเรื่องของพระรองกับนางรองกี่ปม(กี่ประเด็น)ดี? , ผู้ร้ายต้องมีสักกี่คนดี? มีผู้ร้ายเป็นกลุ่มเลยดีไหมจะได้กดดันพระเอกมากๆ , ต้องมีตำรวจมาคอยช่วยพระเอกไหม? , ตัวละครประกอบที่มีบทพูดต้องมีใครบ้าง? ต้องมีคนใช้ มีคนสวน มีคนขับรถไหม? ตัวละครพ่อแม่พระเอกนางเอกต้องมีไหมเพื่อจะได้สร้างคุณค่าให้เพิ่มขึ้น รวมทั้งสร้างความสมจริงให้แก่ตัวเรื่องของเรามากขึ้นด้วย ฯลฯ
@@> แต่จุดสำคัญก็คือ เรื่องต้องสนุกไว้ก่อน ถ้าเรื่องสนุกมากในเรื่องอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นนักเขียนต้องมีวิธีการเล่าเรื่องให้สนุกด้วย
@@> เวลาที่นักเขียนมีโอกาสได้ไปอบรมหรือไปเรียนอะไรเพิ่มเติม เราอย่าไปนั่งด้วยกัน หมายถึงถ้าเรากับเพื่อนมาอบรมด้วยกันสองคน เราก็ควรแยกกันนั่ง จะได้เจอเพื่อนใหม่ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะซึ่งกันและกัน เป็นการสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ด้วย เพราะว่าถ้าอยู่กับเพื่อนคนเดิมหรือกลุ่มเดิมก็จะได้เรื่องราวเดิมๆ แต่ถ้าไปเจอเพื่อนใหม่เราจะได้ประสบการณ์อื่นที่หลากหลายมากกว่าเดิม
@@> อย่าลืมว่าความรู้อยู่รอบตัวเราตลอดเวลา เราต้องเดินออกไปหามัน ออกไปเก็บเกี่ยวมันมาให้ได้ นักเขียนต้องคุยกับคนอื่นด้วยไม่ใช่เก็บตัวอยู่คนเดียว เพื่อนใหม่ที่เป็นกลุ่มนักเขียนด้วยกันจะคอยช่วยเหลือกันได้
++++++++++
ท้ายสุดนี้ผมคิดว่ารายละเอียดที่ผมเก็บบันทึกไว้นี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจบ้าง น่าจะเอาไปใช้ได้บ้างไม่มากก็น้อย อาจจะมีผิดถูกอย่างไรก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพราะในโลกวรรณกรรมคงไม่มีอะไรที่ผิดถูก 100% แน่ๆ ที่สำคัญที่สุดในยุคออนไลน์นี้โลกมันปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขอให้ทุกๆ ท่านสามารถขยับตัวก้าวตามทันการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายด้วยครับ