| รีวิว | จัดฟัน + ผ่าตัดขากรรไกร (บน-ล่าง)

เคยได้ยินมาก่อนมั้ยคะ ว่าการจัดฟันบางเคส จำเป็นต้องมีการผ่าตัดผ่ากรรไกรร่วม
เชื่อว่าหลายๆคนมักจะมีคำถามผุดขึ้นในหัวว่า...

"ทำไมต้องผ่าตัด? ดัดฟันเฉยๆไม่ได้หรอ? ไปดัดฟันที่อื่นที่ไม่ผ่าตัดดีกว่า"

เราเป็นหนึ่งในเคสที่ต้องผ่าตัด และที่พีคไปกว่านั้นคือ เราต้องผ่าตัดขากรรไกรบนและล่าง
วันนี้เราก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การจัดฟัน (ที่ผ่านมาครึ่งทางแล้ว) และการผ่าตัดที่เพิ่งผ่านพ้นไป

โดยเราจะพลีชีพรีวิวความเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เริ่มจัดฟัน จนถึงปัจจุปัน (2 สัปดาห์หลังผ่าตัด)
ขออภัย หากภาพบางภาพน่ากลัวจนเกินไป

ขั้นตอนการจัดฟันร่วมกับการผ่าตัดขากรรไกรของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของคุณหมอนะคะ
ควรศึกษาจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ และควรเลือกขอคำปรึกษาจากคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีประสบการณ์โดยตรงเป็นหลักนะคะ
คลินิกและโรงพยาบาลสมัยนี้ขายของเก่ง!!! ไม่อยากให้เสียเวลา เสียเงิน และเจ็บตัวเปล่าค่ะ

ส่วนเรื่องของค่าใช้จ่าย...ยอมรับเลยค่ะว่าถ้าการเงินขัดสน ควรเก็บเงินให้ได้ก้อนใหญ่ๆก้อนนึงก่อนตัดสินใจค่ะ
เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นค่าดัดฟัน ค่าเครื่องมือ (แล้วแต่เคส) ค่าพิมพ์ฟัน ค่าเอ็กซเรย์ ค่าขูดหินปูน ฯลฯ
กว่าจะได้จ่ายค่าผ่าตัดก็เกือบปี แต่คลินิกที่เราไปทำ เค้าไม่ให้ผ่อนนะ
ค่าใช้จ่ายรวม (โดยประมาณ) สามารถดาวน์รถแพงๆได้คันนึงเลยแหละ 555
ตกใจใช่มั้ย...เคยเอารูปนี้ให้เพื่อนๆดู เพื่อนๆถามว่านี่ฟันหรอ? 555

เคสของเราเป็นเคส Open Bite พูดง่ายๆก็คือฟันทั่วทั้งปากไม่สบกันเลยค่ะ และมีปัญหาฟันซ้อนกันแบบสุดๆ
คุณหมอบอกว่า "ถ้าไม่ผ่าตัดขากรรไกร...ก็ไม่ต้องเสียเวลาจัดฟันครับ ต่อให้ฟันเรียงกัน ก็ไม่สามารถสบกันได้ครับ"

หลังจากครอบครัวได้ฟังคำแนะนำจากคุณหมอ ก็ทำใจซักพักใหญ่ ถึงจะอนุญาตให้ดัดฟัน
เราขอบอกก่อนนะ ว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมด เราเป็นคนจ่ายเอง ไม่รบกวนคนในครอบครัว



คลินิกที่เราไปหา จะมีการแยกแผนกอย่างชัดเจน โดยเราจะต้องไปเคลียร์ช่องปากก่อน กินเวลาหลายเดือนเลย
เริ่มจากการเอ็กซเรย์เพื่อดูฟันคุด เรามีฟันคุด 4 ซี่ แล้วรากลึกทุกซี่ ยิ่งไปกว่านั้นคือซี่สุดท้ายที่ถอนมีรากฟันแบบหนวดปลาหมึก
จำได้เลยว่าถอนฟันคุดซี่สุดท้าย ใช้เวลาฟื้นตัวมากกว่าปกติ
จากนั้นก็ไปตรวจฟันผุ แล้วก็ขูดหินปูน ก่อนที่จะส่งตัวให้แผนกจัดฟันวางแผนการรักษาต่อไป



คุณหมอที่แผนกจัดฟันดูฟิล์มเอ็กซเรย์ โดยอธิบายแผนจัดฟันให้เราฟัง คุณหมอแจ้งว่า เคสเราต้องใส่เครื่องมือ 2 ตัว
ตัวที่ 1 ขยายขากรรไกรบน
ตัวที่ 2 ขยายขากรรไกรล่าง
เริ่มจากการใส่เครื่องมือตัวที่ 1 ก่อน และคุณหมอก็สอนวิธีขยาย ให้เราไปทำเองที่บ้าน โดยใช้อุปกรณ์หมุนคืนละครั้ง
เครื่องมืออันนี้ไม่สามารถถอดออกได้ ช่วงแรกๆที่ใส่ จะมีปัญหาในการออกเสียงมากๆ จะมีน้ำลายกระเด็นตลอด
หลังจากหมุนไปได้ประมาณสัปดาห์ เราก็สังเกตได้ว่า ฟันหน้าที่ซ้อนกันอยู่ ค่อยๆแยกออกจากกัน
แสดงว่าเครื่องมือ สามารถช่วยขยายเพดานปากได้จริงๆ (ต้องมีระเบียบในการหมุนเครื่องมือนะ)
พอถึงdue date ก็เอาเครื่องมือตัวที่ 1 ออก และเริ่มติดเหล็กที่ฟัน โดยที่ยังไม่ได้เกี่ยวยาง

หลังจากนั้นซักพัก ก็เริ่มใส่เครื่องมือตัวที่ 2
เครื่องมือตัวนี้ถอดได้นะ คุณหมอให้ถอดเวลากินข้าว แล้วก็ต้องคอยหมุนเครื่องมือทุกคืน รอdue date



FUN FACT ของการจัดฟัน
คือความเชื่อที่ว่าจัดฟันแล้วผอม เป็นเรื่องที่ผิด! เพราะคิดว่าจัดฟันแล้วเจ็บ กินอะไรไม่ลง
แต่สำหรับเรา เรา enjoy eating มากๆ มันเจ็บฟันแค่ตอนดึงยาง 2-3 วัน แค่นั้นแหละ
บุพเฟ่ต์ที่ไหนว่าดี ว่าเด็ด...เราไปกินหมด 555
โดยรวมแล้ว น้ำหนักเราขึ้นมาเกือบ 10 กิโล ในช่วง 3-4 ปี
เคยคิดว่าจะพิมพ์ฟันทำไมบ่อยๆ แต่พอเอามาเทียบกัน ก็เห็นภาพชัดเหมือนกันเนอะ
ส่วนคนที่มีประสบการณ์พิมพ์ฟันเหมือนกัน คงจะเข้าใจความรู้สึกตอนคุณหมอดึงพิมพ์ออกจากปากเป็นอย่างดี 555
นี่คือรูปก่อนผ่าตัดนะ เราก็ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่หรอก แต่คนรอบข้างก็บอกว่าหน้าเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ
เราพยายามหารูปที่มองตรงที่สุดแล้ว ปกติเราจะถ่ายรูปเอียงขวาฝั่งเดียว เพราะมั่นใจมุมนี้ที่สุดค่ะ
นี่คือฟิล์มเอ็กซเรย์ก่อนผ่าตัดนะคะ
ส่วนนี่คือโมเดลที่คุณหมอทำออกมาให้เห็น ว่าหลังจากผ่าตัดแล้ว ฟันจะออกมาประมาณนี้



นอนแอดมิทก่อนผ่าตัด 1 คืน
จขกท.ผ่าตัดวันที่ 7 ก.ค.
เช้าวันผ่าตัด พยาบาลจะเข้ามาวัดไข้ วัดความดัน ก่อนที่จะโดนเข็นเตียงเข้าไปในห้องผ่าตัด
พยาบาลหาเส้นเพื่อให้น้ำเกลือ แล้วก็เอาแผ่นกลมๆมาแปะสี่อัน
จากนั้นวิสัญญีแพทย์ก็เอาหน้ากากoxygenมาให้ดมยาสลบ หายใจเข้าสองที จากนั้นภาพตัดเลยค่ะ

หลังจากผ่าตัดเสร็จ พยาบาลก็พยายามปลุกให้มีสติ
หลังตื่นจากยาสลบ อาการคลื่นไส้ จะเป็นหนึ่งในอาการข้างเคียง
รวมไปถึงระบบหายใจที่ผิดปกติ เนื่องจากต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตอนที่ผ่าตัด
หลังจากฟื้นตัวได้ซักพัก อาการเจ็บปวดก็จะตามมา...ซึ่งเจ็บปวดมากๆ และการกินอาหารก็เป็นเรื่องยากมากๆเช่นกัน
เรางดอาหารตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 6 และสามารถกินได้อีกทีในเช้าวันถัดมา
จะหยิบมือถือส่งข่าวให้คนอื่นยังทำไม่ได้เลย มันอยากนอนตลอดเวลา
และคุณหมอใส่สายเดรนเลือดไว้ในปาก เพื่อถ่ายเทเลือดที่ยังไหลจากแผลผ่าตัด ชำเลืองตามองที่ไร ใจสั่นทุกที
นี่คืออาหาร และต้องกินผ่านsyringeเท่านั้น

ประมาณวันที่สาม เราเริ่มเดินไปเดินมาในห้อง ร่างกายจะได้ขยับบ้าง พยายามเข้าห้องน้ำเอง หยิบนู่นหยิบนี่เอง
เริ่มกินอาหารได้ แต่ก็ไม่ค่อยอยากกิน มีเลือดออกที่จมูกข้างขวาเป็นระยะ เพราะแผลเย็บในปากอยู่ติดกับโพรงจมูก
ทำให้เลือดไหลทางจมูกได้ มีเลือดค้างในคอบ้าง ก็ต้องคอยบ้วนออกเบาๆ

หน้าเราค่อยๆบวมขึ้นเรื่อยๆ วันที่ 4 ดูเหมือนจะบวมที่สุด อาจจะต้องรอให้หน้าหายบวม และคางหายชา ถึงจะกลับมาพูดได้เป็นปกติ
อาการบวมจะค่อยๆลดลงนะ คุณหมอบอกว่าใช้เวลา 3 เดือน กว่าทุกอย่างจะเข้าที่ค่ะ



และนี่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่เราอยากจะเอามาแชร์ให้เพื่อนที่มีเคสใกล้เคียงกันเอาไปประกอบการพิจารณา
ถามว่าเจ็บมั้ย...แน่นอน! ขึ้นชื่อว่าผ่าตัด ยังไงก็ต้องเจ็บเนอะ ขึ้นอยู่กับแต่ละเคส และความพร้อมของแต่ละบุคคลมากกว่า

ฝาก Part 2 ให้ติดตามอ่านกันด้วยนะคะ
https://m.ppantip.com/topic/37903952
Part นี้ค่อนข้างละเอียดค่ะ

ฝากไอจีด้วยนะคะ ID: diskismary
เราแฮปปี้ทุกครั้งที่ได้ใช้ความรู้ของเราให้เป็นประโยชน์ ♥
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่