35 สิ่ง จากการไปอินเดีย (New Delhi - Agra - Leh)

ทริปนี้เกิดเมื่อ 8-16 กรกฎาคม 2560 ครับ
ภาพรวม
1) จากไทยมาอินเดีย แนะนำการบินไทย แพงกว่ากันไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญ ไม่ delay หรือ cancel ไฟล์ท
2) sim แนะนำของ Airtel ซื้อที่สนามบินได้เลย (เอาสำเนา passport มาเผื่อด้วย) 900 รูปี ใช้ได้ 1 เดือน ซื้อแล้ว 2 ชม. ถึงจะมีสัญญาณ และต้องโทรไปที่ call center เพื่อ activate คนขายจะบอกรายละเอียดว่าทำอย่างไร (ใช้ที่ leh ได้ แต่ต้องเป็นรายเดือนเท่านั้นซึ่งจะยุ่งยาก เพราะฉะนั้นถือว่า เที่ยว leh แบบ no social ละกัน)
3) ยาดมนั้นสำคัญไฉน แต่มันสำคัญมาก
4) คนอินเดียชอบถ่ายรูปมาก โดยเฉพาะสาวผิวขาว ถือว่าฮอตเลยก็ว่าได้
5) อันนี้ถามกันมาเยอะ มีอุจจาระตามถนนบ้าง แต่ไม่ถึงกับทุกย่อมหญ้า (เดินตลาดหาซื้อซาหรี่ในนิวเดลี ถือว่าบุกเข้ากลางเมือง ยังเจอแค่ประปราย) เอากระเป๋าลากมาได้จ้า แต่ต้องระวังหน่อย
6) taxi ที่นี่ ใช้ app ชื่อ ola มากกว่า uber สะดวกมาก ราคาแน่นอน ถึงแม้ว่า บางครั้งคนขับจะลงไปตบหน้ากับคนขับสามล้อที่มาปาดหน้า พอคนขับขึ้นก็บอกขอโทษพวกเราที่เค้าอารมณ์ร้อน (อันนี้เจอมากับตัว) คนขับบางคนพูดอังกฤษไม่ได้และไม่รู้ทาง เพราะฉะนั้น ควรมี 1 คนที่ดู google maps ได้ ที่สำคัญ! เวลาเรียก taxi ไปสนามบิน ห้ามบอกแค่ชื่อสนามบิน บอกไปเลยว่า terminal ไหน เพราะแต่ละ terminal ห่างไกลกันมาก อาจตกเครื่องได้
7) ระบบความปลอดภัยที่นี่เข้มงวดมาก ตรวจทุกอย่างทุกที่ ทั้งสนามบิน สถานีรถไฟ สถานที่ท่องเที่ยว และตรวจหลายรอบมาก สนามบินที่ Leh พอโหลดกระเป๋าแล้ว พอผ่านที่ตรวจค้นตัว ต้องเดินไปบอกว่า กระเป๋าอันไหนของเรา เค้าถึงจะเอาขึ้นเครื่องให้ ส่วนใครที่ชอบถ่าย drone แนะนำว่า ควรถามเจ้าหน้าที่ก่อนทุกครั้ง มี case study กลุ่มคนไทย ไปบิน drone ในที่ห้ามบิน ขึ้นสถานีตำรวจเลยจ้า
8) บางสถานที่ท่องเที่ยว ถ้าเห็นว่า คนอินเดียต่อแถวยาวมาก ให้ลองถามฝรั่งดู อาจจะมีช่องจำหน่ายตั๋วสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งคนน้อยมาก เช่น red fort ในเมือง new delhi รวมถึงบางที่ ถ้าบอกว่าเป็นคนไทย อาจจะได้ลดราคาเป็นพิเศษ เนื่องจากไทยเคยส่งกำลังรบไปช่วยอินเดีย (อ่านเจอจากป้ายที่จำหน่ายตั๋ว จำรายละเอียดไม่ได้ละครับ)
9) มาอินเดีย ให้ทำใจว่า ต้องโดนหลอก ทั้งตอนช้อปปิ้ง หรือตอนเรียกสามล้อ แล้วการเที่ยวอินเดียของคุณจะสนุกขึ้นอีกเยอะ อย่าไปซีเรียส เพราะหารออกมาเป็นเงินไทยแล้ว มันยังอยู่ในเรทที่ถูกกว่าไทย

Agra fort - Taj mahal
10) รถไฟจากนิวเดลี ไปอักรา (ทัชมาฮาล) หา agency ช่วยจองให้ สบายกว่าเยอะ และจองแบบ chair car (cc) มีแค่บางขบวน หรือเป็นขบวนด่วน นั่งสบาย มีอาหารด้วย ส่วนใหญ่มีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ และผู้ดีอินเดีย แต่กลุ่มผมได้มีโอกาสนั่งแบบ third tier ac (3ac; เป็นแบบมีที่นอนสำหรับ 3 คนใน 1 แถว) ตอนขาไป เพราะแบบ cc เต็ม อยากบอกว่า สุดยอด! real india มาก 555 กลัวก็กลัว แต่สนุกและลุ้นตลอดทาง ทั้งกลิ่น ทั้งคนนั่ง มีอะไรแปลกๆ ให้ดูเยอะ โดยเฉพาะพวกคนขายของ โชคดีที่ผมเจอกลุ่มคนอินเดียที่โอเคในแถวเดียวกัน แต่คนข้างๆ แถวอื่นนี่ นั่งเปิดแผลที่แหวะออกมาดู น้ำเหลืองไหล แล้วปิดกลับเข้าไปใหม่ หรือบางคนนั่งแล้วถอดรองเท้าเลยจ้า นอกจากกลิ่นตัวแล้ว กลิ่นตีนนี่ ก็โหดไม่แพ้กัน ถ้าเลือกได้ เรียกว่าแนะนำเลยดีกว่า แบบ cc ครับ ที่สำคัญดูเบอร์ platform รถไฟให้ดีๆ จะมีชื่อแปะอยู่ที่ประตู รถไฟจะมาก่อนเวลาออกประมาณ 20-30 นาที และชอบมีคนอินเดียมามั่วที่นั่งของเรา ระวังให้ดี

แบบ cc
แบบ 3ac
11) ที่ทัชมาฮาล ห้ามเอากระเป๋าขนาดใหญ่เข้าไป (ตั้งแต่เป้สะพายขึ้นไป ห้ามหมด) กระเป๋าถือไซส์ผู้หญิงเอาเข้าได้ (เก็บตั๋วที่เข้าทัชมาฮาลด้วย ถ้าไป Agra Fort จะลดเหลือ 30 รูปี จากปกติ 80 รูปี)
12) ไกด์นำเที่ยวที่ทัชมาฮาล 1,000 รูปีต่อทั้งกลุ่ม จ้างไปเถอะ ได้ความรู้เยอะดี และยังช่วยป้องกันเราจากมิจฉาชีพด้วย แถมยังช่วยถ่ายรูปหมู่ให้เราด้วย ช่างบางคนมีสกิลถ่ายรูปดีมาก เป๊ะทุกองศา (แนะนำไกด์คนในรูป คือดีมาก)
13) การได้ใส่ชุดอินเดียมาถ่ายรูปที่ทัชมาฮาล เป็นอะไรที่ฟินมาก ก.ไก่ ล้านตัว
14) การนั่งรถม้ากลับจากทัชมาฮาล คนขี่ม้าจะพูดอังกฤษไม่รู้เรื่อง งงกับที่อยู่โรงแรมเรามาก สุดท้ายต้องลงระหว่างทาง
15) ร้านอาหารอินเดียชื่อ joney คือสิ่งดีงาม อร่อยมาก และดูสะอาด คนที่ไม่ชอบอาหารอินเดียอย่างผม ยังว่า อร่อยเลย

Leh
16) ถ้าคุณทำความดีมา บุญจะส่งให้เวลานั่งเครื่องบินได้ที่ติดหน้าต่าง วิวแบบกรี๊ดสลบ ไม่ต้องหลับกันพอดี
17) อย่าลืมซื้อยา diamox เพื่อปรับความดัน ร้านยาทั่วไปไม่มีขาย ต้องให้หมอสั่งจ่าย หรือไปซื้อที่โอสถศาลา เภสัชกรจะถามว่า เอาไปทำอะไร ตอบไปเลยว่า ไป Leh ขึ้นที่สูง เค้าจะแนะนำว่า ควรกินอย่างไร และกินกี่วัน ซึ่งจะประมาณจากทริปของเราว่า ขึ้นที่สูงที่สุดวันไหน เช่น ทางไป nubra valley หรือ pangong lake มีหลายสูตรในการกิน เช่น เภสัชกรแนะนำให้เริ่มกินวันละ 1 เม็ด ตอนเย็นก่อนวันไป Leh 1 วัน หลังจากนั้นกินหลังอาหารเย็นวันละ 1 เม็ด จนกว่าจะถึงวันที่ขึ้นที่สูงที่สุด ส่วนไกด์ท้องถิ่น (ไกด์ชื่อ Salim เชื่อว่า คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จัก) แนะนำว่า กินตอนเย็น ครึ่งเม็ด และกินตอนเช้า อีกครึ่งเม็ด จะช่วยให้ไม่มึน
18) วันแรกที่มาถึง Leh ให้ทำอะไรช้าๆ จะลุกจากเก้าอี้ เตียงนอน หรือขึ้นบันได ใจร่มๆ ช้าๆ อย่าเพิ่งเดินเยอะ และอย่าเพิ่งอาบน้ำ ให้อาบวันรุ่งขึ้น เพราะความกดอากาศต่ำ นอนยาวๆ เลย ให้ร่างกายปรับตัวก่อน ไกด์บางคนจะพาไปเที่ยวอีกทีในวันรุ่งขึ้น ส่วนของกลุ่มผม มาถึง Leh 09.00 ไกด์พาไปเที่ยวในเมือง ตอน 16.00 น. (พาไป Leh Palace, Tsemo, Shanti Stupa)
Leh market
19) ภาษาที่ Leh
จูเล = สวัสดี ขอบคุณ บับบาย (อันนี้คำยอดฮิต)
ชิม โป ลัก = อร่อย
นา เค ระ กะ ทา ดา ระ = i love you
บา โต๊ะ = ชอบ
เด โม ดุ = สวย
มัฟ โจช = เสียใจ
20) พวกสเปรย์ และน้ำหอม เอาขึ้นเครื่องบิน มา Leh ได้ ไม่ระเบิด แต่พวกขวดน้ำ ขวดแชมพู ยาสระผม ถุงขนม ถุงมาม่า ซองทิชชู่เปียก ถุงหรือขวดอะไรที่ปิดผนึก บวมเปล่งหมด ต้องค่อยๆ เปิดเพื่อไล่ความดันที่ขยายตัว สำหรับคนกินอาหารยาก อาหารแห้งคือสิ่งสำคัญ เกี๋ยมฉ่ายเอามาได้ แต่ใส่ tupperware อีกชั้นจะดีกว่า
21) เวลาซื้อพวกเครื่องสำอางค์ หรือพวกยา รวมถึงพวกขนมที่ Leh market ให้ดูวันหมดอายุดีๆ ผมซื้อ lip balm ของ himalaya ร้านแรกให้ 600 รูปีต่อกระปุก (หมดอายุ) อีกร้านให้ 700 รูปี (ไม่หมดอายุ) อย่าเน้นของถูก ดูดีๆ ขอดูฝา packaging ที่ระบุวันหมดอายุด้วย เจอร้านไหนถูกใจ ซื้อไปเลย ราคาไม่ต่างกันมาก
22) ผ้าวู (wool) ที่ Leh คือ สิ่งดีงาม เรื่องราคา แล้วแต่ต่อเลย ส่วนผ้าแคชเมียร์ (Pashmina) ตาดีได้ ตาร้ายเสีย อย่าไปหลงเชื่อที่เจ้าของร้านอธิบายวิธีดูของจริงให้ดู เราโดนมาแล้ว ต่อราคาจาก 7,500 รูปี เหลือ 2,000 รูปี เจ้าของที่พักบอกว่า เป็นผ้าผสม ไม่ใช่ Pashmina 100% และราคา 2,000 รูปี แพงไป
23) บาง guest house น้ำดื่มมาจากน้ำภูเขา รสชาติโอเคเลย กินได้ไม่ท้องเสีย พกกระติกหรือขวดน้ำมาเติมทุกเช้า ประหยัดเงิน
24) วิวที่ Leh ของจริงสวยกว่าในภาพมากมายนัก ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเอง และอย่ามัวแต่ถ่ายภาพ มองวิวผ่านกล้องอย่างเดียว บางครั้งการนั่งนิ่งๆ มองวิวด้วยตาเราไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ใจล่องลอยไปตามยอดเขาลูกโน้นลูกนั้น ก็ทำให้จิตใจสงบได้เหมือนกัน
25) เส้นทางไป nubra valley และ pangong lake ไกลมาก โดยเฉพาะ nubra valley ทรหดมาก ใครเมารถ กินยาให้พร้อม เตรียมถุงอ้วกและก้นของคุณด้วย และยิ่งถ้าไป turtuk ด้วย ยิ่งไกลกว่าเดิม เพราะฉะนั้นช่วยเตรียมอาหารว่างประทังชีวิต เช่น หมูหวาน หมูหยอง ขนมปัง spread ทูน่า (นำเข้ามาอินเดียได้) ที่สำคัญ! อาจจะมีหินหรือหิมะถล่ม ระหว่างทาง ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องให้เวลาในการเคลียร์เส้นทาง ทำให้ต้องค้างคืนที่เดิมอีกคืน ทำให้แพลนเที่ยววันอื่นพัง อันนี้ต้องทำใจและทำบุญมาเยอะๆ
26) ถึงแม้ว่าจะมาช่วงฤดูร้อน แต่จุดสุดยอดของถนนที่สูงที่สุดโลก (khardung la) (ทางไป nubra valley) ก็ยังมีหิมะให้ดู และอากาศหนาวมาก เตรียมเสื้อหนาวมาด้วย เพราะฉะนั้นถ้ามาช่วงเกือบหน้าหนาว ไม่อยากจะคิด นอกจากนั้น ทางไป pangong lake เรายังได้ผ่านถนนที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกด้วย
ถนนที่สูงที่สุดโลก (khardung la)
ถนนที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก
27) Turtuk เป็นเมืองที่ไกลมาก เกือบถึงชายแดนปากีสถานแหละ เพราะฉะนั้น พกทิชชู่เปียก และเจลล้างมือมาด้วย 555 คุณจะได้ประสบการณ์ขับถ่ายอุจจาระข้างทาง
ปล. ไม่ไปก็ได้ เพราะไกลมากจิมๆ (ไป-กลับ เกือบ 8 ชั่วโมง) เส้นทางหฤโหดด้วย แต่ถ้าอยากไปเที่ยวแบบถึงพริกถึงขิง ที่ turtuk จะมีทุ่งข้าวบาร์เล่ย์ ให้คุณได้ถ่าย โดยมีพื้นหลังเป็นภูเขา

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่